“จะสัมภาษณ์ไหม” สิ้นเสียงทุ้มนิ่งถาม คนตัวเล็กก็รีบพยักหน้าตอบกลับในทันที
“ค…ค่ะ ถ้ายังไง เดี๋ยวข้าวขอถามตั้งแต่คำถามแรกเลยนะคะ”
“อืม” ทันทีที่ริมฝีปากหนาขานตอบกลับในลำคอ สาวบริหารปีหนึ่งก็ไม่รอช้าที่จะกดโทรศัพท์เพื่อเปิดดูหัวข้อที่ต้องถาม และถึงจะยังคงมีความประหม่าอยู่ ทว่าเธอก็เริ่มข่มอาการพวกนั้นเอาไว้ได้
“คำถามแรก ชื่อและนามสกุล…” เสียงใบข้าวพึมพำ แต่ยังไม่ทันที่หนุ่มวิศวะจะได้ตอบ
“…ชวินทร์ อัศวทานนท์” เรียวปากบางก็เผลอพูดออกมาพร้อมกับจดลงยังกระดาษในมือ ก่อนจะได้สติเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาคมของคนด้านข้างที่จ้องมองมาที่เธอเชิงว่า รู้จักชื่อจริงและนามสกุลของเขาได้ยังไง ใบข้าวที่เผลอลืมตัวก็ได้สติ
“อะ…เอ่อ พอดีข้าวได้ยินจากที่พี่บอกลูกหว้าน่ะค่ะ” คนตัวเล็กรีบบอกคนด้านข้างพลางเม้มปากชัดถึงความประหม่าพูดไม่จริงทั้งหมดที่แสดงให้เห็น ไคลน์เองที่แม้จะเป็นคนเงียบ ๆ แต่ก็พอรู้ถึงการพูดไม่หมดของอีกคน ทว่าก็นิ่งไม่ได้ซักถามอะไรต่อ
“ค่ะ ต่อไปคณะ สาขา แล้วก็ชั้นปีที่กำลังศึกษาอยู่ค่ะ”
“วิศวะโยธา ปี4”
“เหตุผลที่เลือกเรียนคณะนี้ค่ะ”
“อยากเรียน”
“แล้วก็เหตุผลที่เลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยควินตันค่ะ”
“ใกล้คอนโด” สิ้นเสียงทุ้มราบเรียบตอบกลับ ใบข้าวก็ชะงักไปในทันที เพราะมันคือคำตอบเดียวกันกับที่เขาตอบเพื่อนของเธอเป๊ะ และเมื่อเห็นว่ารุ่นน้องตัวเล็กเงียบไป ดวงตาคมกริบก็หันจ้องมอง ทำให้คนที่เผลอชะงักไปได้สติ
“ละ…แล้วเหตุผลที่อยากเชิญชวนให้รุ่นน้องคนอื่น ๆ มาเรียนที่นี่ล่ะคะ…”
“…ไม่มี” ร่างบางเผลอตอบแทนออกไปด้วยความลืมตัวอีกครั้ง เพราะรู้ว่าอีกคนก็น่าจะตอบกลับแบบนี้ ไคลน์ที่ได้ยินจึงหันมองยังรุ่นน้องตัวเล็กนิ่ง ใบข้าวเลยรีบบอก
“อะ…เอ่อ ข้าวเห็นพี่ตอบลูกหว้าแบบนี้ เลยคิดว่าพี่น่าจะตอบแบบนี้ ขอโทษนะคะ ข้าวไม่ได้ตั้งใจตอบแทนพี่ ขอโทษด้วยค่ะ” เจ้าของใบหน้าเรียวใสหันไปก้มหน้าก้มตาขอโทษใส่รุ่นพี่ตัวสูงอย่างไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาคมที่เห็นท่าทีของคนตัวเล็กก็นิ่ง
“ไม่เป็นไร” ปากหนาเอ่ยบอกพลางพูดต่อเสียงเรียบ
“ก็จะตอบแบบนั้น” ทันทีที่ริมฝีปากหนาพูดจบ ร่างบางที่รับรู้ถึงโทนเสียงที่ฟังดูแม้จะเรียบนิ่งทว่าก็ไม่ได้ดูดุอะไรก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามองยังรุ่นพี่หนุ่มด้วยรอยยิ้มหวานตาหยี ทว่าเมื่อได้สติ ความเขินก็เข้ามาปกคลุมยังคนตัวเล็กในทันที ส่งผลให้ใบข้าวรีบหุบยิ้มผละสายตาไปจ้องมองยังหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองด้วยความรวดเร็วลืมตัว ซึ่งไคลน์เองก็ยังคงมองท่าทีพวกนั้นด้วยแววตานิ่งเรียบแต่กลับไม่ละสายตาเลยแม้แต่น้อย กระทั่งเสียงหวานของคนที่พยายามเรียกสติของตัวเองกลับมาเอ่ยขึ้น
“งั้นเราไปคำถามต่อไปเลยนะคะ”
“อืม” หลังจากที่ริมฝีปากหนาขานตอบ ใบข้าวก็ไม่รอช้าที่จะอ่านหัวข้อต่อไปเพื่อสัมภาษณ์ถามคำถามรุ่นพี่หนุ่มต่อ ซึ่งไคลน์เองก็ยังคงเหมือนเดิมที่จะตอบคำถามสั้น ๆ แทบไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับอีกคนขึ้นมาเลย แต่สุดท้ายใบข้าวก็ถามมาได้จนถึงคำถามสุดท้าย
“แล้วในอนาคต พี่คิดว่าจะทำงานที่เกี่ยวกับคณะการเรียนของตัวเองโดยตรงเลยไหมคะ”
“อืม ตรง” คำตอบจากคนตัวสูงด้านข้างทำให้ใบข้าวพยักหน้ารับรู้และเริ่มชินไปกับลักษณะการตอบคำถามอันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นพี่หนุ่ม โดยขณะที่คนตัวเล็กเห็นว่าอีกคนกำลังดูตั้งใจมองยังถนนที่ขับรถ มือบางก็ค่อย ๆ ปิดหัวข้อการสัมภาษณ์ที่จบลงพลางเนียนถามต่อ ราวกับยังคงมีคำถามที่อีกคนต้องตอบ
“แล้วพี่…ชอบทานอะไรคะ” คำถามใหม่ที่ดังขึ้น ส่งผลให้ดวงตาคมหันมองยังคนที่ถามสีหน้านิ่ง ใบข้าวที่เห็นก็รีบลนลานร้อนตัว
“คะ…คือมันมีอยู่ในหัวข้อค่ะ…”
“…มันมีจริง ๆ นะคะ ขะ…ข้าวไม่ได้ถามเอง” คนที่โกหกไม่เก่งแสดงท่าทีตื่นกลัวอย่างชัดเจนออกมา ร่างสูงที่รู้ทันก็นิ่งไม่ได้ว่าอะไรพลางตอบกลับไปเสียงเรียบ
“ก็กินได้หมด”
“คะ? มะ…ไม่มีที่ชอบเลยเหรอ”
“ถ้าไม่เผ็ดก็กินได้หมด”
“อ๋อ พี่ไม่ทานเผ็ดสินะคะ” ว่าแล้ว มือบางก็รีบจดลงยังกระดาษในมือของตัวเอง ความประหม่าที่เคยมีมากในตอนแรก ค่อย ๆ เลือนจางลงจากการได้มีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนและได้พูดคุยกัน ทว่าถึงจะลดลงไปมาก แต่เมื่อต้องสบสายตากับไคลน์ตรง ๆ ใบข้าวก็ยังคงต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาคมนั้นไปก่อนอยู่ดี
“แล้วสีล่ะคะ พี่ชอบสี…อะไร”
“เทาดำ”
“เหมือนสีรถเลยสินะคะ” ปากเล็กพึมพำพลางจด
“แล้ว…สัตว์เลี้ยงล่ะคะ พี่มีสัตว์เลี้ยงไหม”
“ไม่มี”
“ทำไมล่ะคะ ไม่ชอบน้อง ๆ เหรอ”
“นี่ก็คือคำถามในนั้นเหรอ” ไคลน์มองหน้าถามรุ่นน้องตัวเล็กเสียงนิ่ง ทำเอาคนที่ถูกถามเลิ่กลั่กขึ้นมาอีกครั้ง
“ค…ค่ะ ใช่ค่ะ คำถามจากในหัวข้อค่ะ”
“เอามาดู” สิ้นเสียงทุ้มบอก ใบข้าวก็เบิกตากว้างเม้มปากแน่นในทันทีด้วยความกลัวรุ่นพี่หนุ่มจะรู้ทันว่าเธอแอบถามคำถามพวกนั้นขึ้นมาเอง และเมื่อได้สติ
“อะ…โอ้ ถึงมอแล้วค่ะ ข้าวต้องรีบลงไปแล้วค่ะ ได้เวลาต้องเข้าเรียนแล้ว…ขอตัวก่อนนะคะ” พูดจบ คนตัวเล็กก็รีบเปิดประตูรถทำท่าจะเดินลงไปในทันที แต่ก็ไม่วายนึกขึ้นได้
“สำหรับการสัมภาษณ์วันนี้…ขอบคุณนะคะ” ดวงตากลมโตมองหน้าพูดกับรุ่นพี่วิศวะโดยข่มความประหม่าของตัวเองไว้พร้อมกับส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับอีกคนด้วยความขอบคุณและรู้สึกมีความสุขที่ได้พูดคุยกับคนที่ตัวเองแอบชอบแบบนี้ ก่อนจะขอตัวเดินลงจากรถสปอร์ตคันหรูไปด้วยใบหน้าที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ด้านไคลน์เองที่เห็นก็มองตามแผ่นหลังบางไปนิ่ง เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับความรู้สึกและอาการต่าง ๆ ที่อีกคนมีต่อตัวเอง รวมถึงคำถามที่นอกเหนือที่อีกคนตั้งใจถามข้อมูลเกี่ยวกับเขา
เขารู้
และเพราะรู้ทุกอย่างอยู่แล้วก็เลยเกิดความรู้สึกสนใจอยาก ‘ลอง’ ขึ้นมา…
@ห้องพัก
“ไง สัมภาษณ์กับน้องใบข้าวสนุกไหม” เสียงไซม่อนเอ่ยถามเพื่อนตัวสูงที่เดินเข้ามาภายในห้องพักด้วยรอยยิ้มติดกวนเหมือนเคย ไคลน์ก็เงียบไม่ตอบเดินเข้าไปนั่งลงยังด้านข้างวินเซนต์ที่นั่งอยู่ ส่วนอีริคกับวิกเตอร์ยังคงไม่กลับมา
“กูถามมึงอยู่นะ” ไซม่อนยังคงมองหน้าถามเพื่อนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“แล้วต้องการคำตอบแบบไหน” หนุ่มวิศวะหน้านิ่งมองหน้ากลับถามเพื่อน
“ก็อยากรู้ความคิดมึง…ที่มีต่อน้องเขา”
“…” ไคลน์ก็เงียบ
“ถ้ามึงไม่สนใจ งั้นกูขอ…”
“อย่ายุ่ง” ริมฝีปากหนาขยับเอ่ยบอกเพื่อนสนิทตัวเองเสียงเรียบนิ่ง ทำเอาไซม่อนที่คิดไว้อยู่แล้วว่าไคลน์จะต้องสนใจใบข้าวหัวเราะยิ้มออกมาด้วยความอารมณ์ดี เขาชอบเวลาที่เพื่อนเขาจ้องขย้ำลูกนก เพราะมันจะเหมือนเสือร้ายกำลังจ้องขย้ำเหยื่อ…
เหยื่อที่ดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา…
“หึ ยังไม่ทันไรก็หวงแล้ว กูว่าลูกนกตัวนี้ อาจจะสยบมึงก็ได้นะ”
“…” ไคลน์ที่ได้ยินก็ไม่คิดตอบกลับหรือสนใจคำพูดของเพื่อน
สำหรับเขา มันก็แค่…ความน่าสนใจอยากลองก็เท่านั้น
“พวกมึงคิดจะทำอะไรกันวะ อย่าดีกว่า เดี๋ยวเด็กบ้านั่นก็มาแหกอกหรอก ก็รู้นิสัยเจนิสอยู่” วินเซนต์ที่ได้ยินเอ่ยปรามเพื่อนทั้งสอง ไซม่อนที่ได้ยินจึงยักไหล่ตอบกลับ
“ก็อย่าให้เจนิสรู้ดิ ไอ้ไคลน์…มันทำได้อยู่แล้ว ใช่ไหม?” ในประโยคหลังเขามองหน้าถามเพื่อนสนิทของตัวเอง ไคลน์ที่ได้ยินก็นั่งเงียบไม่ตอบ ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของคนตัวสูงจะดังขึ้น
ครืดดด~
ดวงตาคมจ้องมองยังปลายสายที่โทรเข้ามานิ่งพลางไม่รอช้าที่จะกดรับสาย
“ครับตา…” พร้อมกับสาวเท้าเดินออกจากห้องเพื่อไปคุยโทรศัพท์จากสายสำคัญด้วยความรวดเร็ว ขณะที่ไซม่อนยังคงมองตามเพื่อนไปด้วยความชอบใจ
“มึงนี่นะ หาแต่เรื่อง” วินเซนต์ไม่รอช้าที่จะต่อว่าเพื่อนของตัวเองที่นั่งอยู่
“อะไร”
“กูรู้นะว่ามึงตั้งใจ ในลิฟต์ มึงตั้งใจให้น้องกับมันใกล้ชิดกัน”
“มันคือพรหมลิขิตที่กูช่วยลิขิตเพิ่มก็เท่านั้น”
“อย่าหาแต่เรื่องไอ้เวร ไม่เคยเข็ดสักที เรื่องเล่นกับความรู้สึกคน” คนที่ถูกต่อว่าก็ยักไหล่ขึ้นด้วยความไม่สนใจกับคำที่ถูกต่อว่า พลางยังคงมองตามแผ่นหลังกว้างของเพื่อนไป
“ครั้งนี้มันอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้”
“มึงหมายความว่าอะไร”
“ก็ปกติ มันเคยสนใจใครก่อนที่ไหน…”
“…กูเห็นมันเองก็ดูสนใจ ก็เลยแค่ทำให้มันสนใจเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น” สิ้นเสียงไซม่อนเอ่ย วินเซนต์ที่รู้สึกปลงไปกับนิสัยร้าย ๆ ของเพื่อนก็ได้แต่เอ่ย
“เอาเถอะ เรื่องของพวกมึง แต่ถ้าเจนิสรู้เมื่อไหร่ อย่ามายุ่งกับกูเด็ดขาด ไม่อยากปวดหัว” พูดจบ วินเซนต์ก็ลุกสาวเท้าเดินออกไป ขณะที่ไซม่อนยังคงนั่งนิ่งยกยิ้มร้าย เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวในครั้งนี้จะจบลงยังไง จะจบลงแบบไหน แล้วเสือกับเหยื่อ…ใครจะแน่กว่ากัน
เขาเองอยากจะรู้