ตอนที่ 2 : ขึ้นรถไฟผิดขบวน
“แน่ใจนะว่า เตรียมของครบหมดแล้ว”
เสียงของแม่บุญธรรมส่งผลให้คราเทลพยักหน้ารับอย่างจำใจ พยายามไม่หันหน้าไปมองหน้าพ่อบุญธรรมของเธอที่เดินทางมาส่งที่สถานีรถไฟประจำเมืองแห่งนี้ซึ่งเปิดทำการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
พื้นที่ทำจากปูนสีขาวสะอาดดูหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากสถานีแห่งนี้ถูกใช้มาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว จำได้ว่าเมื่อตอนเธอเด็กๆ พ่อของเธอเคยพามาที่นี่ครั้งหนึ่งเพื่อมารับแม่เธอจากการเดินทางไปเป็นพยาบาลชั่วคราวที่ต่างเมือง
ในตอนนั้น ทุกๆอย่างที่เธอเห็นดูเหมือนจะใหญ่โตไปหมด ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้นั่งสีเขียวแก่ตามทางเดิน รวมไปถึงรถไฟขบวนยาวที่ร้องดังจนเธอถึงกับกระโดดไปหลบอยู่ข้างหลังฟีเรียสอย่างตกใจ
“ดูแลตัวเองให้ดีๆล่ะ”
ออด!!!
“ห๊ะ! ว่ายังไงนะพ่อ เสียงรถไฟมันดังเกินไป ฉันฟังไม่รู้เรื่องเลย” หญิงสาวกล่าวพร้อมกับเงี่ยหูฟังเต็มที่ แต่ชายวัยกลางคนกลับไม่พูดอะไรออกมาอีกเพราะรู้สึกกระดากปากชอบกลที่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยให้ยัยตัวแสบได้เห็น
เสียงรถไฟที่เป็นอุปสรรคในการพูดคุยของพวกเธอทำให้การสนทนานั้นไม่สะดวกเท่าไหร่นัก แต่หลังจากที่ล่ำลากันเป็นเวลานานพอสมควร ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบทสนทนาระหว่างหญิงวัยกลางคนกับบุตรสาวเสียมากกว่าอดีตนักฆ่าที่เอาแต่ยืนปั้นหน้านิ่ง คราเทลที่จะต้องจากบ้านไปไกลก็ถึงกับโผเข้ากอดผู้ปกครองทั้งสองของเธอโดยลืมเรื่องที่โกรธพ่อบุญธรรมของเธอที่ส่งเธอไปเรียนที่โรงเรียนไปโดยปริยาย
“แล้วจะรีบกลับมาป่วนที่บ้านต่อนะ”
คราเทลพูดส่งท้ายก่อนจะฉีกยิ้มกวนประสาทให้กับพ่อบุญธรรมของเธอในขณะที่ฟีเรียสถึงกับเงื้อมือขึ้น หมายจะตบกะโหลกสวยๆของคราเทลให้หายหมั่นไส้แต่แล้วเขาก็พลาด เมื่อหญิงสาวนั้นวิ่งฉิวเข้าไปยื่นตั๋วให้กับพนักงานสถานีตรวจแล้ววิ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ชายหญิงวัยกลางคนทั้งสองมองตามร่างบางที่วิ่งจากไปด้วยแววตาเป็นห่วงเพราะรู้ดีว่า ต่อจากนี้ไป ชีวิตของคราเทล เรเมอร์…จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
“เฮ้อ!”
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกก่อนจะมองไปรอบๆตัวอีกอย่างด้วยอารมณ์ขี้เล่นที่แตกต่างจากเมื่อครู่นี้ลิบลับ บรรยากาศที่แสนวุ่นวายนี้กลับทำให้หัวใจของเธอรู้สึกโหวงๆราวกับขาดที่พึ่งที่สำคัญไป ทั้งๆที่เสียงพูดคุยต่างๆนาๆควรจะทำให้เธอรู้สึกรื่นเริงแท้ๆ แต่เธอกลับรู้สึกเหงา…ทั้งๆที่เพิ่งจากครอบครัวไปไม่กี่นาทีแท้ๆ
“คิดมากไปแล้วเนี่ยเรา” คราเทลรำพึงออกมาก่อนจะตบหน้าตัวเอาเบาๆเพื่อเรียกกำลังใจและความร่าเริงให้กลับคืนมา ดวงตาสีอเมทิสต์มองดูตั๋วในมือที่เขียนว่า ‘เดแฮมเบล’ แล้วจัดการพลิกมันเล่นเพื่อรอเวลาที่รถไฟจะแล่นเข้าสู่ชานชะลา
ตามคำบอกของพ่อบุญธรรมของเธอ เจ้าม้าตัวโปรดได้เดินทางล่วงหน้าไปยังจุดฝากม้าที่เดแฮมเบลแล้ว ระยะทางจากทราวิลเลียไปยังเดแฮมเบลนั้นกินระยะเวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงได้
กระเป๋าเป้สีน้ำตาลใบพอดีตัวของเธอบรรจุเสื้อผ้าสำหรับสี่วัน น้ำหนึ่งขวดและอาหารแห้งอีกหนึ่งชุด ส่วนในกระเป๋ากางเกงของเธอนั้นมีเงินจำนวนหนึ่งที่แม่ของเธอให้เอาไว้ ส่วนที่ใต้รองเท้าก็มีอีกจำนวนหนึ่งซ่อนเอาไว้เผื่อว่าเงินจะถูกขโมยไปหรือหล่นหาย
คราเทลคิดพลางมองดูนาฬิกาของตนเองที่ชี้บอกเวลาบ่ายสามโมงตรง และภายในเวลาอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า รถไฟก็จะมาถึงชานชะลา…
“หลบไป!” เสียงอันคุ้นเคยที่ดังมาจากด้านข้างพร้อมกับเสียงร้องอย่างแตกตื่นของบรรดาผู้คนในบริเวณนั้นทำให้ยัยตัวแสบถึงกับสะดุ้งโหยง ดวงตาคู่สวยเบือนไปมองยังจุดเกิดเหตุอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อพบว่า ‘ใคร’ เป็นเจ้าของเสียงทุ้มนั้น
“ดาเรล!” คราเทลร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่คุ้นเคยกำลังเดินอยู่ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าลูกน้องในสังกัดที่เอาแต่จับผู้หญิงในบริเวณนั้นมาดูหน้าดูตาราวกับว่ากำลังมองหาใครบางคนอยู่
วันนี้เธอแต่งกายในชุดที่เข้ม ทะมัดทะแมงเพื่อให้เหมาะกับการเดินทางไกล ผมที่มักจะมัดรวบเอาไว้ก็ปล่อยสยายออกจนผมสีน้ำตาลแดงปลิวไสวไปตามกระแสลมเสริมให้ใบหน้าหวานดูชวนมองและน่าหลงใหลมากกว่าเดิมหลายเท่า
‘หรือว่าแกอยากแต่งงานกับคุณชายดาเรล?’ คำพูดของฟีเรียสดังก้องอยู่ในหัวของเธอทำเอาคราเทลถึงกึบขนลุกซู่ และก่อนที่สายตาของชายหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนจะทันได้มองเห็นเธอ คราเทลก็รีบเดินไปหลบข้างหลังเสาต้นใหญ่โดยด่วน
‘โธ่เว้ย! เรียนก็ไม่อยากเรียน แต่งงานก็ไม่อยากแต่งงาน’ คราเทลคิดอย่างอารมณ์เสียก่อนจะรับรู้ถึงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่เดินมาใกล้เธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“เอาวะ!” กล่าวจบ ลูกเตะของเธอก็เตะประเดิมเข้าไปยังลูกน้องคนแรกของดาเรลที่เดินเข้ามาใกล้ตัวเธอเป็นคนแรก!
อุก!
ชายร่างยักษ์ถึงกับทรุดลงไปนั่งที่พื้นด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกับพวกมันที่ไหวตัว ลูกน้องประมาณสิบคนรีบวิ่งตรงมาหาเธอ หวังที่จะจับตัวไปส่งผู้เป็นนาย แต่ก็ใช่ว่ามันจะง่ายอย่างที่คิดเสมอไป!
คราเทลใช้นิสัยกะล่อนของตนเอง ชี้นิ้วขึ้นไปยังด้านบน ส่งผลให้สายตาของคู่ต่อสู้นั้นมองตามมือเรียว หญิงสาวก็ใช้จังหวะนี้กระแทกส้นเท้าไปที่เท้าใหญ่ภายใต้รองเท้าหนังเข้าเต็มรัก!!
ปึก!
“อ๊าก!”
ผั่วะ!
ต่อด้วยหมัดเสยคางที่ทำให้อีกฝ่ายเห็นดาวไปอีกหนึ่งหมัด!!
ตุบ!
“เผ่นก่อนดีกว่าโว้ย!!” กล่าวจบ หญิงสาวก็เบือนไปสบใบหน้าคมของดาเรลที่จ้องมองมาที่เธออยู่ชั่วครู่ ก่อนที่คราเทลจะออกตัววิ่งพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าเอาร่มกันแดดจากหญิงสาวผู้หนึ่งแล้วโยนไปขวางพวกมันเอาไว้เพื่อถ่วงเวลา ก่อนจะใช้จังหวะที่ชุลมุนนั้นกระโดดหลบเข้าไปในกล่องพัสดุใบหนึ่ง หวังจะให้พวกมันวิ่งเลยไปก่อนแล้วค่อยกระโดดออกมาจากที่ซ่อนแล้ววิ่งขึ้นรถไฟที่จะพาเธอออกไปจากที่นี่
“พวกแกนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ! ไปตามจับคราเทลมาให้ฉันเดี๋ยวนี้!” เสียงเข้มของดาเรลดังขึ้นพร้อมกับเสียงขานรับของบรรดาลูกน้องที่ดังขึ้นจากด้านนอกทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อฝีเท้ามากมายได้เดินผ่านกล่องพัสดุที่บังของร่างเธอไปโดยไม่หันไปสนใจอีก
ออด!!
เสียงของรถไฟที่แล่นเข้าสู่ชานชะลาส่งผลให้ร่างบางนั้นกระโดดออกจากที่ซ่อนอย่างเงียบกริบ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าไปบนรถไฟที่เพิ่งจะแล่นเข้ามาในสถานีแล้วนั่งลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง
เวลาผ่านไปหลายนาที หลังจากที่เธอพักจนหายเหนื่อยแล้ว สายตาของหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นป้ายขนาดกลางที่ติดอยู่เหนือหัวซึ่งเขียนเอาไว้ว่า…ไคเรส!
ดวงตาสีอเมทิสต์เริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆตามระดับความตกใจที่เพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด!!
“ซวยแล้วไง! ขึ้นรถไฟผิดขบวน!!!” แต่ยังไม่ทันที่ร่างบางจะก้าวลงจากรถไฟ เสียงของพนักงานรถไฟก็ดังขึ้นมาขัดการกระทำของเธออย่างรวดเร็ว
“ออกรถได้!”
“เฮ้ย! อย่าเพิ่ง!!” คราเทลโวยวายพลางเด้งตัวลุกขึ้นอย่างพะว้าพะวง แต่ก็ไม่ทันการเมื่อรถไฟนั้นออกตัวอย่างรวดเร็วเสียจนหญิงสาวเสียการทรงตัวแล้วเซไปด้านหน้าซึ่งเป็นโครงเหล็กทั้งอัน
เธอหลับตาปี๋ เตรียมใจรับความเจ็บที่จะได้รับซึ่งคาดว่าน่าจะหนักพอสมควรแต่ทว่า…
หมับ!
วงแขนของใครบางคนคว้าเอวของเธอเอาไว้จากทางด้านหลัง ก่อนที่จะกระชากเข้าไปหาเจ้าตัวซึ่งส่งผลให้ร่างบางถึงกับกระแทกลงบนอกแกร่ง ที่ทำให้รู้ว่าคนที่ช่วยเธอเอาไว้เป็นผู้ชายอย่างแน่นอน
คราเทลเบ้หน้าเล็กน้อยเพราะรู้สึกเจ็บที่ใบหน้าของเธอชนเข้าที่ชายร่างหนาเข้าอย่างจังแทนที่จะเป็นกำแพงเหล็กเมื่อครู่ แต่ก็รู้ดีว่ามันคงจะเจ็บมากกว่านี้ถ้าหากว่าไม่ได้เจ้าของอ้อมกอดนี้ช่วยเอาไว้ดังนั้น ตามมารยาทแล้ว เธอก็ควรจะขอบคุณเขา
“เอ่อ...ขอบคุณ” คราเทลกล่าวพร้อมกับช้อนตาขึ้นมองคนที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้
ดวงตาสีน้ำเงินแซฟไฟร์คมกริบที่เธอเงยหน้าขึ้นสบนั้นก็กำลังจ้องตอบกลับมาที่เธอเช่นเดียวกัน ดวงหน้าของเขาคมสันบ่งบอกอายุที่ใกล้เคียงกับเธอ ผิวสีขาวที่ไม่ขาวคนเกินไปนักเสริมให้เขาดูสะอาดสะอ้านและคาดว่าคงได้รับการดูแลอย่างดี รูปร่างล่ำสันแต่ไม่น่าเกลียดจนเกินไป ด้วยความสูงที่มีประมาณ 183 ซม.ทำให้คราเทลที่อยู่ในอ้อมกอดดูตัวเล็กไปในพริบตา ผมสีดำสนิทในทรงซอยละต้นคอเสริมให้ใบหน้าดูโดดเด่นยิ่งจมูกคมสันและริมฝีปากได้รูปราวกับปูนปั้นยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างหาจับตัวได้ยากเลยทีเดียว
ฝ่ายดวงตาสีแซฟไฟร์ก็มองดูรายละเอียดของหญิงสาวในอ้อมแขนอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นเดียวกัน แผงขนตางอนเสริมให้ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์ดูกลมโตมากกว่าเดิม ดวงหน้ารูปไข่ จมูกเชิดรั้นและริมฝีปากเล็กดูน่ารัก ผิวกายของเธอเป็นสีขาว รูปร่างสมส่วน และเมื่อคาดคะเนความสูงจากระดับสายตาของเธอแล้วก็น่าจะประมาณ 165 ซม. ได้ ผมสีน้ำตาลแดงยาวจนถึงกลางหลังเสริมให้บุคลิกของหญิงสาวดูเข้มแข็งและอ่อนโยนไปพร้อมๆกัน
“ดีแล้วล่ะ ที่ไม่เป็นอะไร” เสียงทุ้มตอบกลับพร้อมกับคลายอ้อมแขนออกอย่างเชื่องช้าผิดกับคราเทลก็ดีดตัวออกอย่างรวดเร็วตามนิสัยใจร้อนของเธอ
“แล้วทำไมเธอถึงมายืนอยู่แบบนี้ล่ะ ไม่ไปนั่งที่ ระวังจะล้มเอาง่ายๆ”
“คือ...”
อาการอึกอักของเธอเรียกรอยยิ้มที่มุมปากจากชายหนุ่มร่างสูงได้เป็นอย่างดี เขาพินิจมองเธอนิ่งเพื่อรอคอยคำตอบของคราเทล
“ฉันขึ้นรถไฟผิดขบวนน่ะสิ!”