เสียงหัวเราะอันเป็นสุขส่งผลให้คนที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องลอบยิ้มออกมา
ที่จริงแล้วเขาไม่อยากให้สีสันของบ้านต้องจากไปเลย แต่เขาก็จำเป็นที่จะต้องทำแบบนี้เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสาวบุญธรรมของเขามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่จะต้องทำในอนาคตอันใกล้
ภาระที่สายเลือดของหล่อนต้องแบบรับ.....ภาระที่คนสุดท้ายของตระกูลถูกลิขิตเอาไว้
หลังจากที่ฟีเรียสสะสางงานบนโต๊ะเสร็จแล้ว เขาก็รวบเก็บเอกสารต่างๆไปกองเอาไว้ด้านข้างของโต๊ะไม้เท่าขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กก่อนที่จะเอาขาของตนเองวางพาดลงบนโต๊ะอย่างเคยชิน ดวงตาคมกริบที่ไม่ละทิ้งความทรงอำนาจจ้องมองไปยังโคมไฟที่จุดเอาไว้บนโต๊ะอย่างเหม่อลอย ในใจก็คิดถึงวันที่เขาและภรรยาได้เจอกับยัยตัวแสบนี่เป็นครั้งแรก
เมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว เขาและภรรยาเดินทางไปยังเฮเลน่า เมืองซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของอาร์เพเธีย ทวีปของชาวมายาซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งความสงบสุขและร่มเย็น เขาในตอนนั้นยังคงเป็นนักฆ่าที่มีชื่อเสียงในโดรีเธีย ส่วนเวียนนาก็เป็นพยาบาลชื่อดัง
ฟังๆดูอาจจะแปลกใจที่ทำไมนักฆ่าที่ทำอาชีพฆ่าฟันถึงได้เป็นสามีภรรยากับพยาบาลผู้มีใจเมตตาและคอยรักษาคนที่บาดเจ็บได้ แต่พวกเขาก็อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้
แต่พอพวกเขาไปถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งเป็นบ้านของเพื่อนเก่า กลับไม่มีสาวใช้สักคนออกมาต้อนรับเหมือนเคย สร้างความประหลาดใจให้พวกเขาไม่น้อย
ความเงียบที่ดูเหมือนจะเงียบจนเกินไปทำให้เขารู้ได้ทันทีว่ามีอะไรผิดปกติ เขาจึงสั่งให้เวียนนารออยู่ด้านนอก ส่วนตนเองก็เข้าไปในคฤหาสน์เพียงคนเดียว
และเพียงแค่ย่างเท้าผ่านเข้าประตูเข้าไป กลิ่นคาวเลือดก็ลอยมาเตะจมูกของนักฆ่าอย่างเขาเข้าอย่างจังในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลเบิกกว้างกับภาพที่ได้เห็น
ร่างของสาวใช้สิบกว่าคนกำลังนอนราบอยู่ที่พื้นในอิริยาบถที่แตกต่างกันออกไป เลือดมากมายไหลออกจากบาดแผลที่พวกนางได้รับ แสดงให้เห็นว่าพวกนางเพิ่งเสียชีวิตไปได้ไม่นาน คิดได้ดังนั้น เขาก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน มุ่งหน้าไปยังห้องนอนของเพื่อนสนิทในทันที
เอี๊ยด!
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็รู้ว่าตนเองมาช้าเกินไปเสียแล้ว
ร่างของชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงนามโธเนียส โดมีนาน บัดนี้นอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น ไร้ลมหายใจ
ชายหนุ่มเดินไปที่ศพของเพื่อนช้าๆ ก่อนจะชันเข่าลงข้างหนึ่งราวกับคนหมดเรี่ยวแรง สองมือกำหมัดแน่นแล้วทุบลงบนพื้นอย่างเคียดแค้น แต่แล้วจู่ๆ เสียงร้องของเด็กทารกก็ดังขึ้น ส่งผลให้เขารีบหันควับไปยังต้นเสียงอย่างตกใจ
เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าไปยังเตียงขนาดใหญ่ซึ่งเป็นจุดที่มาของเสียงร้องไห้เมื่อครู่นี้อย่างว่องไว
บนเตียงมีร่างของสตรีรูปงามที่ตอนนี้กำลังหายใจอย่างแผ่วเบาและยากลำบาก หล่อนกำลังนอนลืมตาอย่างทรมาน เหงื่อผุดเต็มใบหน้าที่ซีดเซียว ที่ท้องของนางมีมีดสั้นสีเงินปักคาอยู่ ในขณะที่เลือดสีแดงสดที่บริเวณบาดแผลขยายเป็นวงกว้างเสียจนชุดนอนสีขาวได้ถูกย้อมสีกลายเป็นสีแดงโลหิต
ในอ้อมแขนของหล่อนมีเด็กทารกคนหนึ่งกำลังร้องไห้เสียงดังราวกับว่าเธอสามารถรับรู้ได้ว่าเธอกำลังจะสูญเสียพ่อและแม่ของเธอไป
หญิงสาวเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาในห้อง เธอก็รีบส่งต่อทารกในมือที่ยังคงร้องไห้ให้กับเขา
ฟีเรียสยอมรับทารกมาถือเอาไว้ในมือแต่โดยดี เขามองไปยังภรรยาของเพื่อนรักที่กำลังจะสิ้นลมไปอย่างช้าๆด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“อะ...อย่าได้เสียใจไป ฟะ...ฟีเรียส” น้ำเสียงตะกุกตะกักที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากบางทำให้เขากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
น้ำตาของลูกผู้ชายรินไหลออกมาช้าๆ พลางมองหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงเคยเป็นเพื่อนสนิทของเขาคนหนึ่ง
....ใครกันที่กล้าทำแบบนี้ แม้กระทั่งนักฆ่าอย่างเขายังไม่สามารถตัดใจฆ่าคนได้มากมายในเวลาเดียวกันได้เลย
“ละ....เลี้ยงดูลูกให้ฉันดะ...ด้วย อย่าให้หล่อน....ผูกใจเจ็บแค้น จงละ...เลี้ยงดูหล่อนให้เป็นที่รัก หะ...ให้มีจิตใจที่งดงาม แค่กๆ” หญิงสาวกล่าวยังไม่ทันจบ นางก็กระอักเลือดออกมา บ่งบอกว่าเวลาของนางเหลือน้อยเต็มที ดวงตาสีมรกตเต็มไปด้วยแววอ้อนวอนในขณะที่จ้องมองผู้เป็นเพื่อนของสามี
“ละ...หล่อนมีชื่อว่าคราทีล่า ฉะ...ฉันขอร้อง ฉันขอร้อง....” เธอใช้แรงเฮือกสุดท้าย เอื้อมมือไปกำชายเสื้อของผู้เป็นสหายแน่น
“ฉันรับปาก ฉันจะดูแลเด็กคนนี้เอง” เขารับปากพลางมองไปยังทารกน้อยในอ้อมแขนที่พยายามที่จะเอื้อมมือของตนเองไปจับมือของผู้เป็นมารดาที่กำลังกำชายเสื้อของเขาอยู่
“คราทีล่า...มะ....แม่รักลูกนะ” ชายหนุ่มค่อยๆอุ้มทารกน้อยให้เอื้อมมือไปจับมือของมารดาได้สำเร็จ รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตาลงช้าๆพร้อมๆกับมือที่จับชายเสื้อของเขานั้นหลุดออกไป
ทารกน้อยที่เพิ่งจะเงียบเสียงได้ไม่นานร้องไห้ออกมาอีกครั้งเช่นเดียวกับเขาที่ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร
เขาสัญญา...สัญญาว่าจะไม่สอนคราเทลให้แก้แค้นหรือมีความอาฆาตพยาบาท ไม่ให้รับรู้ถึงการตายของพ่อและแม่ที่แท้จริงของตนเอง เขาจำต้องโกหกคราเทลมาตลอดว่าพ่อและแม่ของเธอตายในอุบัติเหตุ และเลี้ยงดูเธอด้วยความรัก
เมื่อเธออายุได้สิบขวบ เขาจำต้องย้ายจากในตัวเมืองทราวิลเลียมาอยู่ที่ชานเมืองเพราะหน้าตาที่งดงามเหมือนกับแม่ของเธอทำให้มีชายจากตระกูลต่างๆมาจับจอง
จนตอนนี้คราเทลได้เติบโตเป็นหญิงสาววัยสิบเจ็ดปี ก็ยังมีชายหนุ่มในหมู่บ้านหลายคนต่างมาสู่ขอเธอ โดยเฉพาะคุณชายดาเรล ลูกชายอันธพาลซึ่งมีอิทธิพลในย่านนี้ก็ยังส่งคนมาเจรจาสู่ขออยู่เสมอ
แต่มีหรือที่เขาจะยอมให้คราเทลต้องออกเรือนไปทั้งๆที่อายุยังน้อยแบบนี้ ลูกสาวบุญธรรมของเขาเป็นหญิงสาวที่มีสายเลือดสูงศักดิ์อยู่ ฉะนั้น การที่จะตัดปัญหาทุกอย่างก็คือให้เธอไปเรียนที่โรงเรียนฟราเทลเลียส โรงเรียนซึ่งเป็นศูนย์กลางของสองอาณาจักร นักเรียนที่ไปเรียนที่นั่นต่างก็เป็นผู้ที่มีความสามารถและเพียบพร้อมในด้านต่างๆ
รับรองว่ายัยลูกสาวตัวดีจะได้ดัดสันดานการเป็นคุณหนูที่ถูกต้อง รวมทั้งได้ฝึกฝนพลังเวทย์ที่มีอยู่ในตัวให้แกร่งกล้าอย่างที่มันควรจะเป็น
โครม!!
เสียงอะไรบางอย่างทำให้ฟีเรียสหลุดออกจากห้วงคิดของตนเองทันที เขารีบลุกพรวดพราดแล้วตรงไปเปิดประตูห้อง
ภาพตรงหน้าทำให้เขาต้องเปลี่ยนความคิดอย่างฉับไว สงสัยว่าไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้แล้วล่ะ วันนี้ออกเดินทางเลยยังจะดีกว่า!!
ฟีเรียสคิดพลางยกมือขึ้นกุมขมับ ร่างบางของคราเทลตอนนี้กำลังนอนราบอยู่ที่พื้น มือของสองข้างของเธอเหมือนกำลังกุมอะไรบางอย่างอยู่ ส่วนเสียงโครมเมื่อครู่คงจะเป็นเพราะหนังสือแต่ละเล่มบนชั้นหนังสือต่างพากันร่วงลงมากองอยู่ที่พื้นโดยไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าเป็นฝีมือของใคร!
พอกวาดตามองจุดอื่นๆยิ่งทำให้เขาขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีก โต๊ะอาหารพลิกคว่ำ เก้าอี้ทุกตัวกระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆ ผ้ามานหลุดลงมากองอยู่ที่พื้น ส่วนภรรยาของเขาตอนนี้ได้หนีขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวอยู่
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย ห๊ะ ยัยแก่!” ชายวัยกลางคนหันไปถามภรรยา เวียนนา เมื่อเห็นแววตาเอาจริงของสามีแล้ว หล่อนจึงกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเดินตรงไปอธิบาย
“เมื่อกี้มีหนูมันวิ่งเข้ามาในบ้าน ลูกก็เลยช่วยจับ แต่หนูตัวนี้มันวิ่งเร็วเหลือกัน ทั้งใต้โต๊ะ ทั้งชั้นหนังสือ ทั้งเก้าอี้ ก็เลย...”
“ก็เลยอะไร?” เสียงแหบห้าวถามเสียงสูง
“ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นเนี่ยแหละ”
“เหอะ! ยัยตัวแสบ มานี่” ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็หันไปเรียกลูกสาวของตนเอง
คราเทลลุกขึ้นยืนทันทีที่ถูกเรียก แต่ก็ไม่วายวิ่งตรงไปยังหน้าต่างก่อนที่จะเขวี้ยงสิ่งที่อยู่ในมือออกไปด้านนอก ฟีเรียสเดาได้ว่าคงเป็นหนูตัวต้นเรื่องแน่ๆ
“แล้วอย่ากลับมาให้เห็นหน้าอีกล่ะ เจ้าหนูตัวยุ่ง” คราเทลเอ็ดเจ้าหนูต้นเรื่องอย่างแผ่วเบาก่อนจะรีบเดินกลับไปหาผู้เป็นพ่อบุญธรรมที่กำลังยืนกอดอกมองมาที่เธอด้วยแววตาเคืองๆ
“อะไรหรือพ่อ?” น้ำเสียงที่ถามดูจะนุ่มนวลขึ้นเพราะคราเทลรู้ว่าเธอมีความผิดที่ทำให้ข้าวของในบ้านพังระเนระนาด ในขณะที่มือก็ปัดเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตามตัวและใบหน้าออกเป็นพัลวัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ช่วยให้เนื้อตัวของเธอดูสะอาดขึ้นมากกว่าเดิมเลยสักนิดเดียว
“ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเตรียมเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้ พอบ่ายโมงตรงเมื่อไหร่ แกต้องออกเดินทางทันที!”
“หา!!” คราเทลร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหู แค่เธอจับหนูแค่นี้เนี่ยนะ!! ถึงต้องรีบไล่เธอไปให้พ้นๆเชียวหรือ?!!
“ตาแก่ทำเกินไปหรือเปล่า” หญิงวัยกลางคนถามพลางมองไปยังหญิงสาวอย่างนึกสงสาร จะว่าๆมันเป็นความผิดของคราเทลคนเดียวก็คงไม่ใช่ จะโทษก็ต้องโทษเจ้าหนูนั่นต่างหาก
“ถ้ามัวแต่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ มีหวังเราคงได้ซื้อบ้านหลังใหม่กันแน่ๆ” ฟีเรียวหันไปบอกกับภรรยา ก่อนจะหันหน้าไปมองยัยตัวแสบอีกครั้งพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไปเตรียมตัวได้แล้ว!”
สิ้นเสียงของผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุดในครอบครัวประกอบกับแววตาที่แสนจริงจังและเด็ดขาดของเขา หญิงสาวจึงจำใจเดินคอตกขึ้นชั้นบนตรงเข้าไปในห้องนอนของตนเองอย่างช่วยไม่ได้