ตอนที่ 3 : สิ่งที่แฝงตัวในความมืด
“โอย....อิ่ม อิ่มจนท้องจะแตกอยู่แล้ว”
คราเทลบ่นด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเนื่องจากยัดอาหารเข้าไปในปากด้วยสถิติที่เร็วกว่าปกติประมาณสองเท่าตัวได้ รู้อย่างนี้ เธอค่อยๆกินไปดีกว่าจะยัดทุกอย่างเข้าปากในคราเดียวแล้วมานั่งปวดท้องอยู่แบบนี้
ร่างบางยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากราวกับได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะก้าวเท้าเดิน เสียงของเด็กคนหนึ่งก็ร้องขึ้น ดึงความสนใจของเธอไปยังหน้าต่างอย่างรวดเร็ว
“แม่คะ ดูสิๆ! รถไฟกำลังจะเข้าอุโมงค์แล้ว”
“อุโมงค์งั้นเหรอ...” ดวงตาสีอเมทิสต์ชะเง้อมองดูทางตรงหน้าซึ่งเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รถไฟสามารถวิ่งผ่านภูเขาซึ่งเป็นเขตกั้นระหว่างสองประเทศได้
จะว่าไปแล้ว เพื่อลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นจากรถไฟ ผู้ออกแบบจึงให้ทางรถไฟส่วนใหญ่เป็นทางตรงทั้งสิ้น ขนาดว่ามีภูเขาลูกใหญ่มาขวาง เขาก็ยังทำอุโมงค์ตีทะลุไปได้
พรึบ!
เสียงขบวนรถไฟที่วิ่งผ่านเข้ามาในอุโมงค์ทำเอาหญิงสาวถึงกับสะดุ้ง รถไฟทั้งขบวนถูกปกคลุมไปด้วยความมืดแต่เสียงพูดคุยกันของผู้คนทำให้คราเทลรู้สึกอุ่นใจไม่น้อย
‘อย่างน้อย เสียงพูดคุยก็ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว’
นับตั้งแต่เธอจากพ่อกับแม่มา เธอพยายามบอกตัวเองเสมอว่าให้เข้มแข็ง ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ เธอก็สามารถหามิตรสหายได้ทุกเมื่อเพราะฉะนั้นอย่าคิดว่าตนเองโดดเดี่ยวบนโลกใบนี้เป็นอันขาด
แต่แล้ว ความผิดปกติก็เริ่มขึ้น เมื่ออยู่ดีๆเสียงทั้งหมดนั้นค่อยๆเบาลงอย่างน่าใจหาย ราวกับว่าคนเหล่านั้นถูกอะไรบางอย่างดูดกลืนเสียงให้หายไปจนกระทั่งเงียบสงัด
อุณหภูมิภายในรถไฟที่เคยอบอุ่นกลับลดลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระแสลมหนาวที่พัดแรงเสียจนคราเทลรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว
เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากอดตนเองเอาไว้เพื่อกันตนเองออกความหนาวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเธอเริ่มชาและรู้สึกแสบจมูกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมืองทราวิลเลียที่เธออาศัยอยู่เป็นเมืองอบอุ่นและไม่เคยมีหิมะตกมาก่อน จึงไม่แปลก ที่ร่างกายของเธอจะไม่ชินกับสภาพอากาศแบบนี้
“เกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่น ความอุ่นที่มาจากลมหายใจของเธอปะทะกับความเย็นจนกลายเป็นไอสีขาวลอยขึ้นไปด้านบนราวกับว่าที่ๆยืนอยู่นี้ไม่ใช่บนรถไฟอีกต่อไป
มันเหมือนเป็นดินแดนที่อ้างว้าง ไร้ขอบเขต....
คราเทลพยายามจะเอื้อมมือไปคว้าหาที่นั่งซึ่งควรจะอยู่ด้านหลังของตนแต่กลับพบแต่เพียงความว่างเปล่าและความอ้างว้างที่เริ่มมาครอบคลุมหัวใจของเธอเสียจนรู้สึกถึงความมชื้นที่ขอบตา
เสียงลมที่พัดอย่างต่อเนื่องดูเหมือนจะเป็นเสียงร่ำไห้ของอะไรสักอย่างที่เธอไม่อยากจะได้ยิน มือทั้งสองข้างของเธอเริ่มชาเสียจนไร้ความรู้สึก เพิ่มความกลัวให้กับร่างบางมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว
“ที่นี่ที่ไหนกันแน่” เธอกล่าวพร้อมกับมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัว แต่กลับเห็นเพียงแต่ความมืดที่ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นแม้กระทั่งที่ๆเธอยืนอยู่
“กลัว....ฉันกลัวแล้ว” คราเทลพูดพลางยกมือขึ้นมากุมศีรษะของตนเองเอาไว้เช่นเดียวกับเข่าของเธอที่เริ่มอ่อนแรงเสียจนหญิงสาวตัดสินใจทิ้งตัวลงบนจุดที่เธอยืนอยู่
ฟึบ!
ความเปียกชื้นส่งผลให้เธอก้มลงมองเข่าของตนเองที่มีอะไรบางอย่างลองรับเอาไว้
หิมะ?
ดวงตาสีอเมทิสต์เบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ รอบๆตัวเธอไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป แต่มันกลับถูกปกคลุมด้วยหิมะที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
เกล็ดหิมะสีขาวปลิวไสวไปตามกระแสลมที่พัดแรงเสียจนผมของเธอถูกพัดไปตามแรงลมนั้น
‘คำสาปเหมันต์...คำสาปที่จะกัดกินหัวใจของทุกคนไปสู่ก้นบึ้งแห่งความสิ้นหวังและความสูญเสียที่ไม่มีวันจะคืนกลับมา’
น้ำเสียงโหยหวนที่พัดผ่านร่างของเธอส่งผลให้หญิงสาวหลับตาลงเนื่องจากลมหนาวนั้นพัดเข้ามาในดวงตาของเธอเสียจนรู้สึกแสบตาไปหมด
‘เราต้องออกไปจากที่นี่...’ คราเทลคิดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเธอตอนนี้คืออะไร แต่สัญชาตญาณของเธอมันบอกให้หนี! หนีไปจากที่นี่ สถานที่ๆหนาวเหน็บแห่งนี้!! แต่....
‘จะหนีไปยังไงล่ะ...’
คราเทลจมอยู่ในความคิดของตนเองจนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น และมันก็ไม่ได้ดังมาจากทางด้านนอก แต่มันดังเด่นชัดมาจากทางด้านใน!
“เซน่า เซน่า...”
“เอ๊ะ!”
คราเทลลืมตาขึ้นอย่างงงงวยเมื่อได้ยินเสียงทุ้มของใครบางคนจากทางด้านหน้า แสงสว่างรอบๆตัวเธอส่งผลให้หญิงสาวถึงกับหลับตาปี๋ก่อนที่จะลืมขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาใกล้เธอเกินความจำเป็น
“เย้ย! เอส!!”
ตุบ!
“โอ้ย!” ร่างบางถึงกับหลุ่นตุบลงบนพื้นรถไฟพร้อมกับร้องออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะตกใจกับใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่รู้ว่ามองเธอมานานแค่ไหนแล้ว
‘นี่เราฝันไปอย่างนั้นเหรอ?’ คราเทลคิดพลางมองไปรอบๆบริเวณซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย แถมตอนนี้สายตาทุกคู่ก็มองตรงมาที่เธอกับเอสเป็นตาเดียวอีกต่างหาก!
“ผู้ชายคนนั้นหล่อจังเลยอ่ะเธอ”
“นั่นสิ หล่อราวกับเทพบุตรจริงๆ”
“แต่ดูผู้หญิงคนนั้นสิ สวยก็สวยอยู่หรอก แต่แต่งตัวนี่ไม่เหมือนผู้หญิงเลยสักนิด”
“เฮ้อ! พวกเขาเป็นแฟนกันเหรอนี่ เสียด๊ายเสียดาย”
เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบที่น่ารำคาญเล่นเอายัยตัวแสบถึงกับคิ้วกระตุกเพราะเธอได้ยินคำพูดทั้งหมดอย่างชัดเจนเต็มสองรูหูเลยทีเดียว!
‘ทำไมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเรากับเอสมันถึงได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวแบบนี้ล่ะฟ่ะ!’ คราเทลคิดพลางถอนหายใจเฮือกกับความไม่ยุติธรรมของผู้คนในปัจจุบันที่ดูเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนจะมองแต่ภายนอกเป็นหลัก และถึงแม้ว่าหลายๆคนจะรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะมองแต่ภายนอกอยู่ดี
นี่แหละน้า....มนุษย์
“ฉันเห็นเธอไปเปลี่ยนชุดนานเกินไปก็เลยมาตามหาน่ะ” ชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีแซฟไฟร์กล่าวพลางยื่นมือส่งให้กับเธอ
“อื้ม....” คราเทลพยักหน้ารับเล็กน้อย อดที่จะนึกถึงสิ่งที่เธอเจอก่อนหน้านี้ไม่ได้ว่าสิ่งที่เธอเจอนั้นคืออะไรกันแน่
มือบางยื่นไปจับมือหนาที่ยื่นส่งมาเพื่อให้เขาพยุงร่างของเธอขึ้นยืน คราเทลเบือนสายตาไปมองหญิงสาวสองคนที่วิพากษ์วิจารณ์เธอเล็กน้อยด้วยหางตาส่งผลให้พวกเธอทั้งสองถึงกับหันหน้าไปมองทางอื่นด้วยท่าทีร้อนรน
การกระทำของยัยตัวแสบเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเอสได้เป็นอย่างดี แต่พอคราเทลหันหน้ามาทำตาขวางใส่เท่านั้นแหละ ชายหนุ่มก็ได้แต่เสมองไปทางอื่นทั้งๆที่ไม่ได้หยุดหัวเราะเลยแม้แต่น้อย มือหนายังคงจับมือของเธอเอาไว้ราวกับว่าเจ้าตัวลืมที่จะปล่อยมันไปเสียสนิทเสียจนร่างบางร้องทัก
“นี่เอส....”
“อีกไม่นานก็จะถึงสถานีต่อไปแล้ว ขอฉันอยู่แบบนี้จนกว่าจะถึงตอนนั้นเถอะนะ”
น้ำเสียงอ่อนแรงของเขาทำให้คราเทลไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก มือใหญ่ที่กุมมือของเธอเอาไว้กระชับแน่นขึ้นกว่าเดิมก่อนที่เขาจะพาเธอเดินไปยืนรอที่หน้าประตูเพื่อรอประตูที่จะเปิดในสถานีต่อไป