บทที่ 2/1
จางอวิ่นหลินนั่งทอดสายตามองไปยังดอกกุ้ยฮวากลางสวน ร่วมเดือนแล้วที่นางมาอาศัยอยู่ในร่างของหวังเหม่ยหลิน แม้ไม่อยากจะเชื่อว่านี้คือเรื่องจริงแต่ยามนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้อีก สุดท้ายจึงทำได้เพียงถอนหายใจยาวยอมรับในชะตานี้ของตนเอง
“คุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวมีเรื่องหนึ่งที่รู้ว่าไม่ควรเอ่ยออกมา แต่...”
ท่าทางลังเลของหูฉีเอ๋อร์ทำให้หวังเหม่ยหลินขมวดคิ้วมองนางด้วยสายตาสงสัย ทว่าไม่ทันได้เอ่ยปากถามสาวใช้ตัวน้อยก็ทรุดตัวลงคุกเข่าเสียงดัง บรรดาบ่าวไพร่ที่เหลือด้านหลังอีกสี่นางก็พากันทรุดตัวลงตาม หวังเหม่ยหลินมองท่าทางหวาดกลัวตัวสั่นของบ่าวตรงหน้าแล้วได้แต่ถอนหายใจส่ายหน้าไปมา บ่าวไพร่ยุคนี้มีหัวเข่าเป็นเหล็กกล้าหรือไรทิ้งตัวคุกเข่าแต่ละครั้งทำเอาหวังเหม่ยหลินหวาดกลัวว่ากระดูกสะบ้าของพวกนางจะหักทุกที
“ฉีเอ๋อร์ หากต่อไปหากเจ้าคุกเข่าเสียงดังเช่นนี้อีกข้าจะสั่งโบยเจ้าให้หนัก”
หวังเหม่ยหลินแสร้งเอ่ยเสียงดุ แม้ในใจอยากบอกพวกนางดีๆ แต่หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้หวังเหม่ยหลินรู้ดีว่า สิ่งที่ทำให้สาวใช้เหล่านี้ทำตามได้อย่างสบายใจก็คือคำข่มขู่ ตรงกันข้ามหากเมื่อใดที่หวังเหม่ยหลินเอ่ยวาจาระรื่นหูกับสาวใช้เหล่านี้ พวกนางจะหวาดกลัวจนร่ำไห้พร้อมกับคุกเข่าโขกศีรษะบาดเจ็บหนักกว่าเดิมเสียอีก
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็จงเอ่ยเรื่องที่เจ้าไม่ควรเอ่ยออกมา”
“คุณหนู...ความจริง... ตอน... ตอนนี้ท่าน... ท่านอายุสิบแปดแล้ว”
อายุสิบแปด ที่แท้ร่างคุณหนูหวังผู้นี้กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นนี่เอง ไม่น่าเล่าช่วงนี้ตัวนางจึงรู้สึกว่าตนเองอารมณ์ไม่มั่นคงนัก น่าจะเกิดจากผลของฮอร์โมนในร่างกายอย่างแน่นอน
ผู้ที่ผ่านวัยสิบแปดปีมาร่วมยี่สิบปีถอนหายใจยาวอีกครั้ง ทว่ายามมองไปที่สาวใช้ตัวเล็กตรงหน้าที่ใกล้ร้องไห้เต็มทีก็นึกชื่นชอบในความกล้าหาญครั้งนี้ ในยุคที่สาวใช้มีหน้าที่เพียงรับคำสั่ง หูฉีเอ๋อร์กับกล้าเอ่ยปากแนะนำนาง การกระทำเช่นนี้หากไม่ใช้ผู้ไม่รู้กาลเทศะก็คือบ่าวที่ดีมีไหวพริบ
“แล้วอย่างไร”
“เรื่อง... เรื่องแต่งงาน... ของคุณหนู เกรงว่าคงไม่อาจหลีกหนีได้อีกแล้ว เช่นนั้นบ่าว... บ่าวคิดว่า”
เรื่องแต่งงาน แต่งงานอะไรกัน เมื่อครู่สาวใช้ตรงหน้าไม่ใช่กล่าวว่าคุณหนูสามผู้นี้อายุเพียงสิบแปดปีหรือไร
“แต่งงานหรือ!”
ยามเห็นแววตาหวานของคุณหนูเบิกกว้าง หูฉีเอ๋อร์ก็โขกศีรษะลงกับพื้นเบื้องหน้าเอ่ยรัวเร็วราวกับกำลังสั่งเสียในเฮือกสุดท้ายของชีวิต
“แม้ยามนี้คุณชายซ่งเป็นบุรุษพิการแต่ก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของคุณหนู บ่าว...”
คุณชายซ่ง บุรุษพิการ หวังเหม่ยหลินขมวดคิ้วแน่นเร่งทบทวนเรื่องราวในความทรงจำ หวังเหม่ยหลินนะหวังเหม่ยหลินเรื่องอื่นล่ะใส่ใจดีนัก เหตุใดเรื่องนี้จึงไม่ใส่ใจกัน และเพราะเจ้าของร่างเดิมไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ทำให้ความทรงจำเรื่องคู่หมั้นสกุลซ่งผู้นี้รางเลือนยิ่ง ทว่ายามที่ทบทวนดูอย่างตั้งใจแล้วเรื่องราวต่างๆ ก็พลันชัดแจ้ง
หวังเหม่ยหลินเหตุใดเจ้าถึงเป็นสตรีไม่ได้ความถึงเพียงนี้กัน
..........................................................................................
จวนสกุลซ่ง
ทันทีที่บ่าวไพร่เข้ามารายงานว่ารถม้าสกุลหวังจอดเทียบที่หน้าประตูจวน อนุเซียว เซียวลี่หงก็รีบออกมาต้อนรับในทันที ด้านข้างมีหลานสาววัยสิบเก้าปีเซียวซูลี่คอยยืนเคียงข้าง เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาถึงจวนคือผู้ใดริมฝีปากก็พลันเหยียดตรง ส่งสายตาเย้ยหยันในที
“คารวะคุณหนูสาม ไม่ทราบว่าคุณหนูสามจะมาเยือนจึงให้การต้อนรับไม่ดีต้องขออภัย”
ประโยคนี้ของอนุเซียวแม้เป็นการกล่าวขออภัยแต่ก็แฝงคำตำหนิอยู่ในที ด้วยตามมารยาทในยุคนี้แล้วการที่จะไปเยือนจวนของผู้อื่นหากไม่ส่งจดหมายแจ้ง เรื่องเร่งด่วนก็ควรให้คนมาแจ้งแก่เจ้าของเรือนก่อน ทว่าเมื่อครู่เพราะตกใจกับพฤติกรรมในอดีตของเจ้าของร่างเดิม หวังเหม่ยหลินจึงเร่งเดินทางมาในทันที
“เป็นข้าที่ไม่ได้แจ้งท่านก่อน ต้องขออภัยด้วย”
อนุเซียวมองเด็กสาวตรงหน้าแล้วประมวลความคิด ชื่อเสียงของคุณหนูสามตระกูลหวังนั้นแน่นอนว่าไม่มีบ้านใดไม่รับรู้ เพียงแต่ยามได้พบหน้ากลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
“วันนี้ข้ามาขอเยี่ยมคุณชายซ่ง รบกวนอนุเซียวแล้ว”
“หึ! ไม่คิดว่าคุณหนูสามจะมีเวลาว่างมาเยี่ยมคุณชายของข้าด้วย”
เสียงประชดประชันที่ดังขึ้นทำให้ หวังเหม่ยหลินเบนสายตาไปยังเจ้าของเสียง เด็กสาววัยใกล้เคียงกับนางสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดีอีกทั้งกล้าเอ่ยเรียกบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพซ่งว่าคุณชายของตน หากนางไม่ใช่บุตรีอนุเซียวย่อมต้องเป็นญาติสนิท
หวังเหม่ยหลินยิ้มอ่อนโยน แผ่นหลังตั้งตรงสบสายตาขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายส่งมาด้วยท่าทางสงบนิ่งสูงส่ง การกระทำนี้เช่นนี้เรียกได้ว่าแม้ไม่เอ่ยโต้ตอบก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดหวั่นได้ไม่น้อย
หูฉีเอ๋อร์ขบกรามแน่น คนตรงหน้าเป็นใครกันกล้าดีอย่างไรกล่าววาจาตำหนิคุณหนูของนางซึ่งหน้าเช่นนี้ เท้าเล็กพลันขยับพร้อมเอ่ยปากปกป้อง เพียงแต่ไม่ทันเอ่ยคำใดมือบางของผู้เป็นนายก็จับข้อมือของหูฉีเอ๋อร์เอาไว้เป็นการห้ามปราม ก่อนหน้านี้เป็นหวังเหม่ยหลินที่ทำไม่ถูกต้อง อีกฝ่ายจะตำหนิสักหน่อยก็ช่างเถิด
“ซูลี่อย่าเสียมารยาท”
เซียวลี่หงเอ่ยตำหนิผู้เป็นหลานสาว ท่าทางนิ่งสงบแต่แววตาสูงส่งของหวังเหม่ยหลินนั้นดูแล้วไม่เหมือนเด็กสาวร้ายกาจที่ผู้คนกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นแม้ตัวนางจะเห็นด้วยกับหลานสาว แต่เบื้องหน้าเซียวลี่หงก็ยังคงต้องรักษามารยาทอันดีเอาไว้ ในเมื่อแขกมาเยือนถึงจวนจะอย่างไรก็ไม่ควรเสียมารยาทให้ผู้อื่นตำหนิ
ยามถูกผู้เป็นป้าตำหนิเซียวซูลี่ก็ขบกรามแน่น สุดท้ายไม่อาจฝืนใจปั้นหน้าต้อนรับคนได้จึงเอ่ยขอตัวแยกไปอีกทาง
“หลานสาวของข้าเสียมารยาทแล้ว ขอคุณหนูสามอย่าได้ถือสา”
หวังเหม่ยหลินยิ้มอ่อนโยนให้อีกฝ่าย ไม่เอ่ยรับแต่ก็ไม่กล่าวตำหนิออกมา
“เช่นนั้นรบกวนอนุเซียวช่วยนำทางแล้ว”
..........................................................................................