บทที่ 4/4
ในทุกวันซ่งรุ่ยหยางจะตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเพื่อทำกายภาพบำบัดท่วงท่าต่างๆ ที่หูหลินเอ๋อร์เคยบอกแก่เขา ยามสายหลังรับมื้อเช้าก็จะมาฝึกยกขาบนเตียง โดยค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อขาแล้วยกขึ้นช้าๆ ยามที่ขาของเขาเริ่มอ่อนกำลังก็ใช้มือดึงชายผ้าแล้วค่อยๆ ประคองขาของตนลงวางบนเตียง
ยามที่รู้สึกว่าเกร็งขายกขึ้นไม่ไหวแล้ว ท่านไม่ควรทิ้งขาลงเลยทำเช่นนั้นท่านอาจจะบาดเจ็บได้
วันก่อนหูหลินเอ๋อร์บอกเขาถึงเหตุผลสำคัญที่เขาต้องใช้ผ้ายาวดึงขาของตนเองไว้ ความห่วงใยในแววตาของนางทำให้ในใจของเขาไม่กล้าดื้อดึงและยอมทำตามอย่างว่าง่าย ใช้เวลาเพียงสองสัปดาห์ยามนี้เขายกขาขึ้นได้สูงถึง10 ชุนแล้ว (1 ชุ่น ประมาณ 3.33 เซนติเมตร) หางตาคมมองไปยังคนที่ดูแลเขามาร่วมเดือน แล้วเผลอยิ้มกว้าง ก่อนหรี่ตามองงานในมือของนางด้วยความสงสัย มือหนายันตนเองลุกขึ้นนั่งแล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ
“เจ้าทำอะไร”
หวังเหม่ยหลินเงยหน้ามองคนบนเตียง แล้วยิ้มกว้างก่อนลุกขึ้นไปรินน้ำใส่ถ้วยชาส่งให้เขาดื่ม
“ชาหมดหรือ”
“ท่านควรดื่มน้ำเปล่าให้มากๆ หน่อยเจ้าค่ะ ที่สำคัญไม่ควรดื่มสุรา”
หวังเหม่ยหลินได้ยินเฉินจื่อรั่วกล่าวว่าในบางคืนที่คุณชายซ่งนอนไม่หลับก็มักจะใช้สุราย้อมใจ ปลอมประโลมตนเอง แน่นอนว่าหวังเหมม่ยหลินย่อมเข้าใจดี ในยามที่คนเราสิ้นหวังตกอยู่ในห้วงแห่งความโศกเศร้า เพียงเสี้ยวนาทีที่ไร้ความทุกข์แม้ต้องแลกมาด้วยความเมามายก็ล้วนยินดี แต่แม้นางเข้าแต่ก็ไม่ปรารถนาให้เขาใช้วิธีการทำร้ายตนเองเช่นนี้
“ข้าเป็นบุรุษจะไม่ดื่มสุราได้อย่างไร”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยเสียงเบาในคอก่อนรับน้ำเปล่าในมือนางยกขึ้นดื่มจนหมด หวังเหม่ยหลินยิ้มกว้างในแววตาฉายชัดถึงความชื่นชมในความว่าง่ายไม่ดื้อดึงของเขา จนผู้ถูกมองร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า
“ท่านจะเป็นบุรุษที่ดีมากหากไม่ดื่มสุรา”
นางเอ่ยบอกเสียงอ่อนโยนพร้อมส่งผ้าชุบน้ำให้เขาใช้เช็ดหน้าเช็ดตา แม้ไม่เข้าใจนักแต่ซ่งรุ่ยหยางก็ไม่คิดสอบถามเพิ่มเติมให้วุ่นวาย ในเมื่อนางบอกว่าควรดื่มน้ำเขาก็ควรดื่มน้ำ ไม่ควรดื่มสุราเขาก็แค่ไม่ดื่มสุรา หลังจากดื่มน้ำหมดแล้วสายตาคมก็มองไปยังงานเย็บปักของนางบนโต๊ะกลางห้อง หวังเหม่ยหลินมองตามสายตาคมแล้วเอ่ยเสียงนุ่มอ่อนโยน
“ข้ากำลังทำที่รัดแขนให้ท่านเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินเดินไปหยิบผ้าผืนยาวที่นางเย็บเป็นช่องๆ ยาวประมาณ 10 ชุ่นส่งให้คนบนเตียงดู
“ช่องเล็กๆ พวกนี้ข้าจะใส่หินลงไป เสร็จแล้วจะเย็บปิดเจ้าค่ะ”
“ทำไมต้องใส่หินลงไป”
“เพื่อเพิ่มน้ำหนักเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินเห็นสายตาใคร่รู้ปนสงสัยของอีกฝ่ายแล้วยิ้มอ่อนโยน ทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงนอนเขา ก่อนรองวางผ้าเทียบความยาวของข้อมือเขา
“ในการทำกายภาพบำบัดขั้นต่อไปต้องใช้กำลังแขนค่อนข้างมาก ท่านจำเป็นต้องเพิ่มกำลังแขนเจ้าค่ะ”
“เจ้าจะให้ข้าผูกผ้าใส่หินนี้เอาไว้ที่ข้อมือแล้วยกแขนทุกวันใช่หรือไม่”
หวังเหม่ยหลินยิ้มกว้างพยักหน้ารับ ดูเหมือนคนที่นางเจรจาด้วยแล้วเข้าใจเจตนาของนางได้โดยเร็วจะมีเพียงเขาเท่านั้น เดิมทีหวังเหม่ยหลินอยากทำดัมเบลล์ให้เขาแต่การทำดัมเบลล์ในยุคนี้คงยุ่งยากไม่น้อย เช่นนั้นนางจึงดัดแปลงทำเป็นผ้ารัดข้อมือให้เขาแทน ส่วนดัมเบลล์รอนางเย็บผ้ารัดข้อมือนี่เสร็จค่อยออกแบบดัดแปลงทำให้เขาก็แล้วกัน
ซ่งรุ่ยหยางยิ้มกว้างมองผ้ารัดข้อมือที่นางส่งมาให้ ทว่ายามที่สายตามองไปเห็นบาดแผลบนปลายนิ้วเล็ก คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันแน่น ดวงตาคมพลันขุ่นมัวขึ้นมา มือหนาตวัดจับข้อมือของนางแล้วหงายมือนางดูด้วยความไม่พอใจ
“แผลพวกนี้เกิดจากการเย็บผ้านี่หรือ”
“เอ่อ...”
หวังเหม่ยหลินยิ้มแห้ง ตัวนางในชาติภพก่อนเคยแต่กำเข็มฉีดยา ให้มากำเข็มเย็บผ้าเช่นนี้ย่อมไม่ถนัด แต่ยามที่อธิบายให้หูฉีเอ๋อร์ทำแทนนางก็ไม่เข้าใจ ครั้นจะลองร่างภาพให้อีกฝ่ายดูฝีมือการวาดภาพของนางก็ออกจะไม่ค่อยชัดเจน สุดท้ายก็เลยลองทำด้วยตนเองดู ทว่าเย็บมาสามวันแล้วนอกจากผ้าผืนนี้จะบิดเบี้ยวไร้ลวดลาย ปลายนิ้วของนางก็ล้วนมีแต่บาดแผล
“แผลเล็กน้อยเท่านั้น คุณชาย... ท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
“นี่เจ้าเคยเย็บผ้าหรือไม่”
“เอ่อ...”
หวังเหม่ยหลินเห็นสายตาดุดันที่จดจ้องบนผ้าของนางด้วยความไม่พอใจแล้วคาดเดาว่าเขาคงนึกโมโหฝีมืออันต่ำต้อยของนาง สตรีในยุคนี้ล้วนมากความสามารถทั้งหมาก กลอน อักษร ภาพวาด ดนตรี งานเย็บปัก งานครัว พวกนางก็ล้วนทำได้ดีกันทั้งสิ้น ดังนั้นตัวหวังเหม่ยหลินที่ยามนี้เป็นเพียงวิญญาณจางอวิ่นหลินข้ามภพมาอาศัยจะเอาอันใดไปเทียบเคียงกัน
“อันนี้ข้าเพียงเย็บเป็นแบบเท่านั้น ส่วนอันที่จะให้ท่านใช้จริงข้าจะว่าจ้างผู้อื่นทำให้ คุณชายท่านไม่ต้องกังวล”
“จื่อรั่วเข้ามา!”
ซ่งรุ่ยหยางหยิบผ้าในมือของนางมาถือไว้ ก่อนตะโกนเรียกเฉินจื่อรั่วเข้ามา หวังเหม่ยหลินมองท่าทางไม่พอใจของคนบนเตียงแล้วได้แต่เม้มปากเอาไว้พยายามสงบคำเพื่อไม่เอ่ยปากให้เรื่องราวบานปลาย
“คุณชาย”
“พาข้าไปที่โต๊ะหนังสือ”
หวังเหม่ยหลินมองเฉินจื่อรั่วประคองคนบนเตียงไปยังรถเข็นก่อนที่จะพาเขาไปยังโต๊ะหนังสือ มือหนากางกระดาษหยิบพู่กันจุ่มหมึกที่เฉินจื่อรั่วฝนให้ตวัดไม่กี่ครั้งหวังเหม่ยหลินก็เบิกตาโต
“นี่ใช่แบบที่เจ้าต้องการหรือไม่”
หวังเหม่ยหลินพยักหน้าถี่ระรัว สายตายังคงมองภาพตรงหน้าที่งดงามราวกับถูกคัดลอกมาจากในหัวนางเลยทีเดียว
“คุณชายเช่นนั้นท่านวาดภาพให้ข้าอีกสักสองสามภาพได้หรือไม่”
ซ่งรุ่ยหยางที่กำลังวางพู่กันช้อนตามองคนโลภมากด้วยความไม่พอใจ ทว่ายามที่เห็นแววตาชื่นชมของนางมองฝีมือวาดภาพของตน ในใจก็คล้ายเหลียนฮวาพบแสงแรกของตะวันเบ่งบานอิ่มเอมยิ่งนัก
“ภาพอะไร”
“ภาพแรกเป็นท่อนไม้คล้ายหมอนของท่าน เอาไว้ให้ท่านรองฝ่ามือเจ้าค่ะ”
รองฝ่ามือ นี่คงเป็นอุปกรณ์ที่นางจะใช้ทำกายภาพบำบัดให้เขาอีกแล้วใช้หรือไม่ ช่างเถิดนางจะใช้ทำอะไรก็แล้วแต่นาง ก็แค่ท่อนไม้ท่อนเดียวไม่ใช่หรือไร เขาย่อมวาดได้โดยไม่เสียเวลา
หวังเหม่ยหลินขยับตัวไปยืนด้านข้างของซ่งรุ่ยหยาง ก้มหน้าลงมองมือหนาที่ค่อยๆ ขยับพู่กันเป็นเส้นตรง
ซ่งรุ่ยหยางคล้ายสติไม่มั่นคง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายนางรบกวนสมาธิของเขา อีกทั้งแก้มเนียนที่ขยับมาจนประชิดเพื่อมองดูภาพวาดของเขา ก็ดึงสายตาของเขาจนหลงลืมว่าตนกำลังลากพู่กันลงในกระดาษ
“คุณชายนี่ออกจะยาวไปแล้วเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินเอื้อมมือไปจับมือหนาเพื่อหยุดการลากเส้นของเขา สัมผัสจากมือบางคล้ายมีพลังงานบางอย่างแล่นเข้ากลางอก ร่างกายของซ่งรุ่ยหยางพลันอ่อนแรงลง ดวงตาเบิกกว้างมองใบหน้าหวานที่ห่างเพียงคืบมือ พู่กันยาวพลันหลุดจากมือหนา
“คุณชาย!”
หวังเหม่ยหลินร้องลั่นยามที่พู่กันหลุดจากมือหนา น้ำหมึกพลันเปอะเปื้อนจนภาพตรงหน้าเลอะเทอะไม่อาจใช้การได้ ทว่ายามที่นางหันหน้ามาหวังเอ่ยเตือนเขา กลับพบว่าในแววตาคมมีภาพนางสะท้อนอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้างามพลันสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่อุ่นร้อนของเขา ในใจของหวังเหม่ยหลินเต้นถี่ระรัว อีกทั้งยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัว
“เอ่อ... ขออภัยเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินเร่งปล่อยมือหนา เหยียดตัวตรงขยับเท้าถอยห่างเขาในทันที
ไม่ได้! จะให้เขาคิดว่านางหมายใจยั่วยวนเขาไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าด้วยความรีบร้อนไม่ทันระวังเท้าเล็กพลันเหยียบชายชุดของตนเองจนหงายหลัง ซ่งรุ่ยหยางเบิกตากว้างเร่งตวัดมือโอบเอวบางแล้วดึงนางเข้าหาตนเองในทันที หวังเหม่ยหลินแทบจะหยุดหายใจเมื่อภาพตรงหน้าเป็นแผงอกแกร่ง นี่นางให้เขาบำรุงตนเองมากไปหรือไม่ ก่อนหน้าไม่ใช่ว่าคุณชายผู้นี้มีร่างกายที่ผอมแห้งหรอกหรือ เหตุใดยามนี้แผงอกที่ควรไร้กล้ามเนื้อกลับมีกล้ามหน้าอกได้รูปเช่นนี้เล่า
ซ่งรุ่ยหยางมองศีรษะเล็กที่แนบอกตนเองแล้วข่มกลั้นลมหายใจ เหตุใดยามที่ใกล้ชิดนางทีไรเขามักไม่อาจควบคุมตนเองเช่นนี้กัน
คนบนตักรีบขยับตัวลุกขึ้น และคราวนี้ไม่ลืมใช้มือยกชายกระโปรงยาวของตน สาบานว่านางกลับถึงจวนสกุลหวังเมื่อไหร่จะให้คนเอาชุดสาวใช้พวกนี้ไปตัดใหม่ให้หมด
“ขอ... ขออภัยเจ้าค่ะ”
“อืม...”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยเสียงในลำคอ ใบหน้าแดงก่ำมือหนาสั่นเทา เฉินจื่อรั่วที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดได้แต่เม้มปากยืนนิ่งพยามทำตัวราวสายลมที่ไร้ชีวิต ยามที่เห็นคุณชายของตนหยิบพู่กันอีกครั้งจึงเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ให้เขา
“บอกรายละเอียดข้าอีกที”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยบอกรายละเอียดอีกครั้ง โดยครั้งนี้ยังให้เขาวาดดัมเบลล์ที่ใช้เหล็กหลอมขึ้นมาอีกด้วย
“สองชิ้นนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่ตัวที่ยกน้ำหนักนี้เกรงว่าคงเป็นเดือนหน้าจึงจะได้ใช้งาน”
“ร่างกายคุณชายต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องของพวกนี้อย่างไรก็ควรมีเจ้าค่ะ”
“อืม”
ในเมื่อนางบอกว่าควรมีก็ควรมี ซ่งรุ่ยหยางส่งกระดาษในมือให้กับเฉินจื่อรั่ว ไม่ต้องเอ่ยให้มากความเฉินจื่อรั่วก็ส่งแบบร่างเหล่านั้นให้ ช่างเย็บผ้า นายช่างไม้ และช่างตีเหล็กเริ่มดำเนินงานในทันที
“คุณชายผ้าปักของข้า...”
“ข้าจะเก็บไว้เทียบกับแบบสำเร็จ”
หวังเหม่ยหลินมองงานเย็บปักชิ้นแรกที่ถูกอีกฝ่ายเก็บใส่อกเสื้อแล้วร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า งานเย็บที่แม้แต่หูฉีเอ๋อร์ยังส่ายหน้าเช่นนั้นถูกเขายึดไปไม่ให้นางรู้สึกอับอายได้อย่างไร
“เช่นนั้นหลังจากเสร็จแล้วข้าขอ...”
“อากาศวันนี้ดีไม่น้อย ข้าอยากออกไปนั่งที่ศาลาสักหน่อย”
กล่าวจบซ่งรุ่ยหยางก็บังคับรถเข็นของตนออกจากเรือน หวังเหม่ยหลินได้แต่ถอนหายใจยาวแล้วเดินไปช่วยเขาเข็นรถเข็นออกไปนอกเรือน
ช่างเถิดก็แค่ผ้าผืนเดียวไม่ใช่หรือไร
.........................................................................................