“หว่าหวา! เจ้าทำข้าตกใจหมด” มือขาวผ่องเร่งซ่อนปิ่นปักผมที่ตนเอาออกมาจากศีรษะเพื่อเตรียมรับมือกับผู้บุกรุกทันทีด้วยความเคยชินจากชีวิตชาติก่อนๆ แต่ชาตินี้นางเป็นเพียงองค์หญิงผู้แสนน่าทนุถนอมเท่านั้นไม่ควรให้ใครรู้เพราะนี่จะเป็นไพ่ตายในยามฉุกเฉิน
“ขอโทษที ก็ข้าเป็นห่วงเจ้ามากนี่นา เจ้ามิรู้หรอกว่าหลังจากข้าทำภารกิจเสร็จก็ได้ข่าวการบาดเจ็บของเจ้าจนต้องทิ้งรายงานให้ท่านพ่ออ่านเอาเองแล้วรีบมาวังหลวง” ใบหน้าพริ้มเพราเต็มไปด้วยความห่วงใยโดยไม่สำนึกผิดที่ทิ้งงานมาแม้แต่น้อย
“ขอบใจเจ้ามากที่เป็นห่วง ข้าไม่เป็นอันใดมากแล้ว” องค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเว่ยรู้สึกสงสารหัวหน้าองครักษ์เฉิงยิ่งนัก บุตรชายล้วนเชื่อฟังคำสั่งอย่างเข้มงวด ผิดกับบุตรสาวที่ไม่ฟังอะไรเลย สั่งซ้ายก็หันขวา สั่งขวาก็พร้อมจะก้มหน้าลงถ้าต้องการ เรียกได้ว่าเพราะตามใจจนมีนิสัยเอาแต่ใจเหมือนนางก่อนความทรงจำกลับมาไม่มีผิด จึงได้เป็นสหายรักกันมายาวนานถึงเพียงนี้
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็โล่งใจ เพียงแต่…เจ้าดูแปลกไปนะ” ทั้งสองคลุกคลีกันมาตั้งแต่เกิดทำให้เฉิงหว่าหวาเองก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม
“ข้าหาได้เปลี่ยนไปหรอก แค่หลังจากเรื่องครานี้ทำให้รู้ว่าการที่ข้าซื่อตรงมากเกินไปมันก็เป็นภัยได้ ข้าจึงเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเสีย คิดให้มากขึ้น ไตร่ตรองให้มากขึ้น และข้าก็ต้องการคนที่ไว้ใจได้มารับใช้ใกล้ชิด หว่าหวา…ข้าอยากทูลขอเสด็จพ่อให้เจ้ามาเป็นองค์รักษ์ลับประจำตัว เจ้าเต็มใจรึไม่” ตั้งแต่ความทรงจำกลับมานางก็ต้องการคนที่จะเป็นมือเป็นเท้าคอยรับคำสั่งโดยตรงจากนางเท่านั้น มิใช่คนของพระบิดาหรือพระมารดาที่อาจทำให้การเคลื่อนไหวตามแผนการต้องติดขัด
“เยี่ยมไปเลย! ข้าเต็มใจอย่างยิ่ง ต่อให้เจ้าสั่งข้าไปบุกน้ำลุยไฟข้าก็ไม่หวั่น ดีกว่าต้องไปทำภารกิจง่ายๆ จากท่านพ่อเสียอีก” อีกหนึ่งสาวงามเบะปากอย่างขัดใจ บิดาของตนหวงแหนบุตรสาวมากจนมอบแต่ภารกิจง่ายๆ ไม่เสี่ยงอันตรายให้ทำ แต่นั่นยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าถูกประคบประหงมจนเกินไป
“ขอบใจเจ้ามาก ยามนี้คนที่ข้าไว้ใจได้มีเพียงเจ้ากับเข่อซิงและมู่หนันเท่านั้น” คิดแล้วก็ช่างน่าหน่ายใจ เพราะแต่ก่อนนางหาได้สนใจสังเกตคนรอบกาย จึงมิรู้ว่าตกลงผู้ใดที่เป็นหนอนบ่อนไส้บ้าง
“แล้วคนของฝ่าบาทและเสด็จป้าหวงกุ้ยเฟยเล่า” องครักษ์หญิงเอียงคอถามด้วยความฉงน
“เจ้าก็รู้ว่าอำนาจของเงินมันหอมหวาน” เพียงประโยคเดียวสายตาสองคู่ก็สบมองกันอย่างเข้าใจ
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้วข้าจะรอรับราชโองการก็แล้วกัน เช่นนั้นข้าจะไปเตรียมตัวก่อน” การย้ายตำแหน่งงานทำให้นางต้องสะสางภารกิจที่ยังคั่งค้างอีกเล็กน้อย
“ได้ ขอบใจเจ้าจริงๆ นะหว่าหวา” การมีคนมากฝีมือที่สามารถฝากฝังให้ทำงานแทนได้ มันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นมาก
“เราเป็นสหายกันมาเป็นสิบปีแล้วนะ ยังจะมามัวพิธีรีตรองอันใดอีก” เฉิงหว่าหวายิ้มขำให้กับความอ่อนน้อมนั้นก่อนจะเร้นกายออกไปจากตำหนัก
ในที่สุดหญิงสาวก็ได้กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ความเงียบที่เฝ้ารอทำให้ฤทธิ์ยาเริ่มทำงาน หนังตารู้สึกหนักขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่ในสภาวะสะลึมสะลือ ร่างบางผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าที่ต้องเจอผู้คนวุ่นวายแต่เช้า ขณะกำลังจะเคลิ้มหลับอย่างมีความสุข…
“องค์หญิงใหญ่ ท่านราชครูหลิวขอเข้าเฝ้าเพคะ” นางกำนัลคนสนิทที่ถูกให้ออกไปรอหน้าห้องบรรทมแจ้งถึงผู้มาเยือนที่ทำให้ดวงตาหนักอึ้งต้องเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“เจ้า…บอกว่าใครมานะ” เสียงหวานถามย้ำอีกครั้งกลัวว่าตนจะหูแว่ว
“เอ่อ…เป็นท่านราชครูหลิวเพคะ” คำตอบชัดเจนทำเอาเว่ยซินอี้กรีดร้องในใจเป็นรอบที่ร้อยของวัน พวกเขาเป็นอันใดกันเหตุใดจึงมารบกวนนางมิหยุดหย่อน หากรู้เช่นนี้สั่งปิดตำหนักไปเสียเลยดีกว่ารึไม่!
“บอกเขาว่าข้ายังป่วยอยู่ ไม่สามารถให้การต้อนรับได้”
ทุกอย่างเงียบสนิทเมื่อเจ้าของตำหนักกล่าวเช่นนั้น เข่อซิงได้แต่ยิ้มแห้งเพราะแขกที่ว่าก็ยืนรออยู่ตรงหน้าห้องบรรทมทั้งยังได้ยินทุกคำที่พระองค์เอ่ยอีกด้วย ที่เขาเข้ามาถึงที่ส่วนพระองค์เป็นเพราะว่าแต่ก่อนเว่ยซินอี้บอกกับเหล่านางกำนัลเสมอให้ต้อนรับบุรุษผู้นี้เป็นอย่างดีและให้เขาเข้านอกออกในตำหนักของตนได้โดยมิต้องรอคำอนุญาต ซึ่งไม่มีสักครั้งที่ราชครูหลิวจะเหยียบย่างเข้ามาในตำหนักขององค์หญิงใหญ่เช่นวันนี้
“กระหม่อมผิดเองที่คิดน้อยเกินไป พระองค์คงไม่อยากให้กระหม่อมเห็นตอนที่กำลังทรุดโทรมจากการบาดเจ็บ แม้กระหม่อมจะไม่สนใจเรื่องนั้นสักนิดเพราะในสายตาของกระหม่อมพระองค์ทรงงดงามหาสตรีใดเทียบได้และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ อย่างไรเสียการตัดสินพระทัยขององค์หญิงย่อมสำคัญที่สุด เอาไว้โอกาสหน้ากระหม่อมจะมาเยี่ยมเยียนพระองค์อีกครั้ง ได้โปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ริมฝีปากหยักกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วจากนั้นจึงหันหลังเดินออกไป ทิ้งไว้แต่ใบหน้าแดงก่ำของบรรดานางกำนัลสาวน้อยใหญ่ในตำหนักที่ส่งเสียงวี๊ดว๊ายด้วยความตื่นเต้นแทนผู้เป็นนาย บุรุษใดเล่าจะพูดจาเอาใจสตรีถึงเพียงนี้ยิ่งเป็นท่านราชครูหลิวผู้แสนเย็นชาด้วยแล้วถือว่ายากเสียยิ่งกว่ายาก ดังนั้นคำพูดเหล่านั้นจึงถูกโหมกระพือกลายเป็นข่าวลือไปทั่ววังหลวงในไม่ถึงชั่วยาม หลายคนอิจฉาองค์หญิงใหญ่ไม่น้อยที่บุรุษผู้ไม่เคยมีข่าวลือกับหญิงใดกลับทำตัวอ่อนหวานกับสตรีที่เคยตามเกี้ยวตนเช่นนี้
ผิดกับสตรีต้นเรื่องของข่าวลือที่นอนตัวแข็งค้างกับคำพูดพวกนั้น เจ้าบุรุษหน้าไม่อายนั่นกล่าวสิ่งใดออกมากัน! เหตุใดจึงทำเหมือนว่าเขาตอบรับไมตรีจากนางเล่า!! มิใช่ว่าในเมื่อคนที่คอยกวนใจหายไปก็น่าจะพออกพอใจนี่ ไฉนเลยจึงทำราวกับว่าเขาและนางได้ตกลงปลงใจเป็นคนรักกันแล้วล่ะ มือบางยกขึ้นขยุ้มผมบนศรีษะอย่างเคร่งเครียดก่อนจะคว่ำหน้าลงกับหมอนแล้วกรีดร้องออกมาแบบไร้เสียง
ทางด้านชายหนุ่มหลังจากได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจเรียบร้อยแล้วก็เดินตรงไปยังห้องทรงงานเพื่อคอยปรึกษาราชกิจกับฮ่องเต้ ใบหน้าคมหล่อเหลาประหนึ่งเทพเซียนไม่แสดงความรู้สึกใดเฉกเช่นยามปกติ ดวงตาเรียวนิ่งสนิทไร้ระลอกคลื่นราวกับเป็นคนไร้อารมณ์ กลิ่นอายที่แผ่ออกมารอบตัวทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าทัก
“คาราวะท่านราชครูหลิว” เสียงหวานสดใสดังขึ้นจากด้านหลังหลิวอู๋ซวนจึงต้องหยุดเพื่อรักษามารยาท
“ถวายพระพรองค์หญิงรอง” ร่างสูงก้มศีรษะลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ท่าทางเย่อหยิ่งนั่นยิ่งกระตุ้นความน่าครอบครองให้เพิ่มมากขึ้นจนสาวน้อยเหม่อมองพร้อมใจที่เต้นระรัว
“ท่านราชครูมาเยี่ยมพี่หญิงใหญ่หรือเจ้าคะ” สาวน้อยเว่ยซินเหยียนถามน้ำเสียงออดอ้อน นางเพิ่งผ่านการปักปิ่นมาเพียงหนึ่งปีความน่ารักซุกซนขี้เล่นจึงเป็นจุดเด่นที่บุรุษหลายคนชมชอบ
“พ่ะย่ะค่ะ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทคงรอกระหม่อมอยู่ ต้องขอตัวก่อน” ชายหนุ่มมิได้เหลียวแลบุปผาที่ทอดสะพานมาแม้เพียงนิด เขามีคนที่หมายตาไว้จึงไม่คิดจะสนใจผู้ใดอีก
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าค-” ยังไม่ทันเอ่ยจบร่างสูงก็เดินไปไกลแล้ว องค์หญิงรองจึงได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ