โอรสสวรรค์ปะติดปะต่อเรื่องแล้วคลี่ยิ้ม “บางทีคนร้ายที่ลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของข้าแล้วทำปิ่นตกไว้ ก็มีผู้น่าสงสัยสองคน หนึ่งคือจางหยูเฟย เพราะนางดูเกลียดขี้หน้าข้า หาว่าข้าเป็นพวกเกเร ชอบยกพวกไปยึดบ้านคนอื่น”
การที่เขาสงสัยคนในจวนสกุลจางว่าลอบเข้าไปในห้องบรรทม เพราะปิ่นที่เขาเก็บได้นั้นมันคือปิ่นเดียวกันกับที่เขามอบให้แม่ทัพจางจิ้นเหอ ในเมื่อเขาให้ของชิ้นนั้นกับแม่ทัพจางจิ้นเหอไปแล้ว จู่ๆ เขาพบมันตกอยู่ ทุกความเคลือบแคลงสงสัยจึงพุ่งไปที่จวนสกุลจาง และคนคนนั้นคือจางหยูเฟย
สารลับที่เขาได้มาจากองครักษ์บอกว่าชาวซยงหนูเองก็คบหากับชาวต่างชาติ เป็นไปได้ไหมว่าซยงหนูจะร่วมมือกับชาวต่างชาติบุกยึดแผ่นดินฮั่นของเขา
นั่นคือที่มาที่ทำให้ฮั่นหลิวตี้ไม่อาจนั่งอยู่ในตำหนักได้อย่างสบายใจ กว่าเขาจะรวบรวมแผ่นดินฮั่นให้เป็นปึกแผ่นมาจนถึงปัจจุบันนี้ ต้องเสียเลือดเนื้อของบรรพบุรุษสกุลหลิวไปเท่าไร รวมทั้งตัวเขาเองก็เกือบตายในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน พวกซยงหนูนับว่าเป็นแมลงน่ารังเกียจที่คอยสร้างความ
รำคาญให้เขาไม่เลิกราจริงๆ
ซ้ำยังมีพวกชาวต่างชาติมาเกี่ยวพันด้วยอีก พวกนี้ใช้ภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย ในราชสำนักเองก็มีคนสื่อสารได้น้อย แต่จวนสกุลจางกลับมีคนมากความสามารถเช่นนี้ไว้ใช้งาน นับว่าน่ากลัวเกินไปแล้ว เขาสมควรต้องตัดปีกสกุลจางลงอีกหน่อย
***หึๆๆ***
“ข้าไม่เชื่อว่าแม่ของเด็กซารังจะหายตัวไปอย่างลึกลับ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหายไปไหนได้เอง ถ้าไม่ตายก็ต้องหลุดไปอีกภพหนึ่ง”
“หลุดไปอีกภพหนึ่งหรือพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทหมายถึงภพไหนพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่นหลิวตี้ยกยิ้มมุมปากหัวเราะหึๆ พระเนตรปลาบคมปนหวานดูเจ้าเล่ห์อีกครั้ง จากนั้นใช้สายตาแหลมคมมองเว่ยกงกงที่ทำหน้าประหลาดใจ พลางพ่นลมหายใจพรืดยาวราวกับขี้เกียจอธิบาย
“เจ้าไม่ต้องเข้าใจเรื่องนี้หรอก เจ้าทำตามคำสั่งของข้าก็พอ ให้องครักษ์จับตาดูทุกคนในจวนสกุลจางไว้ตลอดก็พอ ข้าคิดว่าถ้าแม่ของเด็กซารังยังไม่ตาย ยังไงนางก็ต้องกลับมาหาลูกของนาง ถึงตอนนั้นค่อยจับตัวนางมาหาข้า นางต้องไม่ใช่ธรรมดา ต้องมีบางอย่างน่าสนใจเป็นแน่”
“ฝ่าบาท กระหม่อมว่าพระองค์กลับไปรอฟังข่าวที่ในวังดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ อยู่ที่นี่กระหม่อมเป็นห่วงฝ่าบาท”
“ข้ากลับแน่ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าเองก็อย่าหลุดพิรุธอะไรออกไป ขอข้าหาอะไรทำสนุกๆ อีกสักหน่อย”
นอกจากฮั่นหลิวตี้จะเป็นนักการรบที่เก่งกาจแล้ว เขายังเป็นคนเจ้าเล่ห์เพทุบายมากที่สุด ในความคิดของมหาขันทีเฒ่า เอกบุรุษผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก ไม่ว่าใครที่อยู่ใกล้ก็เหมือนมดปลวกที่พร้อมจะถูกแผดเผาได้ แต่ถ้าใครทำให้ถูกใจ ย่อมได้รับผลตอบแทนที่งดงามเช่นกัน
“ฝ่าบาทจะให้กระหม่อมทำอะไรต่อหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็แสดงบทเป็นฟางเหนียงแม่สามีของข้าต่อไป ข้ายังอยากอยู่ที่จวนสกุลจางนี้อีกสองสามวัน ข้าคิดว่าการมาครั้งนี้นอกจากจะตามหาคนลอบฆ่าแล้ว ก็ยังมีอะไรให้ทำสนุกๆ นับว่าไม่เสียเที่ยวทีเดียว” ฮั่นหลิวตี้พูดแล้วอมยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะยกมือขึ้นโบกไล่ให้คนสนิทที่ไม่เท่าทันเล่ห์ของพระองค์ไปให้ไกลๆ “ไปได้แล้ว ข้าอยากพักผ่อน”
ในอดีตนั้นฮ่องเต้พ่ายเล่ห์ให้หัวหน้าขันทีจนต้องเสียบัลลังก์ก็มีมาแล้ว เพราะฉะนั้น การคัดเลือกขันทีของโอรสสวรรค์ พระองค์ไม่เลือกหัวหน้าขันทีที่ฉลาดเป็นกรดเอาไว้ใช้งาน พระองค์เลือกคนซื่อสัตย์ ถึงไม่เท่าทันความคิดของพระองค์บ้างก็ไม่เป็นไร จะว่าไปเว่ยกงกงก็แก่ขนาดนั้น สมองจะชราตามสังขารก็ช่างเถอะ
เว่ยกงกงถอยหลังกลับออกไป แม้จะไม่คุ้นชินกับชุดที่สวมใส่ แต่เพราะอยากมีหัวไว้ตั้งบนบ่าต่อไป จึงต้องแสดงบทฮูหยินม่ายอย่างเต็มที่ ขณะที่โอรสสวรรค์เอนตัวลงนอนแล้ว แต่ในสมองกลับนึกถึงแต่ภาพเทพธิดาดอกบ๊วย ท่าทางเย่อหยิ่งไม่เกรงกลัวใครแบบนั้นที่ทำให้เลือดในวรกายของฮั่นหลิวตี้เดือดพล่าน
“ข้าชอบกินบ๊วย เจ้าไม่รู้เหรอ” ฮั่นหลิวตี้ยิ้มหยันเมื่อใบหน้าสวยนั้นลอยรบกวนพระองค์ไม่ยอมหายไปไหน
&&&&&&&&&&
รุ่งเช้า ภายในจวนสกุลจางเต็มไปด้วยเสียงผู้คนเซ็งแซ่ หากแต่ไม่ใช่เสียงพูดคุยสนุกสนาน แต่เป็นเสียงหัวหน้าสาวใช้สั่งงานคนงานในจวน ภายในจวนแม่ทัพตอนนี้ถูกแบ่งเป็นปีกตะวันตกและปีกตะวันออก ปีกตะวันตกนั้นมีโรงทอผ้าและโรงเครื่องปั้นดินเผา ส่วนปีกตะวันออกเป็นที่พักของจางหยูเฟย
วันนี้ทางปีกตะวันตก คนงานภายในโรงทอผ้าและโรงเครื่องปั้นดินเผากำลังวุ่นวายกันยกใหญ่ เพราะมีลูกค้ามาสั่งสินค้าเพิ่มจำนวนมาก ช่วงนี้สินค้าจากโรงทอและโรงเครื่องปั้นดินเผาแทบจะผลิตออกมาไม่ทัน
จางหยูเฟยตื่นแต่เช้า โดยมีหลินเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทช่วยอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากกินอาหารเช้าแล้ว คุณหนูผู้เป็นประมุขใหญ่ของจวนก็เดินควบคุมงานด้วยตัวเอง
“คุณหนูเจ้าคะ ผ้าไหมสีขาวชิ้นนี้งดงามยิ่งนัก เนื้อนุ่ม
เงางาม คุณหนูเก็บไว้สักชิ้นไหมเจ้าคะ บ่าวว่าเอาไว้ตัดชุดใส่แล้วคงจะงดงามปานเทพธิดา หรือไม่ใครเห็นคงคิดว่าเป็นเทพเซียนลงมาจุติ บ่าวเห็นแล้วเสียดาย คุณหนูเก็บขายหมดไม่มีไว้ตัดชุดสวมเองบ้างเลยนะเจ้าคะ”
มือเรียวขาวสะอาดของจางหยูเฟยหยิบผ้าไหมสีขาวชิ้นนั้นขึ้นมาเพ่งมองดู
“งดงามจริงๆ ถ้าขายน่าจะได้กำไรดี เอาไปขายร้านเถ้าแก่ฮง เถ้าแก่ผู้นี้ใจกว้าง ไม่ค่อยกดราคา คงจะให้ราคาสูงทีเดียว”
หลินเอ๋อร์หน้าเสียไปเพราะคิดว่าเจ้านายจะเก็บไว้ใช้เอง
“คุณหนูไม่เก็บไว้สักชิ้นหรือเจ้าคะ นะเจ้าคะ” บ่าวสาวตื๊อไม่เลิก อยากเห็นคุณหนูที่งามปานนางฟ้าสวมใส่เสื้อผ้างดงามสมหน้าตา
“บ่าวเสียดายผ้างดงามเช่นนี้ นานๆ โรงทอจะได้งานเนื้อดีออกมา คุณหนูเก็บไว้เถอะนะเจ้าค่ะ” เพราะการจะได้เส้นไหมเงางามนั้นต้องขึ้นอยู่ที่รังไหม ถ้ารังไหมสมบูรณ์ก็จะผลิตใยออกมาดี