บทที่ 4/2
แต่สำหรับท่านข้ามั่นใจว่าจะต้องฟื้นฟูได้มากกว่าแปดส่วนแน่นอน
หวังเหม่ยหลินหันไปส่งสายตาให้หูฉีเอ๋อร์ ไม่นานสาวใช้ตัวน้อยก็หยิบเก้าอี้ตัวเตี้ยมาให้นาง ซ่งรุ่ยหยางเบิกตากว้างหัวใจพลันเกร็งกระตุกยามที่เห็นสตรีตรงหน้าขยับตัวนั่งบนเก้าอี้เตี้ย แล้วจับขาทั้งสองข้างของเขาวางพาดบนต้นขานาง มือบางยังค่อยๆ ดึงรั้งเปิดชายผ้าของเขาขึ้นสูงเผยผิวขาทั้งสองข้าง
“จะ... เจ้าจะทำอะไร”
ใบหน้าของซ่งรุ่ยหยางร้อนผ่าว ดวงตาคมเบิกกว้าง มือหนากำผ้าปูเตียงแน่น ในใจร้องบอกให้ปัดมือนางออกแล้วดึงรั้งผ้าลง ทว่ามือสองข้างกลับแข็งค้างทำได้เพียงเกร็งตัวนั่งนิ่งส่งสายตาดุดันให้นาง
สตรีไร้ยางอาย ฟ้ายังสว่างอีกทั้งบ่าวไพร่ก็ยังอยู่ในเรือนเช่นนี้ นางยังคิดจะทำเรื่อง... เหตุใดไม่ไล่บ่าวออกไปก่อนกัน
“คุณชายหลับตาลงเจ้าค่ะ”
ซ่งรุ่ยหยางสบแววตานิ่งสงบของนางแล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุด ก่อนค่อยๆ ข่มใจปิดเปลือกตาลงอย่างว่าง่าย
สามเดือน สามเดือนเท่านั้นที่เขาจะเชื่อฟังนาง หลังจากนั้นอย่าได้หวังว่าเขาจะฟังนางอีก
“ข้าจับที่ตรงนี้ท่านรู้สึกหรือไม่”
ซ่งรุ่ยหยางพยักหน้ารับ มือหนาจับผ้าปูเตียงกำเอาไว้แน่นมากขึ้นยามที่สตรีน่าตายเคลื่อนมือเปิดชายผ้าของเขาสูงขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงต้นขาช่วงบน
หวังเหม่ยหลินหันไปส่งคำสั่งผ่านสายตากับสาวใช้คนสนิท หูฉีเอ๋อร์ก็ส่งถาดอุปกรณ์ให้นาง นางหยิบพู่กันขึ้นมาก่อนใช้ปลายด้ามพู่กันกดลงบนผิวหนังของคนเจ็บเพื่อทดสอบประสาทสัมผัสของเขา
“ตรงนี้เล่าเจ้าคะ รู้สึกหรือไม่”
ยามที่ซ่งรุ่ยหยางพยักหน้ารับในใจของหวังเหม่ยหลินก็พลันเต้นระรัว นึกดีใจยิ่งที่ประสาทสัมผัสของอีกฝ่ายยังคงรับรู้สัมผัสได้ มือบางวางพู่กันในมือลง เปิดฝาถ้วยเคลือบหยิบน้ำแข็งขึ้นมาแล้วแตะลงบนต้นขาของเขา
“เย็น! นี่เจ้าทำอะไรของเจ้ากัน”
ซ่งรุ่ยหยางเปิดตาขึ้นส่งสายตาดุดันพร้อมขมวดคิ้วแน่นจดจ้องสตรีเบื้องหน้า นี่นางกำลังเล่นตลกอะไรกับเขากัน เมื่อมองไปยังถาดข้างกายนางแล้วในใจของเขาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ทั้งพู่กัน น้ำแข็ง ถ้วยชาร้อน สิ่งเหล่านี้จะใช้รักษาเขาได้อย่างไรกัน
“เมื่อครู่ข้าเพียงตรวจกำลังกล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสการรับรู้ด้านความรู้สึกและอุณหภูมิเจ้าค่ะ”
ตรวจกำลังกล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสการรับรู้ความรู้สึกและอุณหภูมิ
ในโลกนี้มีการตรวจรักษาเช่นนี้ด้วยหรือไรกัน ช่างเป็นวิธีการที่ไม่เหมือนผู้ใด เช่นนั้นจะโทษที่เมื่อครู่เขาเอ่ยตำหนินางไม่ได้ ใบหน้าซ่งรุ่ยหยางพลันร้อนผ่าวมากขึ้น ยามที่คิดถึงวิธีการตรวจของนางเมื่อครู่
หวังเหม่ยหลินไม่นึกโกรธเคืองคนตรงหน้า วิธีการตรวจของนางในยุคนี้ยังไม่มีผู้ใดใช้ จะถูกมองอย่างสงสัยก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
“แล้วผลการตรวจเป็นอย่างไร”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดขุ่นเคือง คล้ายรำคาญใจ ทว่าแววตาใคร่รู้ของเขากลับทำให้หวังเหม่ยหลินอดที่จะส่ายหน้าไปมาไม่ได้ เขาเอ่ยถามเช่นนี้นั่นหมายความว่าในใจของเขายอมรับการตรวจของนางแล้วใช่หรือไม่ หวังเหม่ยหลินยิ้มอ่อนโยนวางน้ำแข็งในมือลงในถ้วยเช่นเดิม ก่อนเอ่ยบอกเสียงเรียบ
“นับว่ายังพอฟื้นฟูได้ เพียงแต่ท่านไม่ได้เดินมานานแล้วหากลุกเดินเลยย่อมไม่เป็นผลดี เช่นนั้นช่วงแรกข้าจะเริ่มจากฝึกเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อและบริหารข้อก่อนนะเจ้าคะ”
ตรวจกำลังกล้ามเนื้อ และประสาทสัมผัสการรับรู้ความรู้สึกและอุณหภูมิ ฝึกกล้ามเนื้อและบริหารข้อ นี่นางพูดอะไรของนางกัน ช่างเถิดตั้งแต่แรกนางก็พูดสิ่งใดไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว
“อยากทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า!”
หวังเหม่ยหลินช้อนตามองคนเจ็บแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม ยามที่คนเจ็บว่าง่ายไม่แผลงฤทธิ์เช่นนี้ก็ดูดีไม่น้อยทีเดียว ซ่งรุ่ยหยางน้อนผ่าวไปทั้งใบหน้า สตรีไร้ยางอายยิ้มกว้างเพียงนี้คิดยั่วยวนเขาใช่หรือไม่
“จื่อรั่ว เจ้ามานี่หน่อย”
เฉินจื่อรั่วขยับตัวเดินมายืนข้างๆ คุณหนูสามด้วยท่าทางเคารพ ก่อนหน้านี้ในใจของเขาไม่เคยยอมรับคุณหนูผู้นี้โดยแท้จริงเลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งนั้นเพราะวีรกรรมก่อนหน้านี้ของนางเขาเคยพบเห็นด้วยตนเอง แต่เมื่อครู่ยามที่นางตรวจร่างกายคุณชายของเขาท่าทางกลับนิ่งสงบ แววตามุ่งมั่นจริงใจ ไร้ซึ่งความลังเลหรือรังเกียจคุณชายของเขา ในใจของบ่าวผู้นี้จึงยอมรับนางขึ้นมาเล็กน้อย
“ต่อไปทุกเช้าเย็นเจ้าต้องบริหารข้อและกล้ามเนื้อให้คุณชายเช่นนี้ ห้ามขาดแม้แต่วันเดียว”
ซ่งรุ่ยหยางมองมือบางนุ่มนิ่มที่ค่อยๆ จับนิ้วเท้าของเขาหมุนไปมา ก่อนขยับมาที่ฝ่าเท้า ข้อเท้า และข้อเข่าของเขา ทุกท่าทางอ่อนโยนและห่วงใยไร้ซึ่งแววตาเดียดฉันท์หรือรังเกียจเช่นที่หลานสาวคนก่อนๆ ของอนุเซียวกระทำ ในใจก็พลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
“อีกอย่างเจ้าต้องให้คุณชายแช่เท้าในน้ำอุ่น บีบนวดกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดเช่นนี้ด้วย จำได้หรือไม่"
“จำได้ขอรับ”
“คุณชายท่านเองก็ต้องฝึกควบคุมกล้ามเนื้อขาให้มาก ต้องพยายามเกร็งและยกขาให้ได้”
“ข้าทำได้เพียงกระดิกปลายเท้า จะยกขาได้อย่างไร”
“ถ้าแม้แต่ตัวท่านเองยังคิดว่าทำไม่ได้ เช่นนั้นการรักษานี้ก็พอแค่นี้เถิดเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินเอ่ยเสียงราบเรียบก่อนยกขาของคนเจ็บออกจากหน้าขาของตนด้วยท่าทีนิ่งสงบ ไร้ซึ่งแววตาขุ่นเคือง ไร้ซึ่งท่าทางรำคาญ ไร้ซึ่งวาจาตำหนิ แต่กลับทำให้อีกฝ่านร้อนรนอย่างไร้สาเหตุ
“เจ้า!”
ซ่งรุ่ยหยางขบกรามแน่น สตรีน่าตายพอเห็นว่าเขายอมอ่อนข้อให้ก็เหิมเกริม ยามนี้ยังกล้ามองเขาด้วยแววตาเฉยชา มันน่าโมโหนัก... ก็แค่ยกขาจะอยากเย็นอะไร
“ข้ามิได้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย”
หวังเหม่ยหลินยิ้มกว้างดวงตาหวานเปล่งประกายจนคนบนเตียงตั้งรับไม่ถูก สตรีน่าโมโหเมื่อครู่ยังทำท่าทีเย็นชาใส่กัน ยามนี้กลับมายิ้มกว้างคิดว่าแค่ยิ้มให้เขา เขาก็จะเชื่อฟังอย่างนั้นหรือ...
“ต้องทำอะไรอีกไหม”
เฉินจื่อรั่วมองท่าทีของคุณชายตนแล้วยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความสับสน เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าท่าทางของคุณชายคล้ายจะไม่ยอมรับการรักษาของคุณหนูสามหรอกหรือ
“ร่างกายของคุณชายขาดสารอาหารมานานทำให้มวลกล้ามเนื้อลดลง ดังนั้นช่วงนี้บอกห้องครัวให้เน้นอาหารพวกโปรตีนให้มากหน่อย”
เฉินจื่อรั่วขมวดหัวคิ้วจนแทบจะพันกัน สิ่งใดคือมวลกล้ามเนื้อ สิ่งใดคือโปรตีน... ไม่เพียงแต่เฉินจื่อรั่วที่สงสัย แม้แต่คนเจ็บเองก็สงสัยจนหลงลืมท่าทางนิ่งสงบเยือกเย็นของตน
“อะไรคือมวลกล้ามเนื้อ แล้วโปรตีนคืออะไร”
หวังเหม่ยหลินพลันชะงัก รอยิ้มบนหน้าก็ดูแข็งค้าง นี่นางกล่าวอะไรไป... ในยุคนี้พวกเขาจะรู้จักอาหารหลักห้าหมู่พวกนี้ได้อย่างไรกัน
“ข้าหมายถึงพวกเนื้อสัตว์เจ้าค่ะ แต่คุณชายกำลังเริ่มรับอาหารได้ เช่นนั้นช่วงนี้กินเป็นพวกเนื้อปลาก่อนก็แล้วกัน”
“คุณชายไม่ชอบกินปลาขอรับ”
เฉินจื่อรั่วแอ่ยบอกเสียงแผ่ว หวังเห่ยหลินเงยหน้าสบตาคนเจ็บเขาอายุเกือบจะสามสิบปีแล้วเหตุใดเรื่องอาหารยังเรื่องมากราวเด็กน้อยเช่นนี้ ซ่งรุ่ยหยางพลันเบนตาหลบเลี่ยงสายตาตำหนิของอีกฝ่าย ก็เจ้าสัตว์น้ำจืดพวกนี้มีกลิ่นเหม็นคาวยิ่งนักเขาจึงไม่ค่อยชื่นชอบเท่าไหร่
“เจ้าบอกว่าให้กินเนื้อสัตว์ เช่นนั้นก็เอาเป็นเนื้ออย่างอื่นแทน”
“แต่หากเป็นเนื้อสัตว์อย่างอื่นจะย่อยยาก กินมากๆ ท่านอาจปวดท้องได้”
“ก่อนหน้านี้ข้ากินโจ๊กไก่โจ๊กหมูทุกวันก็ไม่เห็นจะปวดท้อง”
ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยน้ำเสียงห้วนเด็ดขาด หวังเหม่ยหลินถอนหายใจยาวคุณชายแท้จริงท่านอายุสามขวบใช่หรือไม่...
“เช่นนั้นก็เน้นเป็นพวกไข่แทนก็แล้วกัน”
.................................................................................