ออด!!
เสียงร้องของรถไฟที่ร้องขึ้นอย่างต่อเนื่องยามเมื่อได้รับการเติมเชื้อเพลิงซึ่งเป็นถ่านหินเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่ากลับทำให้คราเทลที่ตอนนี้ถูกเชิญมานั่งใกล้ๆกับชายหนุ่มที่มาช่วยเหลือเธอเอาไว้รู้สึกกดดันไม่น้อยที่จะต้องมานั่งตรงกันข้ามกับเขาในห้องขนาดใหญ่ซึ่งบอกฐานะของเขาอยู่แล้วว่าร่ำรวยมากขนาดไหน
‘แล้วเธอกับชีวิตไฮโซพวกนี้ก็ช่างแตกต่างกันสิ้นดี!’ คราเทลคิดก่อนจะมองดูชายหนุ่มในมาดคุณชายที่กำลังนั่งจิบชาด้วยท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่ฝั่งตรงข้ามบนโซฟาสีน้ำเงินตัวใหญ่
ห้องแห่งนี้มีเฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น โต๊ะไม้ขนาดกลางถูกขนาบข้างด้วยโซฟาสองตัว กรอบรูปวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติและชุดถ้วยน้ำชาประมาณสี่ใบพร้อมกับผงชาวางเอาไว้
“เธอชื่ออะไรเหรอ” เขาถามด้วยแววตาเป็นมิตรเสียจนหญิงสาวอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงได้ใจดีกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกแบบนี้ ทั้งๆที่ดูจากบุคลิกของเขาแล้วก็น่าจะเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบไม่น้อย
“ก่อนจะถามชื่อของคนอื่นน่ะ...” ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยจบ เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นพร้อมกับการแนะนำตัวที่ยังไม่ต้องรอให้เธอเอ่ยจบเสียด้วยซ้ำ
“ฉันชื่อเอส”
“ส่วนฉันชื่อ....” หญิงสาวลากเสียงยาวราวกับว่ากำลังใช้ความคิดก่อนจะตอบไปด้วยน้ำสียงฉะฉานว่า “เซน่า”
คราเทลโกหกชื่อของตนเองไปเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายก็กำลังปิดบังชื่อจริงของเขาอยู่เช่นกัน อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าต่างฝ่ายต่างก็บริสุทธิ์ใจแล้ว ชื่อก็ไม่มีผลอะไรกับมิตรภาพนั้นหรอก
“ยินดีที่ได้รู้จักนะเซน่า ยังไงเธอก็คงไม่รังเกียจที่จะนั่งดื่มชากับฉันจนกว่ารถไฟแวะจอดยังสถานีต่อไปหรอกนะ จริงอยู่ที่การเดินทางไปยังเดแฮมเบลอาจจะล่าช้าลงไปบ้าง แต่นี่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ฉันคิดได้ในตอนนี้”
“ก็นะ ฉันก็เห็นด้วยกับนายเหมือนกัน ถ้าจะให้คิดวิธีอื่นที่มันดีกว่านี้ก็คงจะคิดไม่ออกแล้วล่ะ” คราเทลเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกน้ำชาขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมดเพื่อแก้ความกระหาย
“ว่าแต่ เธอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหมว่าทำไมเธอถึงได้ขึ้นรถไฟผิดขบวนได้” เอสถามอย่างตรงไปตรงมาเล่นเอาคราเทลที่กำลังดื่มชาถ้วยที่สองถึงกับสะดุ้ง ต่อด้วยเสียงไออย่างหนักที่แสดงออกมาให้เห็นว่ายัยตัวแสบเกิดอาการ ‘สำลัก!’
“แค่กๆๆๆ! โอ้ย! มาสำลักอะไรตอนนี้เนี้ย!!” อาการของเธอเรียกเสียงถอนหายใจออกมาจากเอสได้เป็นอย่างดี เขาลุกขึ้นยืนจากโซฟาก่อนจะลูบหลังหญิงสาวเบาๆอย่างอ่อนโยน ต่อด้วยการูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดูราวกับว่าเธอเป็นเพียงเด็กน้อยคนอื่นเท่านั้นเอง
ความอบอุ่นที่ส่งมาให้ส่งผลให้เธอก้มหน้าลงเพราะความไม่เคยชิน เปิดโอกาสให้เอสยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆหูของคนที่ตัวเล็กกว่าโดยที่เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัว
และก่อนที่คราเทลจะบอกให้ชายหนุ่มถอยห่าง เสียงกระซิบที่แผ่วเบาแต่กลับเด่นชัดอยู่ในสมองของเธอก็ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มว่า
“ด้วยเกียรติของทายาทแห่งฟีเดธเธอร์ ข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อสายเลือดศักดิ์สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว...ตลอดไป”
วูบ!
คราเทลรู้สึกถึงพลังอะไรบางอย่างที่ส่งทอดมาสู่ร่างผ่านทางมือหนาที่จับอยู่บนศีรษะของเธอ ความอบอุ่นนั้นค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาถึงตำแหน่งหัวใจของเธอก่อนที่ความรู้สึกนั้นจะจางหายไปราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
‘ความภักดีทั้งหลาย ขอมอบแด่คราทีล่า โดมีนาน แต่เพียงผู้เดียว....’
เสียงที่ดังก้องอยู่ในหัวส่งผลให้สติของร่างบางเลื่อนลอย ทุกอย่างในหัวของเธอดูจะเบลอๆไปหมด ความชาไร้ความรู้สึกดูดกลืนไปทั่วทั้งร่างกายราวกับว่าเธอไม่เป็นตัวของตนเองอีกต่อไป
ดวงตาสีอเมทิสต์หลับลงช้าๆก่อนที่อักขระมนตราสีม่วงซึ่งเป็นรูปดาวหกแฉกในวงกลมอันใหญ่จะปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเธอโดยที่หญิงสาวไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปนานแสนนานในความเป็นจริง แต่มันกลับเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆในความคิดของเธอ
“ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม” เสียงของเอสส่งผลให้ดวงตาคู่สวยลืมขึ้นอีกครั้งพร้อมกับกะพริบถี่ๆอย่างมึนงง
“อื้ม...ไม่เป็นอะไรแล้ว” คราเทลตอบพร้อมกับมองดูรอบๆห้องซึ่งเฟอร์นิเจอร์ต่างๆยังคงอยู่ที่เดิม น้ำชาที่เธอสำลักหกเปื้อนเสื้อสีเข้มของเธอให้เข้มขึ้นมากกว่าเดิม แถมเธอยังรู้สึกเหนียวตัวอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าน้ำชานั้นหกใส่เสื้อเธอเป็นระยะเวลานานแล้วเสียอย่างนั้น
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ ถัดจากห้องนี้ไปมีห้องน้ำอยู่ห้องหนึ่ง เชิญใช้ได้ตามสบาย”
คราเทลพยักหน้าหงึกหงักให้กับคำพูดของเขา มือบางคว้าเอากระเป๋าสัมภาระของตนเองซึ่งวางอยู่ทางด้านข้างขึ้นมาสะพายหลัง ในหัวของเธอรู้สึกมึนๆราวกับถูกใช้งานอย่างหนักทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้ไม่เคยเป็น แต่ทำไม ภายในเวลาเพียงไม่นานถึงได้รู้สึกราวกับว่าใช้แรงไปเยอะขนาดนี้
“สงสัยเป็นเพราะหิวข้าวแน่ๆเลยเรา” คราเทลคิดพลางตบหัวตัวเองเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ดวงตาสีแซฟไฟร์มองตามไปจนลับตาเสียจนแววตาของเขาเปลี่ยนเป็นแววตาราบเรียบ ผิดจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ
“คราทีล่า โดมีนาน” เขาเอ่ยเสียงแผ่วอย่างเลื่อนลอยราวกับกำลังใช้ความคิด ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดชะงักเมื่อเขารับรู้ถึงความเจ็บที่หัวไหล่ซ้าย มันเจ็บเสียจนเขาต้องเอื้อมมือไปกุมมันเอาไว้เพื่อระงับความเจ็บปวดที่เริ่มกำเริบ และดูเหมือนมันจะลามไปยังบริเวณอื่นๆอย่างห้ามไม่ได้
ใบหน้าหล่อเหลาเบ้หน้า ฟันขบเข้าหากันแน่นอย่างอดกลั้นก่อนที่อักขระมนตราสีน้ำเงินจะปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าเช่นเดียวกับคทาขนาดกลางซึ่งเป็นคทาประจำตัวของเขาที่ถูกส่งออกมาจากความว่างเปล่า
ลูกแก้วขนาดพอดีฝ่ามือถูกล้อมกรอบด้วยเถาวัลย์สีเขียวอมน้ำเงินที่พันเป็นเกลียวโดยรอบไปจนถึงด้ามคทาซึ่งเป็นไม้สีเดียวกันแต่เข้มกว่ากันเล็กน้อย
เอสคลายมือขวาออกจากหัวไหล่ซ้ายของตนเองก่อนจะเอื้อมไปจับด้ามคทาแล้วเริ่มร่ายเวทย์รักษาเพื่อระงับความเจ็บปวดของตนเองเอาไว้ จนกระทั่งไอเย็นนั้นซึมผ่านเข้าไปยังบริเวณที่สร้างความทรมานให้กับเขามานานกว่าสิบห้าปีที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ความเจ็บปวดนั้นเริ่มทุเลาลงแต่เขายังลงนิ่งเงียบอยู่ในท่าเดิมโดยไม่คิดที่จะขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
‘พันธะแห่งมาร...พันธะที่เขาต้องยอมรับทั้งๆที่ไม่เต็มใจ และไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปฏิเสธ’
แววตาที่เศร้าสร้อยจากดวงตาคมนั้นเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องซึ่งเป็นภาพของต้นไม้ต้นแล้วต้นเล่าที่รถไฟขบวนนี้นั้นแล่นผ่าน
‘พันธะที่สร้างความเจ็บปวดให้เขายามเมื่อไม่ได้ทำตามคำสั่งของพันธะนั้น....’
ชายหนุ่มคิดพลางกำมือแน่น ก่อนจะเรียกเก็บคทาของตนเองพร้อมกับอักขณะมนตราที่หายไปจากพื้นรถไฟที่ถูกปูทับด้วยพรหมสีน้ำตาลแก่ที่ถูกถัดทออย่างปราณีตด้วยช่างฝีมือชั้นดี
“เซน่า” เอสเรียกชื่อกำมะลอที่หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงตั้งขึ้นพลางหัวเราะออกมาเบาๆอย่างเอ็นดู “เข้าใจคิดจริงนะ”
“ฮัดชิ้ว!”
ยัยตัวแสบที่เพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อเสร็จแต่ยังไม่ได้เดินออกจากห้องน้ำถึงกับจามออกมาทั้งๆที่เมื่อครู่นี้ยังไม่มีอะไรแท้ๆ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันก่อนจะบ่นออกมาเบาๆอย่างสงสัยว่า
“ใครนินทาเนี่ย?”
เธอคิดพลางเกาคางอย่างครุ่นคิดก่อนที่จะมองไปยังกระจกเบื้องหน้าซึ่งแสดงเงาสะท้อนของตนเอง
“เอ๊ะ!” แต่แล้ว ภาพตรงหน้าของเธอกลับถูกซ้อนทับด้วยอะไรบางอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพของถ้ำมืดสนิทที่แสนน่ากลัว กลื่นเหม็นคาวเลือดจากที่ไหนสักแห่งลอยเข้ามาแตะจมูกพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งที่คราเทลถึงกับยกมือขึ้นมากุมศีรษะของตนเองเอาไว้แล้วส่ายหน้าแรงๆเพราะคิดว่าตนเองประสาทหลอนไปแล้ว
“โอย...ไม่ได้กินข้าวแล้วเป็นเรื่องทุกทีเลยเรา สงสัยต้องออกไปหาอะไรใส่ท้องซะหน่อยแล้ว” คิดได้ดังนั้น คราเทลก็เลิกที่จะสนใจกระจกตรงหน้าอีก
ทันทีที่คราเทลเปิดประตูห้องน้ำ กลิ่นหอมของอาหารซึ่งทางรถไฟจะเสิร์ฟในเวลาอาหารเย็นส่งผลให้ร่างบางถึงกับกลืนน้ำลายเฮือกเช่นเดียวกับท้องของเธอที่เริ่มร้องประท้วง
คร่อก~…
“ไว้ค่อยแวะกลับมาหาเอสก็แล้วกัน”
ว่าแล้วเธอก็เดินไปยังทิศตรงข้ามกับห้องของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีดำสนิท มุ่งหน้าไปยังจุดคนที่ซื้อบัตรทั่วไปซึ่งเป็นที่นั่งแบบติดกำแพงทั้งสองฝั่งของรถไฟ ส่วนตรงกลางก็เว้นว่างไว้เป็นทางเดิน
ผู้คนส่วนใหญ่ในตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับอาหารบนโต๊ะขนาดเล็กที่สามารถดึงขึ้นมาจากตรงพื้นบริเวณด้านหน้าที่นั่งเพื่อให้สะดวกต่อการใช้และการเก็บเข้าที่
หญิงสาวกวาดตามองไปเรื่อยๆจนกระทั่งสายตานั้นสะดุดเข้ากับที่นั่งหนึ่งที่ที่ยังว่างอยู่ และดูเหมือนว่าจะไม่มีคนจองเอาไว้เนื่องจากไม่มีของอะไรวางทิ้งเอาไว้เลย
‘ได้การล่ะ’ คราเทลคิดในใจก่อนจะเดินตรงไปยังที่นั่งนั้นด้วยความเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด หนึ่งในกลยุทธของนักฆ่าเก่าของพ่อของเธอคือการสอนให้ดูกลมกลืนกับผู้อื่นให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เป็นที่จับตามองยามที่เราจะต้องลงมือทำอะไรก็ตาม
คราเทลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ซึ่งทีความนุ่มต่างจากโซฟาในห้องของเอสลิบลับ และทันทีที่ร่างบางทิ้งตัวลงนั่ง เสียงใสก็เอ่ยขอสั่งอาหารจากพนักงานภายในรถไฟทันทีด้วยความหิวที่เริ่มจะหนักมากขึ้นทุกทีจนสมองนั้นเบลอไปหมด