ตอนที่ 1 จุดพลิกผันของชีวิต
วันที่ 23 ธันวาคม 2016
●บ้านหลังใหญ่ใจกลางกรุงเทพ●
》PAREWA PART《
หวัดดีฉันชื่อแพรวา พิชยชัยกร อายุ 17ปีตอนนี้เรียนอยู่ชั้นม.6ของโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ฉันเป็นลูกคนเดียวคุณพ่อคุณแม่เลยตามใจฉันมากเป็นพิเศษเรียกได้ว่าอยากได้อะไรก็ต้องได้เลยหล่ะ
“คุณพ่อคุณแม่ขาาา”ฉันวิ่งลงมาจากบันไดพร้อมร้องเรียกคุณพ่อคุณแม่ไปด้วย
“ว่าไงจ๊ะลูกรัก”คุณแม่ยิ้มรับพร้อมอ้าแขนกว้างให้ฉันวิ่งเข้าไปกอด แต่เมื่อกี้ฉันแอบเห็นสีหน้าของพวกท่านเครียดๆแต่ก็พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อฉันวิ่งเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่คะ!!หน้าเครียดเชียว”ฉันกอดแม่แล้วถามเสียงอู้อี้
“ไม่มีอะไรหรอกลูก พ่อกับแม่ก็คุยเรื่องทั่วๆไป”แม่เอามือมาลูบหลังฉันแล้วโยกตัวไปมา ถึงแม่จะบอกว่าไม่มีอะไรแต่ฉันก็รับรู้ได้ว่ามันต้องมีแน่ๆแต่ก็ไม่อยากเซ้าซี้
“คุณแม่ขาวีคเอ็นนี้เราไปเที่ยวเกาหลีกันไหมคะ ไปวันศุกร์กลับวันอาทิตย์แพรอยากไปทานเนื้อย่างแล้วก็ช๊อปปิ้งอะค่ะ”ฉันอ้อนคุณแม่
“ยัยแพร!!พ่อว่าเราเอาเวลานี้ไปอ่านหนังสือเรียนดีกว่าไหมอีกเดี๋ยวก็ต้องสอบเข้ามหาลัยแล้ว...อย่าคิดเอาแต่เที่ยวเล่นอย่างเดียว”คุณพ่อตวาดใส่ฉันเสียงดัง จนฉันอึ้งไปเพราะคุณพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้ปกติฉันอยากไปไหนหรืออยากได้อะไรพวกท่านก็จะหามาให้ได้เสมอ
“คุณพ่อตวาดใส่แพรหรอคะ”ฉันมองคุณพ่อแล้วน้ำตาก็เริ่มไหล คุณพ่อไม่เคยเสียงดังใส่ฉันแบบนี้มาก่อน
“คุณคะทำไมต้องเสียงดังใส่ลูกด้วย...ไม่เป็นไรนะลูกหนูอยากไปเกาหลีใช่ไหมเดี๋ยวแม่จะพาไปไม่ร้องนะลูก”แม่เช็ดน้ำตาพร้อมกอดปลอบ
“คุณเลิกตามใจยัยแพรได้แล้ว คุณก็รู้ว่าตอนนี้คุณเป็น...”
“หยุดนะคะ...แพรแม่ว่าหนูขึ้นไปข้างบนก่อนดีกว่าตอนนี้คุณพ่อกำลังอารมณ์ไม่ดี...นะคะ”คุณแม่พยักหน้าให้ฉันขึ้นไปบนห้องฉันมองหน้าคุณพ่อด้วยความน้อยใจแล้วเดินออกมาจากห้องนั้นทันที
“แพรวาไม่ควรรับรู้เรื่องนี้...คุณอย่าเผลอพูดมันออกมาเด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ!!ผมว่ายัยแพรควรจะได้รู้ว่าคุณเป็นมะเร็งเขาจะได้ปรับตัวเพื่อรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น แล้วจะได้เลิกทำตัวไร้สาระแบบนี้ซ่ะที”
“ฉันขอย้ำอีกทีว่าแพรวาจะต้องไม่รู้เรื่องนี้เด็ดขาด!!”
ผ้าง///อยู่ๆก็เหมือนมีฟ้าฝ่า คุณแม่เป็นมะเร็ง มันไม่จริงใช่ไหม ฉันไม่เชื่อ
ฉันส่ายหัวไปมาและรีบวิ่งขึ้นมาบนห้องเพราะรู้สึกสับสนอย่างหนัก ที่ทุกคนทำหน้าเครียดคงเพราะเรื่องนี้สินะ แล้วฉันจะทำอย่างไรดี
ก๊อก//
“แพรวาให้แม่เข้าไปได้ไหมลูก”คุณแม่ชอบเรียกฉันว่าแพรวามากกว่าที่จะเรียกแพรเฉยๆท่านบอกว่าท่านชอบชื่อนี้มาก
“ได้ค่ะ!! ประตูไม่ได้ล็อค”ฉันรีบเช็ดน้ำตาและลุกขึ้นนั่งคุณแม่เปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มทั้งๆที่ท่านกำลังป่วยอยู่แท้ๆ
“ยังร้องไห้อยู่อีกหรอลูก คุณพ่อเขาแค่เครียดเรื่องงานเลยเผลอไปอย่าโกรธคุณพ่อเลยนะลูก”คุณแม่นั่งลงข้างๆแล้วจับมือฉันไว้
“แพรไม่โกรธคุณพ่อหรอกค่ะ แพรเข้าใจ”เพราะตอนนี้ฉันเครียดเรื่องคุณแม่มากกว่า
“งั้นเรามาคุยเรื่องทริปสุดสัปดาห์นี้กันดีกว่าว่าจะเอากระเป๋ากันไปคนละกี่ใบดี”คุณแม่ยิ้มและพูดติดตลกถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงยิ้มแล้วรีบไปลากกระเป๋าออกมาจัดแต่พอมาตอนนี้แค่ยิ้มยังยิ้มไม่ออกเลย
“แพรไม่อยากไปเกาหลีแล้วค่ะคุณแม่”
“ทำไมละลูก!!ถ้าเป็นเพราะที่คุณพ่อพูดเมื่อกี้หนูไม่ต้องกังวลเลยเพราะแม่เคลียร์เรียบร้อยแล้ว”
“ไม่เกี่ยวกับคุณพ่อหรอกค่ะ แพรแค่ไม่อยากไปแล้ว...นั่งเครื่องบินนานๆมันเมื่อย”ฉันหาเหตุผลขึ้นมาพูด คุณแม่ป่วยแบบนี้ให้นั่งเครื่องบินนานๆคงไม่ดี
“อะๆไม่ไปก็ไม่ไป...แต่ถ้าลูกอยากไปอีกเมื่อไหร่ก็บอกแม่นะ...แค่กๆแค่ก”คุณแม่พูดจบก็ไอออกมาเสียงดัง
“คุณแม่ไม่สบายหรอคะ”ฉันตัดสินใจถามอยากจะรู้ว่าท่านจะพูดยังไง
“ก็แค่ไอเองลูก แม่ไม่ได้เป็นอะไรแม่แข็งแรงจะตายยังอยู่กับหนูได้อีกนาน”
“คุณแม่อย่าพูดแบบนี้สิคะ”ฉันโผเข้ากอดท่านแน่น รู้สึกใจหายแปลกๆ
“แพรวา...ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามหนูจำไว้นะลูกว่าแม่รักลูกที่สุดและจะอยู่คอยดูแลปกป้องลูกไม่ไปไหน”แม่ดึงฉันเข้าไปกอดอีกครั้ง ครั้งนี้คุณแม่กอดฉันแน่นมากมันยิ่งทำให้ฉันใจเสีย ฉันจะอยู่ต่อไปยังไงถ้าชีวิตฉันไม่มีแม่....
》YEONTAN PART《
●โรงเรียนนานาชาติ GIMC●
“วันนี้พอแค่นี้ครับ กลับบ้านได้”สิ้นเสียงของผมนักเรียนทุกคนก็รีบเก็บของแล้วออกจากห้องทันที เด็กหนอเด็กตอนเช้ากว่าจะเดินเข้าห้องเรียนกันได้ใช้เวลาตั้งนานแต่พอเลิกเรียนนี่แทบจะแย่งกันออกจากประตู
“อาจารย์ธันคะ”
“อ้าว!!..สวัสดีครับคุณแม่”ผมยกมือไหว้ผู้ปกครองของแพรวา เด็กในห้องที่ผมเป็นครูที่ปรึกษาอยู่
“อาจารย์พอจะมีเวลาว่างซักครู่ไหมคะ”
“ว่างครับๆ!!คุณแม่มาถึงที่นี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”ผมเชิญท่านนั่งที่โต๊ะรับแขกภายในห้องทำงานส่วนตัว
“ฉันจะไม่อ้อมค้อมนะคะ!!ตอนนี้ฉันป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้วมันก็กำลังลุกลามไปทั่วร่างกาย ฉันเหลือเวลาจัดการสิ่งต่างๆอีกไม่มาก”
“เอ่อผม...”ผมตกใจกับสิ่งที่พึ่งได้ยินจนพูดไม่ออก
“ที่ฉันมาหาอาจารย์วันนี้เพราะอยากจะฝากสิ่งที่ฉันหวงและห่วงที่สุด...คือแพรวา เธอคงจะตกใจและเศร้ามากที่ฉันจากไปแบบกระทันหัน ฉันอยากจะฝากให้คุณช่วยดูแลยัยแพรให้ทีค่ะเพราะตอนนั้นที่บ้านคงยังตั้งตัวกันไม่ได้ ฉันไม่อยากให้แพรวาเคว้งอยู่คนเดียว แล้วฉันก็นึกถึงใครที่พอจะไว้ใจได้ไม่ออกจริงๆนอกจากอาจารย์”สายตาของคุณแม่แพรวาดูเศร้าและห่วงลูกมากในเวลาเดียวกัน
“ผมว่าคุณแม่อย่าพึ่งคิดเรื่องนี้เลยนะครับ...อาจารย์อยากให้คุณแม่ดูแลรักษาร่างกายให้ดีโรคนี้มันร้ายแรงก็จริงแต่ถ้าเราแข็งแรงมันก็อยู่ได้นานนะครับ”ผมไม่อยากให้ท่านคิดในทางร้ายๆจึงพยายามปลอบ
“ฉันรู้ตัวเองดีค่ะ...ฉันถึงได้รีบมาจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้หมดห่วง บอกตรงๆว่าฉันไม่ได้กลัวความตายเลยซักนิดเพราะคนเราเกิดมาก็ต้องตาย แต่ที่ฉันกังวลเพราะห่วงแพรวา ห่วงเดียวของฉัน”
“แต่ที่ผมทราบมาแพรวามีทั้งคุณแม่และคุณพ่อ แล้วคุณแม่จะห่วงอะไรละครับ”
“ต้องห่วงสิคะเพราะสามีของฉันเป็นนักธุรกิจ ยังต้องเจอผู้หญิงอีกมากไม่นานเขาคงมีภรรยาคนใหม่และถ้ามันเป็นแบบนั้นแพรวาต้องแย่แน่ๆเธอคงไม่ยอมรับผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่อยากให้เธอเป็นเด็กมีปัญหา”
“ผมว่าคุณแม่คิดในทางที่มันร้ายเกินไปนะครับ มันอาจนะไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น”
“ฉันพูดเผื่อไว้ก่อนนค่ะถ้าเรื่องนั้นมันเกิดขึ้นจริงๆแพรวาจะได้มีอาจารย์เป็นที่พึ่งไงคะ ถือว่าฉันขอร้องนะคะอาจารย์จะให้ฉันก้มลงกราบก็ได้”แม่ของแพรวาลงไปนั่งที่พื้นแล้วพนมมือ
“คุณแม่ครับๆอย่าทำแบบนี้เลยครับ”ผมรับจับมือเธอก่อนที่เธอจะกราบจริงๆ
“อาจารย์ช่วยฉันเถอะนะคะ ฉันจะได้สบายใจที่นอกจากพ่อเขาแล้วยังมีอาจารย์อีกคนที่จะดูแลแพรวา”
“ผม...เอาเป็นว่าผมจะดูให้แล้วกันนะครับแต่ก็ไม่รู้ว่าจะดูได้แค่ไหน แต่ผมสัญญาครับ”ผมรับปากเพราะถึงยังไงแพรวาก็เป็นลูกศิษย์ที่ผมต้องดูแล
“ขอบคุณนะคะอาจารย์ ของคุณจริงๆค่ะ”
“ผมว่าคุณแม่กลับบ้านไปพักเถอะนะครับ”ผมเดินมาส่งแม่แพรวาที่หน้าลิฟ
จากประสบการณ์ที่ผมเคยเป็นหมอมา ท่านคงจะอาการหนักพอสมควรเพราะร่างกายดูอ่อนแอมาก..