บทที่ 4/3
ซ่งรุ่ยหยางขมวดคิ้วแน่น สิบกว่าวันมานี้หูหลินเอ๋อร์นางบังคับเขากินข้าววันละสามมื้อ แต่ละมื้อต้องมีรายการอาหารจากไข่ขึ้นโต๊ะ รวมแล้วแต่ละวันเขาต้องกินไข่มากกว่าหกฟอง จนตอนนี้แค่เห็นเปลือกไข่เขาก็รู้สึกพะอืดพะอมแล้ว เท่านั้นยังไม่พอทุกวันเขายังต้องทำในสิ่งที่นางเรียกว่ากายภาพบำบัดและการออกกำลังกายสร้างกล้ามเนื้อ จนร่างกายเขาอ่อนล้ายิ่งนักทุกคืนล้วนหลับสนิท เช่นนี้แล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาลุกเดินอย่างที่นางบอกกัน ช่างเพ้อฝันนัก
“คุณชาย แม่นางหูพาช่างไม้มารออยู่ที่หน้าเรือนขอรับ”
“ช่างไม้... นางพาช่างไม้มาทำไมกัน คิดจะสร้างเรือนหรือไร”
สร้างเรือน หรือนางจะย้ายมาอยู่ที่จวนกับเขา มุมปากของคนเจ็บพลันยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มือหนาจับล้อรถเข็นแล้วหมุนบังคับไปยังประตูเรือน เฉินจื่อรั่วมองคุณชายของตนที่ก่อนหน้านี้ยืนกรานหนักแน่นชั่วชีวิตไม่ยินดีนั่งบนเก้าอี้มีล้อนี่ แต่พอคุณหนูสามเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยค ทั้งวันคุณชายก็แทบจะไม่ลุกจากเก้าอี้มีล้อนี้เลย
“ข้าได้ยินว่าเจ้าพาช่างไม้มา จะทำอะไรอีกช่างวุ่นวายยิ่งนัก”
หวังเหม่ยหลินยิ้มกว้างแล้วเดินไปย่อตัวนั่งที่ด้านหน้าคนขี้โมโห สบสายตาคมแล้วเอ่ยเสียงสดใส
“จื่อรั่วบอกว่าหลายวันนี้กำลังขาของท่านดีขึ้นมาก ตอนนี้เริ่มยกขาได้เล็กน้อยแล้ว”
ซ่งรุ่ยหยางร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า ดวงตาคมสบดวงตาหวานที่มองมาที่เขาด้วยความยินดี นับจากที่เขาบาดเจ็บมีเพียงนางที่ยอมย่อตัวลงคุยกับเขา มีเพียงนางที่เขาสามารถสบตาได้โดยที่ไม่ต้องแหงนหน้าขึ้นมอง ให้รู้สึกต่ำต้อย ในใจเขาพลันมีความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา คล้ายหวาดกลัวแต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก
“เพียงขยับได้มากขึ้น ยังยกไม่ได้”
“เช่นนั้นข้าจะทำให้ท่านยกขาได้เอง”
ข้าจะทำให้ท่านยกขาได้เอง
ถ้อยคำราบเรียบของนางประโยคเดียวทว่ากลับมีพลังบางอย่างส่งเข้าไปในจิตใจของซ่งรุ่ยหยาง จนเขาเผลอพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว กว่าจะเรียกคืนสติได้เหล่าช่างไม้ก็เข้าไปในเรือนเล็กของเขาแล้ว
“แม่นางหู วางเช่นนี้ถูกหรือไม่”
“นายช่าง ท่านขยับลงมาอีกหน่อยเช่นนั้นสูงเกินไป ท่านเหยียบบนหัวเตียงเลยก็ได้เจ้าค่ะ”
ซ่งรุ่ยหยางขบกรามแน่นมองช่างไม้ที่กำลังทำคานประหลาดบนเตียงของเขา สายตาไม่พอใจมองไปที่เท้าช่างไม้ผู้หนึ่งที่กำลังเหยียบบนหัวเตียงนอนของเขาตามคำบอกของคนไม่รู้ความ ตำแหน่งนั้นเขาใช้วางศีรษะจะให้ผู้อื่นใช้เท้าเหยียบได้อย่างไร หากแต่พอเห็นว่าคนตัวเล็กจอมวุ่นวาย ยืนสั่งการกำกับงานอย่างตั้งใจก็ถอนหายใจยาว ช่างเถิดเอาไว้ช่างไม้พวกนี้กลับไปเขาค่อยให้เฉินจื่อรั่วมาทำความสะอาดก็แล้วกัน
“แม่นางหู ทุกอย่างเสร็จแล้วท่านต้องการปรับแก้ตรงไหนอีกหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้วเจ้าค่ะ อ่อ...ไม่ทราบว่าท่านเห็นแบบขาถีบหรือยัง มีตรงไหนสงสัยหรือไม่เจ้าคะ”
เพราะฝีมือการวาดภาพของหวังเหม่ยหลินนั้นไม่ธรรมดา แม้วันก่อนนางจะอธิบายวิธีการทำตลอดจนการใช้งานแก่ช่างไม้ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่มั่นใจนักว่าเขาจะเข้าใจ
“อ่อ... อามู๋บอกข้าแล้ว ข้าจะเร่งทำให้หากเสร็จแล้วข้าจะให้คนนำมาส่งให้ที่นี่”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
ขาถีบ อะไรคือขาถีบกัน
ซ่งรุ่ยหยางที่ลอบฟังบทสนทนาของผู้อื่นขมวดคิ้วสงสัย ยามที่หันไปสบตาบ่าวคนสนิทอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ เขาขมวดคิ้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย เจ้าเฉินจื่อรั่วช่างเป็นบ่าวผู้โง่งมยิ่งนักเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้
“จื่อรั่ว มาช่วยข้าหน่อย”
หลังจากที่เหล่าช่างไม้กลับไป เสียงหวานใสก็เรียกเฉินจื่อรั่วไปช่วยงานต่อ
นี่นางลืมเขาไปแล้วใช่หรือไม่ ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าเรือนมาจึงไม่สนใจเขาเลย ช่างน่าโมโหนัก! สตรีน่าตาย ไม่รู้ความ ...
ซ่งรุ่ยหยางมองบ่าวชายของตนปีนขึ้นเตียงนอนของเขา แล้วใช้ผ้าผืนยาวขึ้นคล้องคานไม้เหนือเตียงนอน ขณะที่คนตัวเล็กผู้ไม่รู้ความคอยยืนสั่งการอยู่ด้านล่าง
นี่นางคิดจะทำอะไรกันแน่ เอาผ้ายาวมาพาดคานเช่นนั้นคิดให้เขาผูกคอตายหรือไร
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าช่วยเปลี่ยนผ้าปูเตียงให้คุณชายที”
“เจ้าค่ะ”
“จื่อรั่ว พาคุณชายขึ้นเตียง”
ซ่งรุ่ยหยางไม่ทันได้เอ่ยโต้แย้งก็ถูกบ่าวคนสนิทประคองขึ้นเตียง ที่สำคัญคือ
นาง... ขึ้นเตียงมาทำไม
“จะ... เจ้าจะทำอะไร”
“ช่วยท่านทำกายภาพบำบัดเจ้าค่ะ”
ซ่งรุ่ยหยางเกร็งไปทั้งตัวเมื่ออยู่ดีๆ สตรีไม่รู้ความก็กระโดดขึ้นเตียง นอนเขา นางยังเป็นสตรีอยู่หรือไม่ เหตุใดจึงกล้ากระโดดขึ้นเตียงบุรุษเช่นนี้ ใบหน้าคมพลันร้อนผ่าวเมื่อข้อเท้าเปล่าเปลือยถูกมือเล็กนุ่มสัมผัส
“เจ้า...”
หวังเหม่ยหลินจับขาของคนเจ็บสอดเข้าไปในห่วงที่ปลายผ้า แล้วส่งปลายผ้าอีกด้านมาให้เขา ในเมื่อเขาเริ่มขยับขาได้มากขึ้นย่อมแสดงว่ากำลังกล้ามเนื้อขาของเขาฟื้นฟูได้บ้างแล้ว เช่นนั้นตอนนี้นางต้องส่งเสริมให้เขาเห็นพัฒนาการของตนเอง เพื่อสร้างกำลังใจในการรักษาต่อให้เขา
“คุณชายท่านค่อยๆ ยกขาขึ้นนะเจ้าคะ”
ซ่งรุ่ยหยางขมวดคิ้วเข้ม แม้ว่าหลายวันมานี้เขาจะพอขยับเท้าได้บ้าง แต่การที่จะยกขาขึ้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ หวังเหม่ยหลินเห็นแววตาหวาดหวั่นไม่มั่นใจของอีกฝ่ายแล้วยิ้มอ่อนโยน มือบางวางที่ข้อเท้าเปล่าเปลือยของเขา
“คุณชาย ท่านเชื่อใจข้านะเจ้าคะ ค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อที่ขาแล้วยกขึ้นช้าๆ ค่ะ”
เชื่อใจ ซ่งรุ่ยหยางใจสั่นสะท้าน ร่างกายคล้ายมีพลังบางอย่างไหลเวียนรุนแรง ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ถ้อยคำเหล่านี้ของนางมีอิทธิพลต่อเขา ซ่งรุ่ยหยางค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อขาแล้วบังคับยกขึ้น ดวงตาคมจดจ้องใบหน้าหวานที่ค่อยๆ มีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น ดวงตาของนางเปล่งประกายคล้ายดวงดาวยามค่ำคืน ก่อนที่นางจะหันมาสบตาเขาแล้วเอ่ยเสียงยินดี
“คุณชาย! ท่าน! ... ท่านยกขาได้แล้ว ยกได้แล้วเจ้าค่ะ!”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยเสียงตื่นเต้นยินดี นางยอมรับว่าตั้งแต่แรกในใจของนางแอบหวาดหวั่นไม่น้อยว่าการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดครั้งนี้จะล้มเหลว แต่นางไม่อาจยอมแพ้ไม่อาจปล่อยให้คนผู้หนึ่งต้องทนทุกข์กับการเจ็บป่วยทั้งที่นางสามารถช่วยเหลือได้ ถึงแม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นเพียงคนธรรมดาไม่ใช่คู่หมั้นของร่างนี้นางก็ยินดีจะช่วยเหลือจนสุดความสามารถ ดังนั้นยามที่เห็นว่าอาการของซ่งรุ่ยหยางมีแนวโน้มดีขึ้นในใจของนางจึงยินดียิ่งนัก
“คุณชายท่านใช้มือดึงปลายผ้าประคองไว้นะเจ้าคะ จากนั้นเกร็งกล้ามเนื้อขาแล้วค่อยๆ ยกขึ้นอีกเจ้าค่ะ”
นางบอกว่าเขายกขาได้ เขายกขาได้แล้วอย่างนั้นหรือ
ซ่งรุ่ยหยางเกร็งกล้ามเนื้อขาตามที่นางบอก ในใจของเขาสั่นระรัวทั้งตื่นเต้นทั้งยินดี ดวงตาคมพลันร้อนผ่าว หยาดน้ำตาแห่งความยินดีเอ่อล้นจนไม่อาจควบคุม
หวังเหม่ยหลินได้ยินเสียงสะอื้นก็ละสายตาจากขาของเขาเงยหน้าขึ้นสบตาคม ยามหยาดน้ำตาแห่งความยินดีของคนเจ็บไหลรินจากดวงตาดุ ทำให้ในใจนางพลอยตื้นตันยินดีเป็นทบทวี มือบางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วโน้มตัวไปซับหยาดน้ำตาให้เขา แต่เพราะตำแหน่งที่นางนั่งคือปลายเตียง ทำให้ยามโน้มตัวไปซับน้ำตาให้เขาภาพจึงดูคล้ายนางกำลังจะทาบตัวไปบนตัวของคุณชายซ่ง
หูฉีเอ๋อร์ยกมือขึ้นปิดปากตนเองด้วยความตกใจ ดวงตาเบิกกว้างมองภาพคุณหนูของตนแนบชิดกับคุณชายซ่งแล้วร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
“ข้า... ข้าจะไปเตรียมอาหารกลางวัน”
“ข้า... ข้าไปช่วย”
เฉินจื่อรั่วเร่งเดินตามสาวใช้ของคุณหนูสามออกมาพร้อมกับปิดประตูเรือนทันที อย่างไรเสียคุณชายของเขากับคุณหนูสามก็ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงาน แม้ตอนนี้ทั้งคู่จะมีสถานะคู่หมั้นเป็นหลักประกัน แต่ภาพเช่นนี้ก็ไม่อาจให้ผู้อื่นเห็น
ซ่งรุ่ยหยางใจสั่นระรัวอีกครั้ง ยามที่หูหลินเอ๋อร์สัมผัสใบหน้าของตน กลิ่นกายของนางยังคงหอมละมุนชวนผ่อนคลาย หากแต่กลับไม่สามารถทำให้เขารู้สึกสงบใจได้ ยามที่นางส่งรอยยิ้มอ่อนโยนปลอบประโลมร่างกายของเขาก็กลับมาไร้เรี่ยวแรงอีกครั้งจนเผลอปล่อยชายผ้า ทำให้ขาของเขาตกลงบนเตียง แรงกระแทกยามที่ขาของซ่งรุ่ยหยางกระทบพื้นเตียงนอนทำให้หวังเหม่ยหลินที่ลืมตัวพลันได้สติกลับมา เมื่อเห็นว่าตนเองใกล้ชิดอีกฝ่ายมากเกินไปก็เร่งถอยออกห่างลงจากเตียงในทันที
“เอ่อ... ข้าจะไปดูฉีเอ๋อร์ คุณชาย... ท่านก็ฝึกยกขาแบบเมื่อครู่ไปก่อนนะเจ้าคะ”
หวังเหม่ยหลินหมุนตัวเดินออกมานอกเรือน เมื่อเห็นเฉินจื่อรั่วยืนที่หน้าประตูอีกทั้งยังมองมาที่ตนด้วยแววตาที่ต่างจากเดิม ในใจของนางก็รู้สึกอับอายขึ้นมา เมื่อครู่เพราะปล่อยให้อารมณ์ยินดีเข้าครอบงำจึงทำกิริยาไม่เหมาะสม ตอนนี้ซ่งรุ่ยหยางต้องคิดว่านางยั่วยวนเขาเป็นแน่ เป็นเช่นนี้แล้วกำแพงที่พึ่งลดลงของเขาคงก่อตัวสูงเทียบฟ้าอีกครั้ง
..........................................................................................