ตอนที่ 1 บังคับ ข่มขู่ จำยอม (?)
“ไม่เอาพ่อ ถึงฆ่าฉันให้ตาย ฉันก็ไม่ตกลงเด็ดขาด!”
เสียงเอะอะโวยวายดังลั่นออกมาจากกระท่อมหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ในใน่อนส่งเสียงเรียกเธอพลางกวักมือผสมโรงอีกต่างหากแถบชานเมืองทราวิลเลีย ทำเอาคนที่เดินทางกลับบ้านเร่งฝีเท้าเพื่อพาตนเองไปให้ถึงที่หมายไวขึ้น ในใจก็พยายามคาดเดาว่าสองคนที่กำลังโต้เถียงกันอยู่ในบ้านนั้นกำลังทะเลาะกันเรื่องอะไร
ที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่เคยขึ้นเสียงใส่กัน แต่เหตุผลก็มีแต่เรื่องขี้ประติ๋วทั้งนั้น... ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องแย่งถุงเท้าก็อาจจะเป็นขนมปังชิ้นสุดท้ายที่ซ่อนเอาไว้ในตู้ เจ้าพวกต้นเหตุไม่รู้บ้างหรือว่าที่พวกเธอต้องมาอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ก็เพราะเพื่อนบ้านย้ายหนีออกไปจนหมดเกลี้ยง
“ยังไงแกก็ต้องไป นี่เป็นคำขาด!” เสียงแหบห้าวดังตามมาติดๆ เล่นเอาผู้ที่กุมลูกบิดประตูถึงกับส่ายหัวอย่างเอือมระอา
‘เฮ้อ! สองพ่อลูกคู่นี้ จะคุยด้วยกันดีๆไม่ได้เลยหรือยังไงนะ’
“ไม่ไปๆๆๆ!”
“แกต้องไปๆๆๆ!”
ผัวะ!
ประตูที่ถูกแรงกระชากทำให้เปิดออก ดึงดูดสายตาของคนที่กำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเขาหันมามองผู้มาใหม่โดยพร้อมเพรียงกัน
คนหนึ่งเป็นชายอายุราวห้าสิบ เส้นผมที่เคยดำสนิทในช่วงวัยหนุ่ม บัดนี้ถูกแซมด้วยสีขาวแซมขาวเป็นหย่อมๆ ดูไม่เป็นระเบียบ ดวงตาสีน้ำตาลฉายแววจริงจัง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันแสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดอย่างหนัก
ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามเป็นหญิงสาวอ่อนวัย ดวงตาสีอเมทิสต์งดงามฉายแววขุ่นมัว ใบหน้าสะพรั่งตามวัยบัดนี้บึ้งตึงไม่แพ้ชายกลางคนเสียเท่าไหร่ ผมสีน้ำตาลแดงยาวถึงกลางหลังชี้ฟูยุ่งเหยิง เจ้าตัวแสบบุ้ยปากไปทางคนต่างวัย เอามือเท้าคางแล้วใช้สายตาฟ้องผู้ที่มาใหม่อย่างเซ็งๆ
“ตาแก่บังคับอะไรลูกอีกล่ะ” หญิงวัยกลางคนถามวางตะกร้าที่เพิ่งจับจ่ายซื้อของมาจากตลาดไว้บนโต๊ะไม้ซึ่งเป็นโต๊ะซึ่งถูกใช้เป็นที่ถกเถียงปัญหาระดับชาติเมื่อครู่
กระท่อมที่พวกหล่อนอยู่มีขนาดกลาง สภาพไม่เก่าและไม่ใหม่จนสะดุดตาเกินไป เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ของมีค่าเหมือนบ้านในเมืองใหญ่ๆ เนื่องจากชาวทราวิลเลียตั้งอยู่ทางใต้ของอาร์เพเธียนิยมใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือย การประกอบอาชีพส่วนใหญ่คือการเพาะปลูกและทอผ้าตามประสาผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตที่ราบสูง และแน่นอน ทุกคนที่นี่ต่างก็ใช้ชีวิตกันอยู่อย่างเงียบสงบ....ยกเว้นกระท่อมหลังนี้เพียงหลังเดียวที่ออกจากแหวกแนวไปสักหน่อย
“อะไรยัยแก่ เดี๋ยวนี้หัดเข้าข้างยัยตัวแสบนี่แล้วใช่ไหม” เสียงบ่นของใครบางคนเรียกสติของเวียนตากลับมาอีกครั้ง
ชายผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวหรี่ตามองภรรยาเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะ ส่งผลให้ร่างบางซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงกันข้ามชะเง้อหน้ามองด้วยความสนใจ
แล้วพอเห็นว่ามันเป็นแผนที่อะไรเท่านั้นแหละ ยัยตัวแสบก็ถึงกับขยับปากไปมาประหนึ่งกำลังร่ายคาถามนต์ดำ แต่คนในครอบครัวก็เป็นอันรู้ดีอยู่แล้วว่า นี่คือการบ่นตามแบบฉบับของ คราเทล เรเมอร์ เท่านั้นเอง
“ฉันเตรียมการให้หมดแล้ว ยังไงแกก็ต้องไปเรียนที่นั่น!” น้ำเสียงข่มขู่ทรงอำนาจแบบเมื่อครู่เริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่มีหรือที่ยัยตัวดีจะยอมง่ายๆ
“ไม่!” เธอเชิดใบหน้าขึ้น “พ่ออย่ามาบังคับฉันซะให้ยาก ถ้าพ่ออยากเรียนนักก็สมัครไปเรียนเองสิ!”
“นี่แกกล้าเถียงกับฉันอย่างนั้นเรอะ!”
“ก็เออน่ะสิ! พ่ออย่าหาว่าฉันเรื่องมากเลยนะ ก็ไอ้โรงเรียนบ้าอะไรนั่นอยู่ตั้งไกล หรือเป็นเพราะว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ...พ่อกับแม่ถึงพยายามขับไสไล่ส่งฉัน” ทันทีที่หญิงสาวเถียงเสร็จ เสียงทุบโต๊ะก็ดังตามมาติดๆ
ปัง!
“ทำไมแกถึงเป็นคนอย่างนี้ห้ะ คราเทล โรงเรียนนั่นมีแต่คนเขาอยากเข้ากันแทบเป็นแทบตาย ใครที่สอบไม่ผ่านหรือไม่ได้ใบสมัครก็มีถึงกับขั้นลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นจนหัวใจวายตายไปเลยก็มี” ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่าผิดเองที่ให้คราเทลสอบเรียนที่บ้านและสอบวัดระดับเอาอย่างเดียวมาโดยตลอด เจ้าลูกสาวคนนี้ถึงได้งอแงไม่รู้จักเข้าสังคม
หึ... เดินตามรอยพ่อบุญธรรมของมันจนเขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
“โห! คำพูดของพ่อโคตรขี้โม้เลยอ่ะ คนบ้าที่ไหนจะลงไปชักตายกับอีแค่เข้าโรงเรียนบ้าบอนี่ไม่ได้กันเล่า!”
“โว้ย! แกเลิกทำตัวงี่เง่าสักที นี่ฉันอุตส่าห์หาแผนที่มาให้แกเชียวนะ” พอเขากล่าวจบ ยัยตัวแสบก็ชำเลืองมองไปยังแผ่นกระดาษบนโต๊ะอีกครั้ง
ใช่! มันคือแผนที่ในการเดินทางไปยังเมืองเดแฮมเบล เมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางของสองอาณาจักรใหญ่ซึ่งก็คืออาร์เพเธียและอัลคีเรีย อาร์เพเธียคือเมืองของชนเผ่ามายา ส่วนอัลคีเรียเป็นเมืองของชนเผ่ามนุษย์
คราเทลเบ้หน้าอย่างเซ็งๆ เพราะในใจเธอตอนนี้ไม่มีคำว่า ‘อยากไป’ เลยแม้แต่นิดเดียว
“คราเทล ทำไมลูกถึงไม่อยากไปที่นั่นล่ะ” หญิงวัยกลางคนที่เงียบมานานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าเสียงแหบห้าวของชายวัยกลางคนเป็นไหนๆ
หล่อนวางมือลงบนไหล่บางอย่างแผ่วเบา ส่งผลให้แววตาแข็งกร้าวของคราเทลอ่อนลง
“แม่ก็รู้ว่าฉันเป็นพวกชอบก่อเรื่อง ขืนอยู่ไกลตา มีหวังโรงเรียนอะไรนั่นพังเพราะฉันแน่นอน” คราเทลยกเหตุผลนี้มาอ้าง เล่นเอาฟีเรียสออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่าๆๆๆ คนอย่างแกดีแต่ก่อเรื่องวุ่นเท่านั้นแหละ แกคงจะไม่กล้าไปก่อเรื่องใหญ่โตถึงขั้นทำโรงเรียนพังหรอก ฉันขอรับรองว่าที่นั่นจะเป็นแหล่งดัดสันดานชั้นยอด แล้วโรงเรียนนั่นก็ชื่อว่าฟราเทลเลียส เลิกเรียกว่าโรงเรียนอะไรนั่นสักที”
คราเทลยิ่งหน้าบูดเข้าไปใหญ่เมื่อพ่อบุญธรรมของตนไม่ยอมคล้อยตาม เธอจึงปรับเปลี่ยนแผนเสียใหม่โดยหันไปหาใครอีกคนหนึ่งแทน
“แม่...แม่ไม่ต้องการฉันแล้วเหรอ” เธอเขย่าแขนของเวียนนาอย่างออดอ้อน พยายามบีบน้ำตาให้ไหลออกมา แต่ยังไม่ทันทำให้อีกฝ่ายใจอ่อนได้สำเร็จก็มีวัตถุแข็งๆ มาฟาดเข้าลงที่หัวเข้าเสียก่อน
โป๊ก!
“ไม่ต้องไปประจบแม่แกเลย ยังไงแกก็ต้องไป หรือว่าแกอยากแต่งงานกับคุณชายดาเรล?” คำถามของเขาส่งผลให้ยัยตัวแสบที่ร้องโอดโอยหันมามองพลางเบิกตากว้างอย่างตกใจ ผิดกับฟีเรียส เรเมอร์ พ่อบุญธรรมของเธอที่กำลังยิ้มกว้าง ในมือของเขามีซ้อมเหล็กที่เพิ่งเคาะหัวหญิงสาวไปหยกๆ
แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนจากการใช้มันเป็นอาวุธเป็นเครื่องนับเวลาแทน ชายวัยกลางคนเคาะมันลงบนโต๊ะเหมือนกำลังนั่งนับเวลาในใจเพราะรู้ว่าอีกไม่นาน ยัยลูกสาวตัวแสบจะต้องตกลงไปเรียนที่นั่นแน่ๆ
“พ่อพูดจริงเหรอ” คราเทลหรี่ตาถามอย่างไม่แน่ใจ ทั้งๆที่แววตาก็สื่อออกมาแล้วว่าเธอเชื่อเรื่องที่พ่อของเธอบอกมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์
“ก็เออน่ะสิ เมื่อวาน ตอนที่ฉันออกไปข้างนอก คุณชายดาเรลก็เดินมาหาฉันแล้วก็พูดเรื่องที่จะขอแกแต่งงานด้วย”
“….”
“แล้วแกจะเอายังไงล่ะ”
“ฉะ...ฉันไปก็ได้” คราเทลยอมในที่สุด แต่แล้วเธอก็ยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อมีแผนอะไรบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
ถ้าหากว่าเธอแกล้งทำเป็นเดินทางไปที่เดแฮมเบล แต่ไม่ได้ไปสอบเข้า หรือถ้าไปสอบจริง ก็ทำข้อสอบมั่วๆไป แค่นี้ก็ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว แถมเรื่องที่ดาเรลมาขอแต่งงานก็สามารถเลื่อนออกไปหรือว่าถือเป็นโมฆะไปเลยก็ได้
“หุๆๆ”
หญิงสาวคิดพลางหัวเราะหึๆออกมาในลำคอ แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องนี้ไม่อาจคลาดสายตาของอดีตนักฆ่าอย่างพ่อของเธอไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว
“ไม่ต้องมาหัวเราะเลยยัยตัวแสบ ฉันรู้นิสัยแกดี ถ้าหากแกเข้าโรงเรียนฟราเทลเลียสไม่ได้ล่ะก็ ฉันจะจับแกแต่งงานทันทีที่แกเดินทางมาถึง แล้วอย่าได้คิดถึงเรื่องหนีเป็นอันขาด! เพราะแกก็รู้ดีว่าฉันมีเพื่อนอยู่เต็มไปหมดทั้งสามอาณาจักร ฉะนั้น ถึงแกจะหนีเข้าไปหลบในป่าหรือเหวก็ตาม ยังไงเพื่อนฉันก็ต้องหาแกพบ ฮ่าๆๆๆ” ว่าแล้วฟีเรียสก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งตามนิสัยగีੈชਭบเอ༲ช๙ะที่ภรรਢาขอ⸇เขารูཉดีเป็นที่สุด
หญงสาวที่เพิ่งౄด*รับรู้ชื่༭เสียงਂองฟีเรียสไรื่*งจำนว༙ข*งเพื่*นก็Ḗึงหน้าหงอਢล*ไปทันตาเห็ḙ แม่*ุḍธ⸣รของ⹀ธอจ*งใช้มḷอตบ༥งที่ไหล่ขحงੀธอเบาราวกัؚจะให้กำลังใจ
“ลูกไม่ต้⸭งเสียใจไปหรอก*ดีเสียอีกࠠลูกจะངด้เดินทางੀก็Ḛเกี่ยวประสบการณ์ด้*ยตนเอ็ แถมเ*เธอਣ์ก็เรียนอยู่ที่นั่น*ร*ບรองว่าลḹกได้มีเวลาـทḵ่ยวเหਥือเฟืحก่อນที่จะเข้าเรียนด้วย” เวียนນาพยਲยามปลอบและให้ḁำลัȇใḈล⸹กสา*ขభงตนเองไปใ*ค*าวเดียวกัน
“นั่น*ิࠡ!⒝ น้ำเḪียงสด*สของคราเท༥กลับมาอ*กคร*ṉ*เมื่อนึกถึงพี่ช༲ยḚุญธรรมของตนเองซึ่งเป็นลูกแท้ๆของฟีเรียสและเวียนนา จะว่าไป เธอก็ไม่ได้เจอพี่ชายคนนี้มาตั้งสองปีแล้ว พอพูดถึงแล้วเธอก็อยากเจอหน้าเสียจริงๆ
“วันพรุ่งนี้แกต้องออกเดินทาง อ้อ! ยัยแก่ เตรียมพวกเสบียงให้มันด้วยล่ะ ยัยนี่ยิ่งกินจุอยู่” ว่าแล้วชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้าห้องทำงานของตนเองซึ่งอยู่ถัดจากโต๊ะอาหารไปไม่มาก
“แหม! ที่จริงห่วงลูกก็บอกมาเถอะตาแก่ จะมัวเก๊กหล่ออยู่ทำไมนักหนา อายุก็ปูนนี้แล้ว” เวียนนาตะโกนไล่หลังผู้เป็นสามีไปก่อนที่จะหันมาแซวเรื่องของสามีให้ลูกฟังต่อ
“ตาแก่นี่ ถึงจะปากแข็งก็เถอะ แต่เขาก็เป็นห่วงลูกมากนะคราเทล แล้วอีกอย่างนะ หมู่นี้คนของคุณชายดาเรลชอบมาที่บ้านบ่อยๆ โชคดีที่ลูกชอบออกไปเที่ยวเล่น ก็เลยไม่เจอ”
“โธ่เอ้ย แม่ก็ไล่พวกมันไปสิ หรือจะให้ฉันช่วยก็ได้ ถึงฉันจะเป็นวิทช์ฝึกหัด แต่ฝีมือก็ไม่ได้ห่วยนะแม่” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาสีอเมทิสต์ฉายแววมุ่งมั่นจนหญิงวัยกลางคนอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
“ถ้าให้ลูกสู้ อย่าว่าแต่พวกนักเลงพวกนั้นเลย แม้แต่บ้านหลังนี้ก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้”
“โธ่ ทำไมพูดแบบนั้นล่ะแม่ ดีล่ะ แบบนี้ต้องทำโทษ” ว่าแล้วยัยตัวแสบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอื้อมมือไปจี้เอวผู้เป็นมารดาจากด้านหลัง ทำเอาเวียนนาหัวเราะออกมาดังลั่นในขณะที่พยายามปัดมือเล็กๆเหล่านั้นออกไป