บทที่ 1/2
หลังจากพักผ่อนอยู่สามวันสามคืนอาการปวดเมื่อยตามตัวของหวังเหม่ยหลินก็ค่อยๆ ทุเลาลง แน่นอนว่าเวลาผ่านมาถึงเพียงนี้ตัวจางอวิ่นหลินย่อมทำใจยอมรับแล้วว่าเรื่องที่ตนกำลังเผชิญอยู่ไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน เพียงแต่หวังเหม่ยหลินในอดีตนั้นค่อนข้างจะ... ช่างเถิด ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไรนับจากนี้ข้าจะเป็นหวังเหม่ยหลินคนใหม่
“เจ้า...”
“บ่าวผิดไปแล้วเจ้าค่ะคุณหนู อย่าโบยบ่าวเลยนะเจ้าคะ”
จางอวิ่นหลินถอนหายใจยาวละสายตาจากสาวใช้นางนั้นแล้วหันไปสบตากับหูฉีเอ๋อร์ หูฉีเอ๋อร์ที่ได้เลื่อนขั้นมาเป็นสาวใช้ประจำตัวคุณหนูสามเห็นสายตาของนายหญิงของตนก็เร่งขยับตัวไปช่วยนางแต่งตัว นี่เป็นอีกเหตุผลที่จางอวิ่นหลินไม่อาจอยู่โดยไม่มีบ่าวข้างกาย แม้นางจะได้ความทรงจำของหวังเหม่ยหลิน แต่เรื่องบางอย่างอาศัยแค่ความจำก็ไม่อาจกระทำได้
จางอวิ่นหลินลอบมองรอบตัว บรรดาสาวใช้พวกนี้คงเจอฤทธิ์เดชของเจ้าของร่างเดิมมาไม่น้อย ทุกคนจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาระแวงระวังอยู่เสมอ ยิ่งยามที่นางเดินไปใกล้ๆบรรดาสาวใช้ก็ตัวเกร็งสั่นสะท้านกันเสียทุกคน เอาเถิด... อดีตไม่อาจแก้ไข เช่นนั้นก็เริ่มใหม่เสียตั้งแต่วันนี้
“ฉีเอ๋อร์ อาการบาดเจ็บของเจ้าดีแล้วหรือยัง”
“ดีแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปหยิบตลับยาสีเขียวในลิ้นชักมาที”
หูฉีเอ๋อร์เดินไปหยิบตลับยาในลิ้นชักเล็กตามคำสั่งของคุณหนูสาม ขณะที่หวังเหม่ยหลินเดินไปนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองปิ่นปักผมและเครื่องผลัดหน้ามากมายบนโต๊ะ เรื่องแต่งหน้าไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่เครื่องประดับพวกนี้เห็นทีต้องพึ่งพาหูฉีเอ๋อร์เสียแล้ว
“คุณหนู ยาเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินหมุนตัวมารับยาจากสาวใช้ แม้หูฉีเอ๋อร์จะเป็นคนที่กล้าสนทนากับหวังเหม่ยหลินมากที่สุด แต่ในแววตาก็ยังแฝงความหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
“คุกเข่าลง”
ตึง! เสียงเข่าของสาวใช้กระทบพื้นดังลั่นจนผู้ที่อาศัยอยู่ในร่างหวังเหม่ยหลินตกตะลึงเบิกตากว้าง ไม่ทันได้เรียกสติที่ตื่นตระหนกกลับคืนมา บรรดาสาวใช้คนอื่นๆ ก็พากันคุกเข่าหมอบหน้าลงตามหูฉีเอ๋อร์
“พวกเจ้าทำอะไรกัน”
“บ่าวผิดไปแล้ว ขอคุณหนูเมตตาด้วย”
หวังเหม่ยหลินมั่นใจว่าน้ำเสียงที่ตนเองใช้เมื่อครู่ไม่ได้ดูน่ากลัวมากมายนัก แต่เหตุใดยามนี้สาวใช้รอบตัวจึงพากันร่ำไห้เล่า ช่างน่าปวดหัวจริงๆ หวังเหม่ยหลิน! เจ้าช่างเป็นเจ้านายที่ย่ำแย่นัก
“ฉีเอ๋อร์เงยหน้าขึ้น เจ้าเอาแต่ก้มหน้าข้าจะทายาให้ได้อย่างไร”
ทายา! คุณหนูสามจะทายาให้นางอย่างนั้นหรือ หูฉีเอ๋อร์ที่ยังไม่มั่นใจนักกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เมื่อคุณหนูสั่งให้เงยหน้านางจะกล้าก้มหน้าต่อได้อย่างไรกัน
หวังเหม่ยหลินมองท่าเงยหน้ารับตาของสาวใช้ตรงหน้าแล้วถอนหายใจยาว นี่ก็อีกเรื่องกฎสาวใช้ห้ามมองหน้าเจ้านายนี่ออกจะไร้สาระไปหน่อย หากไม่มองหน้าไม่สบตาจะรู้ความต้องการของผู้เป็นนายได้อย่างไร เอาเถิดค่อยๆ เปลี่ยนไปก็แล้วกัน หวังเหม่ยหลินค่อยๆ ทายาบนใบหน้าที่เขียวช้ำของหูฉีเอ๋อร์ ดูแล้วน้ำหนักมือของหวังเหม่ยหลินคนเก่านี่ดีไม่เบาเลยทีเดียว
“เจ้าเป็นหญิงใบหน้าจะมีแผลเป็นไม่ได้ หรือแม้แต่รอยฟกช้ำก็ไม่ควร ยานี่ต่อไปทาเช้าเย็นทุกวันเข้าใจหรือไม่”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินมองท่าทางก้มหน้าหมอบลงกับพื้นอีกครั้งของสาวใช้ข้างกายแล้วถอนหายใจยาวหมุนตัวไปหน้ากระจกอีกครั้ง
“เจ้าเป็นคนของข้า หากใบหน้ามีแผลเป็นหรือรอยฟกช้ำผู้คนย่อมตำหนิข้า หรือแท้จริงเจ้าต้องการเช่นนั้น”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
“ร่างกายเจ้ามีแต่รอยฟกช้ำ หากไม่หายดีก็ไม่ต้องออกมาเพ่นพ่าน พักจนกว่าจะหาย”
“แต่...”
“เดี๋ยวนี้คำสั่งของข้า... เจ้ากล้าขัดหรือ”
“บ่าวไม่กล้าเจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนส่งสายตาให้หูฉีเอ๋อร์จัดการทำผมให้นาง เสร็จแล้วก็ไล่สาวใช้ที่ไม่กล้ากลับไปพักผ่อน บรรดาสาวใช้ในเรือนเห็นว่าวันนี้คุณหนูสามอารมณ์ดีเป็นพิเศษก็ผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งใจ
หลังจากแต่งตัวเสร็จแล้วหวังเหม่ยหลินก็ออกจากเรือนไปหามารดา ดวงตาหวานหรี่ลงเล็กน้อยมองสำรวจรอบกาย จากเรือนของนางมายังเรือนของมารดานับว่าไกลอยู่ไม่น้อยทว่านางกลับไม่พบบ่าวไพร่ในเรือนเลยสักคน ดูแล้วนี่คงเป็นเพราะฤทธิ์เดชของหวังเหม่ยหลินคนเดิมอีกแน่นอน
“เหม่ยหลิน แม่กำลังจะให้คนไปตามอยู่ทีเดียวเชียว”
หวังเหม่ยหลินมองไปยังกลางห้องโถงที่ยามนี้มีบุรุษรูปงามนั่งด้วยท่าทางสง่าอยู่กลางห้อง ภาพในหัวก็ประมวลผลออกมาในทันทีว่าเขาคือ คุณชายติง ติงอี้เทียนชายงามอันดับหนึ่งของเมืองที่หวังเหม่ยหลินไปดักรอพบจนเกิดเรื่องนั่นเอง
“วันนี้คุณชายติงมาขออภัยเรื่องวันก่อน”
ฮูหยินหวังเอ่ยบอกบุตรีด้วยใบหน้าอาบไปด้วยรอยยิ้ม ด้วยรู้ดีว่าบุรุษตรงหน้าเป็นชายในดวงใจของบุตรสาว
“วันนั้นคนของข้าไม่ระวังจึงทำคุณหนูบาดเจ็บ รอให้เขาหายบาดเจ็บข้าจะลงโทษอีกที”
ติงอี้เทียนเอยด้วยน้ำเสียงราบเรียบท่าทางเบื่อหน่ายที่พยายามซุกซ่อนเอาไว้ภายใต้ท่าทางสุภาพทำให้หวังเหม่ยหลินทำได้เพียงถอนหายใจ ก้มหน้าเอ่ยเสียงราบเรียบ
“ล้วนเป็นข้าที่ไม่ระวังเองเรื่องนี้จะโทษผู้อื่นได้อย่างไรเจ้าคะ จะว่าไปแล้วเรื่องนี้ควรเป็นข้าที่ต้องกล่าวขออภัยคุณชายและคนของท่าน”
ติงอี้เทียนขมวดคิ้ว สายตาอบอุ่นหันมามองพินิจสตรีน้อยตรงหน้าด้วยความสนใจ ในเมืองหลวงชื่อเสียงความร้ายกาจของหวังเหม่ยหลินนั้นเป็นที่เลื่องลือไม่ใช่น้อย แน่นอนว่าความนิยมในตัวเขาที่นางป่าวประกาศเขาเองก็ได้ยินมาเช่นกัน ดังนั้นเรื่องเมื่อวันก่อนเขาจึงคาดเดาว่าล้วนเป็นนางที่จงใจให้เกิดขึ้น แต่ให้นางจงใจแล้วอย่างไรในฐานะสุภาพชนเขาทำนางบาดเจ็บอย่างไรก็สมควรมาเยี่ยมเยียน
“อย่างไรเสียข้าก็ไม่อาจไม่รับผิดชอบ นี่เป็นสมุนไพรบำรุงกายรักษาอาการบาดเจ็บและแก้ฟกช้ำที่ท่านหมอกงเป็นผู้จัดเตรียมด้วยตนเอง”
ท่านหมอกง อดีตหมอหลวงผู้เลื่องชื่อ ติงอี้เทียนผู้นี้ดูแล้วคงเป็นผู้กว้างขวางไม่น้อยทีเดียว
“น้ำใจของคุณชายติงข้าซาบซึ้งยิ่ง เช่นนั้นเรื่องในอดีตมิสู้เราปล่อยวางไปเถิด”
ปล่อยวางเรื่องในอดีต คำพูดนี้ของนางคงไม่ได้หมายถึงเพียงเหตุการณ์ที่รถม้าของเขาชนนางกระมัง ติงอี้เทียนมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความสนใจในสตรีเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าคุณหนูสามสกุลหวังพึ่งอายุครบสิบแปด ไม่คิดว่าจะงดงามตรึงตราผู้คนถึงเพียงนี้ อีกทั้งกิริยาที่สุภาพนิ่งสงบของนางให้ดูอย่างไรก็ห่างไกลจากข่าวลือพวกนั้นนัก
“ข้าได้ยินว่าวันนั้นคุณหนูจะไปเลือกซื้อผ้า ข้าพอจะมีสหายสนิทที่เปิดร้านผ้าอยู่ หากคุณหนูไม่รังเกียจข้ายินดีเป็นธุระให้”
“น้ำใจของคุณชายข้าจะรังเกียจได้อย่างไร เพียงแต่ยามนี้ร่างกายข้ายังไม่แข็งแรงนักไม่สะดวกออกนอกจวน”
“เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าจะให้สหายเอาแบบผ้ามาให้คุณหนูเลือกที่จวนก็แล้วกัน”
หวังเหม่ยหลินเผลอขบกรามแน่นก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา คำพูดและกิริยาของนางล้วนชัดเจนว่านางไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขาเหตุใดเขาจึงไม่ยอมรามือกัน ทว่าท่าทางต่อต้านน้อยๆ ของนางกลับทำให้ติงอี้เทียนยิ้มบาง ท่าทีเช่นนี้ของสตรียามที่ได้พบเขานั้นพบเจอได้ไม่บ่อยนัก ในใจของเขาคล้ายมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนเขาก็รวบรัดเอาว่านางตกลง
ยามที่ติงอี้เทียนกลับไปหวังเหม่ยหลินก็แยกตัวมานั่งที่ศาลากลางสวนในใจของนางพลันเกิดความกังวลขึ้นมา ติงอี้เทียนผู้นี้เป็นบุรุษรูปงามแห่งเมืองหลวง แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นที่หมายตาของสตรีไม่น้อย เมื่อคำนวณดูแล้วการใกล้ชิดเขาดูเหมือนจะสร้างปัญหามากกว่าก่อประโยชน์
“ไม่พบกันเพียงสามเดือนไม่คิดว่าฝีมือล่อลวงบุรุษของน้องสามจะเก่งกาจเพียงนี้”
หวังเหม่ยหลินหันไปตามเสียง สตรีวัยยี่สิบผู้นี้ใบหน้าคุ้นเคยไม่น้อยเมื่อทบทวนความทรงจำเดิมแล้วใบหน้าวิตกกังวลเมื่อครู่ก็พลันยิ้มกว้าง
“พี่หญิง”
“ข้าได้ยินว่าคุณหนูสกุลหวังลงมือตบตีแม่ค้าขายผักกลางตลาด คราแรกยังคิดว่าเป็นฝีมือของเหม่ยซิง ไม่คิดว่าจะเป็นเจ้า”
หวังจือเหม่ยเอ่ยจบก็นั่งลงที่เก้าอี้กลมตรงข้ามผู้เป็นน้องสาว หวังเหม่ยหลินยิ้มแห้งเลื่อนมือไปรินชาให้ผู้เป็นพี่สาว ในความทรงจำแม้หวังเหม่ยหลินจะเป็นคนไม่ค่อยได้ความนัก แต่กลับมีมารดาและพี่น้องที่รักนางเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน
“เหม่ยหลิน ครั้งหน้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก อย่างไรก็ควรไว้หน้าท่านพ่อบ้าง”
“เจ้าค่ะ”
หวังเหม่ยหลินก้มหน้าลงมองต่ำ แววตาสลดลงแลปริ่มน้ำในที พยายามอย่างยิ่งในการแสดงท่าทางคล้ายผู้สำนึกผิดยิ่งนัก หวังจือเหม่ยช่างมาได้จังหวะพอดียิ่ง เช่นนั้นหากต่อไปภายหน้านางปรับตัวเป็นคนดีขึ้นสักหน่อย ย่อมใช้คำสั่งสอนของหวังจือเหม่ยมาอ้างอิง เช่นนี้ผู้คนย่อมไม่นึกสงสัยกับท่าทางที่เปลี่ยนไปของนาง
“ต่อไปหากคิดลงมือก็เพียงสั่งการบ่าวไพร่เอา อย่าได้ลงมือเองเข้าใจหรือไม่”
หวังเหม่ยหลินพลันยิ้มแห้ง พี่สาวท่านควรสั่งสอนน้องสาวของท่านไม่ให้ไปหาเรื่องผู้อื่นไม่ใช่หรือไร
..........................................................................................