บทที่ 4/1

1819 คำ
บทที่ 4/1 กลิ่นอาหารลอยคลุ้งไปทั้งเรือนเล็ก เฉินจื่อรั่วยืนประคองถาดอาหารจนมือสั่นร่วมหนึ่งชั่วยามแล้วที่เขาถือถาดอาหารอยู่ข้างเตียงคุณชาย “คุณชายได้เวลาอาหารเช้าแล้วขอรับ หากแม่นางหูทราบว่าสายขนาดนี้แล้วคุณชายยังไม่ได้กินมื้อเช้า นางอาจจะ...” “นางจะทำไม” เฉินจื่อรั่วกลืนน้ำลายฝืดยามที่เห็นสายตาดุดันที่อีกฝ่ายตวัดส่งมา หางตาเหลือบมองไปที่ประตูเรือนบ่อยครั้งจนเขาจำจำนวนครั้งไม่ได้แล้ว เหตุใดวันนี้คุณหนูสามถึงมาช้านัก ข้าวต้มถ้วยนี้เขาเองก็อุ่นมาถึงสามรอบแล้ว เกรงว่าหากไปอุ่นอีกรอบคงกลายเป็นโจ๊กเสียแล้ว สตรีน่าโมโห เขาไม่กินมื้อเช้าแล้วอย่างไร นางจะทำอะไรเขาได้กัน นี่ยามใดแล้วยังไม่มาอีก ซ่งรุ่ยหยางขมวดคิ้วเข้ม หางตามองไปที่ประตูเรือน ปกตินางไม่เคยมาที่จวนสายถึงเพียงนี้ หรือว่าจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นระหว่างทาง “จื่อรั่ว ส่งคนไป...” “ระวังหน่อย ค่อยๆ ยก” เสียงหวานใสคุ้นหูดังขึ้นที่หน้าเรือน คนเจ็บที่นั่งอยู่บนเตียงพลันขยับตัวเบนสายมองไปยังหน้าประตูเรือน ยามที่หางตาเห็นถ้วยข้าวต้มในมือบ่าวคนสนิทก็รีบหยิบมาตักกินอย่างรวดเร็ว พริบตาถ้วยข้าวบนถาดในมือของผู้เป็นบ่าวคนสนิทก็ว่างเปล่า เฉินจื่อรั่วมองถ้วยข้าวและแก้วน้ำทรงประหลาดที่ยามนี้ก็ว่างเปล่าแล้วได้แต่ร่ำร้องในใจ คุณหนูสาม ครั้งหน้าท่านได้โปรดมาให้เร็วหน่อยเถิด... “จื่อรั่ว เจ้าออกมาช่วยข้าหน่อย” “อ่อ... ขอรับ” เฉินจื่อรั่ววางถาดอาหารในมือลงที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะเร่งเดินไปช่วยคุณหนูสามยกของที่หน้าเรือน ซ่งรุ่ยหยางขยับตัวเหยียดหลังตรง ก่อนนหยิบตำราพิชัยสงครามขึ้นมาอ่าน ทว่ากลับตวัดสายตามองไปยังสตรีไร้ยางอายที่กำลังวุ่นวายกับการขนข้าวของมากมายที่หน้าเรือน จนไม่มีแม้แต่จะเข้ามาทักทายเขา ช่างไม่รู้จักมารยาทยิ่งนัก “เอะอะอะไรกัน ไร้มารยาทสิ้นดี” หวังเหม่ยหลินขมวดคิ้วเล็ก มองเข้าไปในห้องเห็นคนเจ็บกำลังนั่งอ่านตำราก็เม้มริมฝีปากแน่น หรือเมื่อครู่นางเสียงดังมากไปคนขี้โมโหด้านในจึงหงุดหงิดขึ้นมา เช่นนั้นก็ควรลดเสียงลงสักหน่อย มือบางยกขึ้นกวักเรียกเฉินจื่อรั่วมาจนประชิดตัวแล้วเอ่ยเสียงเบาลง “จื่อรั่ว เจ้าช่วยพาบ่าวชายมาทำไม้เท้าสี่ขาให้ข้าหน่อยได้หรือไม่” “ไม้เท้าสี่ขา ไม้เท้าไม่ใช่ว่ามีเพียงขาเดียวหรือขอรับ” เฉินจื่อรั่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย ปกติแล้วไม้เท้าก็เป็นเพียงไม้ท่อนหนึ่งที่ใช้สำหรับค้ำยันไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดคุณหนูสามจึงกล่าวว่าคือไม้เท้าสี่ขา “ข้าจะทำไม้เท้าสี่ขา สำหรับให้คุณชายหัดเดิน” “ไม้เท้าสำหรับหัดเดิน!” หวังเหม่ยหลินพยักหน้ารับคำก่อนกางภาพวาดให้เฉินจื่อรั่วดู ทว่าฝีมือการวาดภาพของนางนั้นค่อนข้างจะพิเศษกว่าผู้อื่น หัวคิ้วของเฉินจื่อรั่วจึงขมวดเข้าหากันแน่น ส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้มแห้ง “คุณหนู ภาพนี้เอ่อ... บ่าวไม่เข้าใจ” หวังเหม่ยหลินขยับตัวเข้าใกล้เฉินจื่อรั่วมากขึ้น ปลายนิ้วเล็กชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ ก่อนค่อยๆ เอ่ยอธิบายภาพวาดของตนเสียงเบา เพื่อไม่ให้รบกวนคนขี้โมโหด้านใน ซ่งรุ่ยหยางมองไปที่นอกเรือนพักภาพหญิงสาวเจ้าเล่ห์ยืนแบบชิดเฉินจื่อรั่วพร้อมกับพูดคุยอย่างสนิทสนมทำให้ในใจเขาหงุดหงิดเป็นทบทวี มือหนาเอื้อมไปหยิบถ้วยข้าวบนถาดแล้วปาลงบนพื้น เศษถ้วยแตกกระจายเต็มพื้นเรือน เรียกสายตาสงสัยจากทุกคนจดจ้องมาที่เขา โดยเฉพาะหวังเหม่ยหลินที่ส่งสายตาตำหนิเขาชัดเจน คุณชายซ่งผู้นี้อายุ 28 ปีแล้ว อีกทั้งยังเป็นถึงกุนซือกองทัพ เหตุใดจึงมีนิสัยเช่นนี้ได้กัน ถึงแม้ยามนี้เขาจะเจ็บป่วยแต่ก็ควรมีขอบเขตบ้างไม่ใช่หรือ ทำลายข้าวของเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน ซ่งรุ่ยหยางสบสายตาตำหนิของหวังเหม่ยหลินแล้ว ในใจก็พลันตื่นตระหนกอย่างไร้สาเหตุ ทว่าเมื่อทบทวนเหตุการณ์ดูแล้วก็ตระหนักได้ว่าการกระทำเมื่อครู่ของตนไม่เหมาะสมนัก ดวงตาคมเคลื่อนไหวไปมาก่อนเอ่ยเสียงไม่ดังนัก “เมื่อครู่ข้า... เอ่อ... หิวน้ำ! ใช่! หิวน้ำ... เลยเผลอทำถ้วยตกแตก” หวังเหม่ยหลินถอนหายใจยาวหันไปเอ่ยบอกให้หูฉีเอ๋อร์เข้าไปทำความสะอาด ขณะที่ตนเองหันกลับมาเอ่ยอธิบายการทำไม้เท้าสี่ขาสำหรับหัดเดินให้เฉินจื่อรั่วฟังอีกครั้ง ซ่งรุ่ยหยางขบกรามแน่นมองภาพตรงหน้าด้วยความหงุดหงิดใจมากขึ้น ไม่ใช่ว่านางมาที่นี่เพื่อดูแลเขาหรือ แล้วนี่อะไรกันท่าทางสนิทสนมใกล้ชิดกับบุรุษเช่นนี้ใช่สิ่งที่สตรีที่ดีพึงกระทำหรือไม่ “จื่อรั่ว เข้ามาหน่อย” เฉินจื่อรั่วได้ยินคุณชายของตนเรียกหาก็รีบหมุนตัววิ่งเข้าไปในห้องทันที หวังเหม่ยหลินเองก็เดินตามเข้ามา เห็นทีวันนี้ต้องเริ่มทำกายภาพบำบัดให้ซ่งรุ่ยหยางแล้ว “คุณชายเรียกหาบ่าวมีอะไรหรือขอรับ” “เอ่อ... ข้า... ข้า” เมื่อครู่เพียงคิดแยกคนของตนมาจากหญิงเจ้าเล่ห์ ไม่ทันได้เตรียมคำตอบเอาไว้ เพียงแต่ยอดกุนซือกองทัพเช่นเขาเหตุใดเรื่องแค่นี้จะแก้ไขไม่ได้กันเล่า “ข้าจะไปทำธุระส่วนตัว” “อ่อ...” เฉินจื่อรั่วเข้าใจคำว่าธุระส่วนตัวนี้ดี จึงหันหลังให้คุณชายของตนขึ้นหลังแล้วแบกเขาไปยังห้องน้ำด้านหลัง เมื่อคนเจ็บลงจากเตียงแล้วหวังเหม่ยหลินจึงถือโอกาสเปลี่ยนผ้าปูที่นอนให้เขา พร้อมทั้งเอ่ยเรียกให้หูฉีเอ๋อร์เอาแจกันดอกไม้เข้ามาตั้งที่โต๊ะกลางห้องห่างมือคนขี้โมโห บรรยากาศรอบตัวมีผลต่อการรักษาตัว ดังนั้นนอกจากแจกันดอกไม้กลางห้องแล้ว ที่หน้าประตูเรือนยังมีกระถางต้นไม้ใบใหญ่ตั้งเอาไว้ กระถางต้นไม้ใบใหญ่เช่นนี้หากคนขี้โมโหคิดลุกขึ้นมาอาละวาด ก็คงยกทุ่มใส่ผู้ใดไม่ไหว “ทำอะไร!” ซ่งรุ่ยหยางเอ่ยถามเสียงเข้ม สายตาคมกวาดมองรอบๆ ห้องที่ยามนี้ถูกหญิงสาวตรงหน้าตกแต่งใหม่ แม้ไม่ชื่นชอบที่นางวุ่นวายแต่ในใจกลับรู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก จวบจนกระทั่งสายตาของเขาไปสะดุดที่เก้าอี้มีล้อกลางห้อง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างไม่พอใจ “ใครนำมันเข้ามา” “ข้าเจ้าค่ะ” เฉินจื่อรั่ววางคุณชายของตนลงบนเตียง ก่อนถอยห่างคนเจ็บถึงสามก้าว ในมือไม่ลืมหยิบถาดอาหารที่ตนวางเอาไว้ริมหัวเตียงออกมาด้วย หางตาลอบมองไปยังเก้าอี้มีล้อกลางห้อง ของชิ้นนี้เมื่อสองเดือนก่อนคุณชายอวี้ก็เคยนำมาให้คุณชายของเขา เพียงแต่พอได้ยินคุณสมบัติของเจ้าเก้าอี้มีล้อนี้ คุณชายของเขาก็ให้คนนำไปเผาในทันที ซ่งรุ่ยหยางขบกรามแน่น วันก่อนสตรีน่าตายผู้นี้กล่าวว่าขอเวลาสามเดือนนางจะช่วยให้อาการเขาดีขึ้น พอมาวันนี้กลับนำรถเข็นมามอบให้เขา ผู้ที่นั่งรถเข็นมีเพียงผู้ที่พิการเท่านั้น การที่นางมอบมันให้เขาย่อมต้องการบอกความหมายเป็นนัยว่าให้เขาใช้ชีวิตที่เหลือบนเจ้ารถเข็นนี่ใช่หรือไม่ หวังเหม่ยหลินมองแววตาขุ่นเคืองที่จดจ้องไปยังรถเข็นกลางห้อง อีกทั้งร่างกายเริ่มเกร็งสั่น ริมฝีปากขบเม้มแน่น อาการแบบนี้ดูเหมือนว่ารถเข็นนี่คงไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในใจของซ่งรุ่ยหยางอย่างแน่นอน นางค่อยๆ เดินไปที่ข้างเตียงเขาย่อตัวลงนั่งบนพื้น วางมือบางบนหลังมือหนาที่กำเข้าหากันแน่น ส่งสายตาอ่อนโยน และเอ่ยน้ำเสียงมั่นคง “คุณชาย ท่านเชื่อใจข้าสักครั้งได้หรือไม่ ข้าสัญญาว่าข้าจะช่วยให้อาการของท่านดีขึ้น” ซ่งรุ่ยหยางขยับสายตาของตนมองมาที่สตรีตรงหน้า สัมผัสจากมือบางคล้ายมีพลังบางอย่างทำให้ร่างกายของเขาผ่อนคลาย จิตใจที่ขุ่นมัวก็ทุเลาลงอย่างไม่เคย หวังเหม่ยหลินยิ้มอ่อนโยนนิ้วหัวแม่มือทั้งสองเคลื่อนไหวบนหลังมือหนาเบาๆ ใช้สัมผัสที่อ่อนโยนสร้างความเชื่อใจ วิธีการนี้ในอดีตนางเคยใช้กับผู้ป่วยมามากทุกครั้งล้วนได้ผล แม้จะยังไม่ไว้ใจในอารมณ์ที่ขึ้นๆ ลงๆ ของคนตรงหน้า แต่ยามนี้นางไม่ได้อยู่กับเขาตามลำพังหากเขาคิดบีบคอนางบ่าวทั้งสองคงไม่นิ่งดูดายปล่อยนางตายโดยไม่ช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าซ่งรุ่ยหยางมีท่าทีผ่อนคลายลง ในใจของหวังเหม่ยหลินก็ผ่อนคลายตาม รอยยิ้มที่สดใสจึงปรากฏบนใบหน้าหวาน ซ่งรุ่ยหยางคล้ายถูกรอยยิ้มของนางสะกดจนไม่รับรู้เหตุการณ์ใดอีก “คุณชายท่านลองขยับขาทั้งสองข้างได้หรือไม่” ซ่งรุ่ยหยางที่ถูกรอยยิ้มหวานสะกดเผลอพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว มือหนาเคลื่อนลงกำผ้าปูเตียงแน่น ออกคำสั่งให้ร่างกายขยับกล้ามเนื้อขาสองข้าง ทว่าแม้เขาจะพยายามเกร็งกล้ามเนื้อจนสุดชีวิตสุดท้ายกลับทำได้เพียงขยับนิ้วเท้าเท่านั้น “นับว่าดีมากทีเดียว” “ดี?” เขาทำได้เพียงขยับปลายนิ้วเท้านางกลับกล่าวว่าดี ช่างเป็นการชมเชยที่เสแสร้งนัก หวังเหม่ยหลินเห็นสายตาขัดแย้งที่เขาส่งมาก็ฉีกยิ้มกว้างมากขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสแต่มั่นคง “คุณชาย ท่านอาจไม่รู้ว่าคนที่บาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง อีกทั้งการปฐมพยาบาลเบื้องต้นยังไม่ถูกต้องเช่นท่าน น้อยคนนักที่จะยังฟื้นฟูได้อย่างสมบูรณ์ แต่สำหรับท่านข้ามั่นใจว่าจะต้องฟื้นฟูได้มากกว่าแปดส่วนแน่นอน” ซ่งรุ่ยหยางฟังคำอธิบายของนางด้วยความงุนงง เพียงแต่ประโยคสุดท้ายของนางกลับทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัวอีกครั้ง แต่สำหรับท่านข้ามั่นใจว่าจะต้องฟื้นฟูได้มากกว่าแปดส่วนแน่นอน ....................................................................................
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม