“ลี่ถิงอยากปรนนิบัติคุณหนูเจ้าค่ะ เพียงแต่ลี่ถิงเคยให้คำมั่นสัญญากับสามีที่ตายไปแล้ว”
ตรัสออกไปแล้วก็อดคิดไม่ได้
***‘ข้ามีสามีตอนไหน’***
“ถึงลี่ถิงจะกลายเป็นม่าย แต่ก็จะซื่อสัตย์ไม่เปลือยกายต่อหน้าผู้ใด นอกจากสามีที่จากไปเพียงคนเดียว” ลี่ถิงยืนกรานอย่างหนักแน่นแล้วตีสีหน้าเศร้าสลด
ภาพนั้นทำให้คุณหนูจางผู้อ่อนโยนพูดไม่ออก พลางรู้สึกผิดขึ้นที่ใช้ให้ลี่ถิงมาปรนนิบัติ “เป็นเช่นนี้เองหรือ ลี่ถิง เจ้าเป็นภรรยาที่ดี สามีเจ้าช่างโชคดีนัก ถึงเขาตายไปแล้วเจ้าก็ยังซื่อสัตย์ต่อเขาเพียงคนเดียว เอาละ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่บังคับให้เจ้าเปลื้องผ้าลงมาปรนนิบัติข้าในน้ำอีก”
รอยยิ้มหวานปนน่ารักของจางหยูเฟยในวัยสิบแปดปีทำให้โอรสสวรรค์มองแล้วคลี่ยิ้มเอ็นดูแกมหมั่นไส้ “วันนี้ลี่ถิงปรนนิบัติคุณหนูไม่ได้ แต่ลี่ถิงสัญญาว่าอีกไม่เกินเจ็ดราตรีข้างหน้า ลี่ถิงคนนี้จะอาบน้ำให้คุณหนู จะช่วยถูช่วยทำความสะอาดให้ทุกซอกทุกมุมเจ้าค่ะ” ลี่ถิงพูดพลางเก็บซ่อนสีหน้าและแววตาซ่อนเล่ห์
ธิดาคนงามของอดีตท่านแม่ทัพใหญ่มองไม่เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผลิขึ้นข้างมุมปากซ้ายของคนงามสามีตาย
“เอาละ ลี่ถิง ข้าไม่มีอะไรจะใช้เจ้าแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
ลี่ถิงพูดจาแปลกๆ บางครั้งดูน่าเห็นใจบางครั้งดูน่าสงสัย แต่ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำทำให้นางไม่อยากใส่ใจสาวใช้คนใหม่อีก “เดี๋ยวลี่ถิง เจ้าไปตามหลินเอ๋อร์ ให้นางรีบมาปรนนิบัติข้าด้วย” เสียงหวานแต่เฉียบขาดเอ่ยตามหลังมา
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
จางหยูเฟยสั่งแล้วก็ค่อยๆ จมจ่อมร่างอ่อนนุ่มหายลงไปในสายน้ำ แล้วว่ายออกจากฝั่งโดยไม่รู้ว่าสายตาคู่หนึ่งมองตามอย่างหมายมาด จางหยูเฟยอาจจะกำลังสวมหน้ากากเป็นคุณหนูผู้ใจดี อ่อนหวาน และยังต้องทำงานหนักเพื่อเลี้ยงคนทั้งจวน แต่จริงๆ แล้วนางอาจกำลังคิดการใหญ่อยู่ก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง พระองค์จะต้องสืบให้กระจ่าง แล้วกระชากหน้ากากแสนหวานนี้ออกมา
รอยยิ้มจางๆ หายไปจากหน้ากงลี่ถิง พี่เลี้ยงคนใหม่ก้าวออกจากเรือนใหญ่แล้วมุ่งตรงสู่เรือนเล็กที่โอบล้อมไปด้วยสวนผัก
&&&&&&&&&&
“คนสกุลจางประหยัดจริงๆ ปลูกผักกินเอง ทั้งผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ปวยเล้ง ล้วนแต่งามแทบทั้งสิ้น” เมื่อเดินมาถึงเรือนพัก แม้เป็นเรือนหลังเล็กทว่าตกแต่งได้น่าอยู่ ข้าวของเครื่องใช้สะอาดสะอ้าน
ทางด้านซ้ายของพระองค์เป็นดงสมุนไพร มีเงาดำที่แวบผ่านไปมาทำให้โอรสสวรรค์ยิ้มที่มุมปาก “เจิ้นเทียน เจ้ามาไวแบบนี้ แสดงว่าเจ้าหาคำตอบให้ข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
เงาดำทะมึนนั้นก้าวออกมาจากความมืดกลายเป็นชายรูปร่างงดงาม เขาคือเจิ้นเทียน หัวหน้าองครักษ์พิทักษ์มังกร ซึ่งมีหน้าที่รับพระบัญชาจากฮ่องเต้โดยตรง เจิ้นเทียนยอบกายคารวะผู้เป็นเจ้าชีวิต
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
“ได้ความอย่างไรบ้าง เหตุใดจางหยูเฟย ธิดาของอดีตท่านแม่ทัพจิ้นเหอถึงไม่ได้รับการคัดเลือกเข้าวัง” หลังจากพระองค์ส่งพิราบสื่อสารไปเมื่อบ่ายนี้ เจิ้นเทียนก็กลับมาพร้อมความจริงที่จะไขข้อสงสัยให้พระองค์
“กระหม่อมไปสืบมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหตุที่คุณหนูสกุลจางไม่ผ่านการคัดเลือกเข้าวัง มีบันทึกเอาไว้ในรายงานของขันทีผู้คัดเลือกหญิงงามเข้าวัง เพราะ... เอ่อ...”
พอเห็นองครักษ์หนุ่มชะงักไปโอรสสวรรค์ก็ยิ่งสงสัย
“เจิ้นเทียน เจ้าเงียบด้วยเหตุใด ข้ารอฟังอยู่”
“เพราะคุณหนูเอวไม่งาม สะดือก็ยังนูนทะลัก จึงไม่ผ่านการคัดเลือกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่นหลิวตี้กำพระหัตถ์แน่น “ใครเป็นผู้คัดเลือกสาวงามเมื่อปีที่ผ่านมา ข้าจะควักลูกตามันให้หมด พวกมันใช้อะไรมอง คงไม่ได้ใช้ตามอง” วันนี้พระองค์เห็นด้วยตาแล้วว่าเอวของนางนั้นช่างคอดบาง เวลาย่างกรายแต่ละครั้งราวกับบุปผากำลังลอยพลิ้วปลิวไปตามสายลม สะดือของนางตอนที่แช่อยู่ในน้ำพระองค์ก็เห็นแล้วว่างดงามชวนเข้าไปหยอกเอิน ไม่ได้นูนทะลักเป็นที่ขัดเคืองตาแบบที่ขันทีบันทึกเอาไว้
“ข้ากลับเข้าวังเมื่อไร จะต้องเรียกสอบขันทีเหล่านั้นแน่” หลังจากหมดข้อสงสัยว่าเหตุใดนางจึงไม่ได้เข้าไปอวดโฉมในวังให้พระองค์ได้ยลโฉม ฮั่นหลิวตี้ก็มีงานชิ้นใหม่ใช้ให้เจิ้นเทียนออกไปสืบ
“เจ้าจงไปสืบมาว่า หญิงจากอาณาจักรโชซ็อนโบราณที่อดีตท่านแม่ทัพพากลับมาเลี้ยงดูในจวนสกุลจาง นางเป็นใครกันแน่ เวลานี้นางหายตัวไปจากจวน ทิ้งลูกสาวชื่อซารังเอาไว้ ข้าต้องการรู้เรื่องเกี่ยวกับนางทุกเรื่อง เพราะข้าสงสัยว่า หญิงผู้นี้และคุณหนูจาง นอกจากจะหันไปค้าขายกับต่างชาติ นางกำลังคิดขายชาติด้วยหรือไม่” ถึงบิดาและพี่ชายของนางได้ชื่อว่ารับราชการอย่างเถรตรง แต่ถ้าถูกสตรีใช้มารยายุแยงก็อาจหลงเชื่อ เพราะสำหรับพระองค์นั้น...
***‘เหล่าสตรีดูยากกว่าศัตรู และสตรีมีพิษร้ายกว่าศัตรู’***
แม้พระองค์จะมีหญิงงามอยู่เต็มวัง ให้เลือกมาสร้างความสำราญอยู่ทุกค่ำคืน แต่ฮั่นหลิวตี้กลับไม่เคยหลงเสน่ห์พวกนาง เหตุเพราะพระบิดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ก็เพราะแผนของสตรีที่ใช้มารยาล่อหลอก
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ คิดกบฏ คดีใหญ่ประหารเจ็ดชั่วโคตรเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าถึงไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม เพราะคนสกุลจางทำความดีไว้มาก ข้าไม่อยากให้รุ่นลูกรุ่นหลานของพวกเขาสร้างความอัปยศให้ตระกูล หากพวกเขายังไม่ได้ทำความผิดร้ายแรงต่อแผ่นดิน ข้ายังพอช่วยได้ แต่หากพวกเขาคิดร้ายต่อข้าและคิดกบฏ ข้าก็เลี้ยงคนสกุลจางไว้ไม่ได้เช่นกัน”
เจิ้นเทียนเป็นคนสนิทที่พระองค์ไว้ใจที่สุด และทำงานได้อย่างถูกพระทัย เพียงแต่เจิ้นเทียนคือหัวหน้าองครักษ์ที่ต้องปิดบังอำพรางใบหน้า ทำให้การลอบมาสืบความเป็นไปในตระกูลจางครั้งนี้ พระองค์ต้องเลือกเว่ยกงกงมาเป็นผู้ติดตามแทน เว่ยกงกงแม้จะเชื่องช้าไปบ้าง แต่ก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้เช่นกัน
&&&&&&&&&&
โอรสสวรรค์กวาดตาไปรอบๆ เห็นเว่ยกงกงค่อยๆ เดินกลับมาที่เรือน “เร็วเข้าสิ เดินเชื่องช้าแบบนี้ เมื่อไรข้าจะได้ฟังรายงาน”
เว่ยกงกงรีบกุลีกุจอเข้าไปในเรือนหลังเล็กแล้วรีบปิดประตูเรือน ก่อนจะค่อยๆ คลานเข้าไปหาคนที่กำลังปลดเปลื้องชุดสตรีออกแล้วกระโดดไปนั่งผงาดอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาว
เมื่ออยู่สองต่อสองในที่มิดชิดเช่นนี้ เว่ยกงกงจึงรีบคำนับกราบบังคมทูล
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไปสืบมาแล้วได้ความว่า หลังสิ้นอดีตท่านแม่ทัพจางจิ้นเหอ ช่วงแรกตระกูลจางลำบากมากเพราะรองแม่ทัพก็ออกทำศึกที่ชายแดน คุณหนูจางจึงต้องรับภาระดูแลผู้คนในสกุลจาง ท่านแม่ทัพจางจิ้นเหอเป็นคนตงฉินอย่างที่ชาวบ้านว่าจึงไม่ได้ทิ้งทรัพย์สมบัติไว้มาก คุณหนูจางจึงต้องทำการค้าเลี้ยงคนในจวน โดยมีหญิงสาวนางหนึ่งที่อดีตท่านแม่ทัพจางพากลับมาด้วยหลังจากอาณาจักรโชซ็อนโบราณได้ถูกทหารฮั่นตีจนแตกพ่าย หญิงผู้นั้นเล่าลือกันว่าฉลาดเฉลียว นำสิ่งแปลกใหม่เข้ามาสอนผู้คน และเป็นคนสอนให้คุณหนูจางติดต่อสื่อสารกับพวกพ่อค้าต่างชาติ”
“ผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นแม่ของเด็กซารัง ที่ตามทวงรางวัลเอากับข้าใช่หรือไม่”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ แต่เวลานี้นางหายตัวไปอย่างลึกลับ”