บทที่ 1/1
“ลูกสามเจ้าตื่นแล้วหรือ”
จูลี่ถิงเอ่ยเรียกชื่อบุตรสาวทั้งน้ำตา สองมือเข้ามาประคองร่างของบุตรสาวลุกขึ้น
ที่นี่ที่ไหน แล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
จางอวิ่นหลินเอ่ยถามตนเองในใจ มือบางของคนเจ็บยกขึ้นกุมขมับภาพเรื่องราวมากมายไหลเข้ามาในหัวจนต้องขมวดคิ้ว หวังเหม่ยหลิน ฉันคือหวังเหม่ยหลินอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแล้วจางอวิ่นหลินเล่า... บ้าจริงปวดหัวชะมัด!
“ขอน้ำหน่อย”
ทันทีที่คนเจ็บเอ่ยปากบอก จูลี่ถิงก็หันไปหยิบกาน้ำชารินน้ำชาส่งให้บุตรสาวดื่มในทันที เพียงแต่นางดื่มไปอึกเดียวก็ส่งถ้วยคืน
“ขอเป็นน้ำเปล่าได้ไหมคะ”
วาจากิริยาที่แปลกไปของบุตรีทำให้จูลี่ถิงนิ่วหน้า หรือนี่จะเป็นผลข้างเคียงจากอาการบาดเจ็บที่ท่านหมอฉินเอ่ยบอกไว้
ผู้ที่อยู่ดีๆก็กลายมาเป็นหวังเหม่ยหลินพลันหลบสายตาสงสัยที่อีกฝ่ายส่งมา ไม่ว่านี่จะเป็นความฝันหรือเรื่องความจริงยามนี้การลุกขึ้นโวยวายคงไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก อดีตพยาบาลสาวนึกทบทวนเรื่องราวในซีรี่ย์มากมายที่ตนเคยดูมาเพื่อเลียนแบบท่าทางคำพูด ว่าแต่ยามนี้เธออยู่ในยุคไหนกัน...
“น้ำเจ้าค่ะฮูหยิน”
ผู้เป็นมารดารับน้ำถ้วยใหม่จากสาวใช้แล้วส่งให้คนเจ็บ หวังเหม่ยหลินค่อยๆรับมาดื่มสายตาห่วงใยรักใคร่ที่อีกฝ่ายส่งมาทำให้ยามนี้ในใจของคนเจ็บหวาดหวั่น จะทำอย่างไรหากอีกฝ่ายรู้ว่าเธอคือวิญญาณเร่รอนที่เข้ามาอยู่ในร่างของบุตรีสุดที่รักของนาง
หวังเหม่ยหลินส่งถ้วยน้ำคืนให้สาวใช้ ผู้เป็นมารดาก็จับนางมากอดแนบอก
“เหม่ยหลิน เจ้าเจ็บตรงไหนอยู่หรือไม่”
“ปวดหัวเล็กน้อย... เจ้าค่ะ”
จูลี่ถิงฟังคำของบุตรีแล้วน้ำตาคลอ บุตรสาวนางคนนี้ของนางตั้งแต่แรกคลอดก็ร่างกายอ่อนแอ ด้วยเกิดก่อนกำหนดถึงสองเดือน สิบห้าปีที่ผ่านมาก็มักเจ็บป่วยบ่อยครั้ง ตัวนางที่เป็นมารดาจึงต้องคอยประคบประหงบมาตลอด ไม่คิดว่าเพียงนางออกไปซื้อผ้าก็กลับถูกคนทำร้ายจนเจ็บหนักเช่นนี้
“สาวใช้ที่ไปกับลูกข้าวันนี้ ส่งไปขายที่หอนางโลมให้หมด ส่วนคนที่กล้าทำร้ายลูกข้าส่งคนไปสั่งสอนให้หราบจำ”
ทันทีที่จูลี่ถิงเอ่ยสั่งการออกไปร่างเล็กในอ้อมอกก็ดันตัวออกห่าง เบิกตากว้าง พร้อมทั้งตะโกนก้องออกมาในทันที
“ไม่นะ!”
จูลี่ถิงขมวดคิ้ว สายตาเต็มไปด้วยคำถามมองบุตรสาวของตน ปกติยามที่มีคนทำให้ขุ่นเคืองใจ หวังเหม่ยหลินก็มักมีคำสั่งลงโทษเช่นนี้ไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดครั้งนี้จึงห้ามปรามเล่า หรือว่ามันยังน้อยไป
“เช่นนั้นตัดมือพวกนางก่อนแล้วค่อยส่งให้พวกพ่อค้าทาส เช่นนี้ดีหรือไม่”
“เอ่อ... ท่านแม่ ข้าว่าไม่ต้องรุนแรงถึงเพียงนี้ก็ได้เจ้าค่ะ เอาโทษเบาๆก็พอนะเจ้าคะ”
ในความทรงจำที่ไหลวนในหัวของจางอวิ่นหลินยามนี้ นิสัยเดิมของหวังเหม่ยหลินนั้นโหดร้ายไม่น้อย ดังนั้นหากอยู่ดีๆกลับกลายเป็นคนดีขึ้นมาเกรงว่าคงเป็นที่สงสัยไม่น้อย เช่นนั้นก็ลดความโหดร้ายลงสักเล็กน้อยก็แล้วกัน
“พวกนางดูแลเจ้าไม่ดี แค่โทษโบยสามสิบไม้จะพอได้อย่างไร”
โบยสามสิบไม้ นี่เรียกว่าเบาหรือ... จางอวิ่นหลินแทบอยากร้องบอกว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะหวังเหม่ยหลินทำตัวเอง อีกทั้งยังพาสาวใช้ของตนลำบากไปด้วย พอเรื่องเป็นเช่นนี้จะโทษสาวใช้พวกนั้นได้อย่างไรกัน
“เหม่ยหลิน เจ้ายังปกติดีหรือไม่”
จูลี่ถิงมองท่าทางตื่นตระหนกจนเหงื่อชุ่มของบุตรสาวแล้วในใจพลันหวาดหวั่น ทว่าคนเจ็บกลับรีบยกมือ ยิ้มกว้างส่ายหน้าไปมา
“ปกติ ปกติเจ้าค่ะ ท่านแม่สาวใช้พวกนั้นเอาไว้ลูกจัดการเองท่านอย่าพึ่งลงโทษพวกนางเลยนะเจ้าคะ”
จูลี่ถิงมองท่าทางของบุตรสาวแล้วขมวดคิ้วแน่นมากกว่าเดิม จางอวิ่นหลินใจสั่นระรัวหากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้เกรงว่าไม่นานคงถูกอีกฝ่ายจับพิรุธได้อย่างแน่นอน
“ท่านแม่กลับไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ เรื่องสาวใช้พวกนั้นปล่อยให้ลูกจัดการเองเถิดเจ้าค่ะ”
หลังจากที่มารดาจากไปแล้ว สามใช้สามนางที่ติดตามหวังเหม่ยหลินไปตลาดวันนี้ก็ถูกส่งเข้ามาในเรือน หวังเหม่ยหลินมองสามใช้ทั้งสามคนแล้วนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า สาวใช้สองคนแรกเพียงนางเอ่ยปากสั่งการก็พุ่งเข้าไปจัดการอีกฝ่ายในทันที แม้มองดูคล้ายเป็นความภักดี แต่ในยามที่หวังเหม่ยหลินลำบากถูกหญิงขายผักทั้งสองรุมทำร้ายสองคนนี้ก็เอาแต่หลบอยู่หลังแผงผักไม่คิดยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนเช่นนี้จึงไม่สมควรเลี้ยงไว้ข้างกาย
“ส่งนางไปอยู่โรงซักล้าง ไม่อนุญาตให้เข้ามาในเขตเรือนในอีก”
สาวใช้โรงสักล้างนับเป็นสาวใช้ขั้นต่ำสุดคำสั่งนี้ในฐานะสาวใช้แม้ดูโหดร้ายแต่หากเทียบกับการถูกขายไปหอนางโลม คำสั่งนี้นับว่าดีกว่ากันมาก สาวใช้ทั้งสองจึงก้มหน้าโขกศีรษะร่ำไห้ขอบคุณไม่หยุด
“พาพวกนางออกไปได้แล้ว”
หูฉีเอ๋อร์ก้มหน้านิ่ง สาวใช้สองคนที่ถูกลงโทษไปนั้นอดีตเป็นคนโปรดของคุณหนูสาม นางจะเมตตาบ้างย่อมไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตัวนางที่เป็นสาวใช้คนใหม่พึ่งถูกส่งตัวมารับใช้คุณหนูได้ไม่นานก็สร้างเรื่องใหญ่ เห็นทีชีวิตนี้คงไม่อาจรักษาเอาไว้ได้แล้ว
“เจ้าชื่ออะไร”
“หูฉีเอ๋อร์ เจ้าค่ะ”
“ต่อไปมาคอยรับใช้ใกล้ๆข้า”
หูฉีเอ๋อร์เบิกตากว้างตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้เป็นนาย ทว่ายามตั้งสติได้ก็เร่งก้มหน้าโขกศีรษะขอบคุณในทันที
จางอวิ่นหลินที่ยามนี้อยู่ในร่างของหวังเหม่ยหลินมองท่าทางของสาวใช้ตรงหน้าแล้ววยิ้มกว้าง ในความทรงจำของหวังเหม่ยหลินไม่มีสาวใช้คนนี้อยู่เลยแม้แต่น้อย แต่ในภาพเหตุการณ์ล่าสุดยามที่หวังเหม่ยหลินจะเข้าไปตบตีคน มีเพียงสาวใช้ผู้นี้ที่เอ่ยปากห้ามปราม แม้จะถูกหวังเหม่ยหลินทำร้ายตบตีจนล้มลง ในยามที่หวังเหม่ยหลินถูกรุมทำร้ายหูฉีเอ๋อร์ก็พุ่งเข้าไปช่วยอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าชะตาของหวังเหม่ยหลินคงไม่สั้นเพียงนี้หากนางไม่ผลักสาวใช้คนดีนางนี้ไปใส่ศัตรูแล้วฉวยโอกาสวิ่งหนีจนถูกรถม้าชน
“วันนี้เจ้าเจ็บตัวไม่น้อย ไปพักรักษาตัวให้หายก่อน หายดีแล้วค่อยมารับใช้ข้า”
แม้ในใจจางอวิ่นหลินจะไม่ชื่นชอบระบบนายบ่าวเช่นนี้ แต่หากอยากมีชีวิตรอดการทำตัวให้กลมกลืนกับผู้คนมากที่สุดย่อมเป็นสิ่งที่ดี ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงหรือภาพฝันเพียงหนึ่งตื่นการคงไว้ซึ่งสติย่อมดีที่สุด
..........................................................................................