หลังจากออกมาจากลิฟต์ทั้งหกก็ไม่รอช้าที่จะเดินตรงไปยังรถสปอร์ตสุดหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลพร้อมกับพากันตรงไปยังร้านอาหารร้านประจำที่กลุ่มพวกหนุ่มรุ่นพี่มักจะพากันไปอยู่บ่อยครั้งทันที ซึ่งทันทีที่ถึงร้าน MAISON RESTAURANT GRANDE เหล่าพนักงานที่เห็นไคลน์ ไซม่อน และวินเซนต์ ก็ไม่รอช้าที่จะเดินตรงเข้ามาให้การบริการด้วยความรวดเร็ว
“ผมโทรมาจองไว้แล้ว” เสียงไซม่อนบอก
“ค่ะ เดี๋ยวดิฉันพาไปที่โต๊ะนะคะ” พูดจบ ทั้งหกก็ถูกเชิญเดินพาไปยังโต๊ะวีไอพีทันที โดยมีใบข้าวกับลูกหว้าที่ค่อนข้างเกร็งอยู่ไม่น้อยตั้งแต่เข้ามา จนเมื่อถึงเวลาเลือกเมนู
“สั่งกันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” ไซม่อนยิ้มบอกสองสาวที่นั่งอยู่ ทำเอาวินเซนต์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“มึงจ่ายหรือไง”
“เปล่า แต่กูเชื่อว่า ไอ้ไคลน์มันใจดี” ไซม่อนยิ้มตอบกลับอย่างติดกวนพลางจัดการสั่งอาหารกันไป โดยลูกหว้ากับใบข้าวเลือกที่จะสั่งอาหารแบบเดียวกันและนั่งอยู่ด้านข้างกัน ตรงข้ามกับไคลน์และไซม่อนที่นั่งอยู่ ส่วนวินเซนต์กับเจนิสก็นั่งถัดไปในโต๊ะทรงกลมสามารถหันหน้าพูดคุยกันได้ โดยขณะที่นั่งไปชั่วครู่
พรึบ!
อยู่ ๆ ร่างสูงของไคลน์ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยใบหน้าราบเรียบ ทำเอาทุกคนที่เห็นต่างหันมอง ไม่เว้นแม้แต่ใบข้าวที่ลอบมองยังใบหน้าหล่อเหลาด้วยท่าทีเหลือบ ๆ ไม่กล้ามองแบบเต็มสายตา
“จะไปข้างนอกเหรอ” วินเซนต์ถามขึ้น
“อืม” สิ้นเสียงทุ้มขานตอบกลับ ก็ทำให้วินเซนต์ลุกขึ้นจากที่นั่งด้วยความรวดเร็ว ตามด้วยไซม่อน และ…เจนิส
“ลุกขึ้นมาทำไม” วินเซนต์ถามเจนิส
“ก็จะไปด้วย”
“รู้เหรอ พวกพี่จะไปไหน”
“สูบบุหรี่”
“แล้วยังจะตามไป?”
“ก็อยากไปอะ อยากตัวติดกับพี่ทุกวินาที”
“ไม่กลัวควันหรือไง”
“กลัวพี่โดนคนมาจีบมากกว่า”
“…” วินเซนต์ก็นิ่ง ก่อนที่สองเท้าหนักของไคลน์กับไซม่อนจะเดินออกไปอย่างไม่สนใจสองคนที่ถกเถียงกันต่อ โดยสุดท้ายวินเซนต์ก็สาวเท้าเดินตามเพื่อนทั้งสองออกไปพร้อมกับร่างของเจนิสที่เดินตามรุ่นพี่หนุ่มไปอย่างดื้อรั้นขั้นสุด
“เจนิสนี่ดูชอบพี่วินเซนต์มากเลยเนอะ” เสียงลูกหว้าหัวเราะพูดขึ้นกับความดื้อรั้นตามติดคนที่ชอบของเพื่อน
“อืม น่าอิจฉาเนอะ” อยู่ ๆ ใบข้าวก็เอ่ยออกมา ทำเอาลูกหว้าที่ได้ยินหันมอง
“หือ?”
“อ๋อเปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ใบข้าวก็ยิ้มบอกออกไป ทั้งที่ยังคงมองตามเจนิสไปด้วยความรู้สึกอิจฉา ทั้งที่เธอเองก็ชอบไคลน์มาก แต่ทว่ากลับไม่มีความกล้าแบบเจนิสเลย แค่สบสายตากับรุ่นพี่หนุ่ม เธอก็ประหม่าจนบางทีก็แอบอยากหยิกตัวเองกับความรู้สึกที่เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนั้น
“อิจฉาทำไม เธอเองก็แค่มีความกล้าขึ้นมาอีกหน่อย”
“ฮะ?” ดวงตากลมจ้องมองยังคนเป็นเพื่อนพลางหยิบแก้วน้ำเข้ามากระดกดื่ม ลูกหว้าที่เห็นจึงยกยิ้มมองหน้าบอก
“เธอน่ะ…ชอบพี่ไคลน์ใช่ไหม” ทันทีที่ลูกหว้าพูดจบ ใบข้าวก็สำลักน้ำที่กำลังดื่มไปในทันที
“แค่ก ๆ …” พร้อมกับสองดวงตากลมที่มองยังเพื่อนของตัวเอง
“…ระ…รู้ด้วยเหรอ”
“ท่าทางเธอออกชัดขนาดนั้น ประหม่าตลอดเลยกับพี่เขา” สิ้นเสียงลูกหว้าบอก ใบข้าวก็พอเข้าใจในท่าทีของตัวเอง อาการเธอมันคงชัดเจนอยู่ไม่น้อย แต่แล้วคนตัวเล็กก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นสีหน้าดูแปลกไปของลูกหว้า
“มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ…”
“…” ใบข้าวก็นั่งมองหน้าเพื่อนรอฟัง และในที่สุด
“เธอ…สัมภาษณ์พี่ไคลน์แทนฉันได้ไหม” ลูกหว้าตัดสินใจถามคนด้านข้างหลังจากที่อีกคนยอมรับความรู้สึกอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าคำพูดและสีหน้าท่าทางของลูกหว้าทำเอาใบข้าวชะงัก ทั้งไม่กล้ารับคำขอจากเพื่อน และรับรู้ได้ถึงความแปลกไป
“ทำไมเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”
“ฉันรู้สึก…ไม่ชอบพี่เขาเลย คือจะพูดยังไงดี มันไม่ได้ไม่ชอบแบบนั้นนะ แต่แบบ…ฉันเกร็งแล้วก็รู้สึกกลัวตลอดเวลาที่ต้องพูดคุยกับพี่เขา ถ้าเธอชอบพี่เขา เรามาสลับกันได้ไหม” ลูกหว้าบอกออกไปตามความรู้สึกพลางมองหน้าเพื่อนแววตามีความร้องขอ ใบข้าวที่เห็นก็พอเข้าใจทุกอย่าง เพราะขนาดเธอเองที่แอบชอบเขา ยังรู้สึกกลัวแล้วก็เกร็งเองในบางครั้งเลยกับท่าทีและแววตาคมคู่นั้น
“ได้หรือเปล่า” ลูกหว้ามองหน้าถามใบข้าวอีกครั้ง ซึ่งคนตัวเล็กเองก็มีความคิดไม่ตกอยู่พอสมควร เธอเองก็อยากใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้และลดความประหม่าของตัวเองลง แต่ทว่าก็กลัวว่า หากยิ่งใกล้ จะยิ่ง…
“อืม ก็ได้” แต่แล้วสุดท้ายใบข้าวก็ตัดสินใจข่มทุกความรู้สึกประหม่ากลัวของตัวเองเอาไว้ ถ้าเธออยากเป็นแบบเจนิสที่กล้าเข้าใกล้และทำตามความรู้สึกของตัวเองขึ้นมาบ้าง มันก็คงจะดีอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ว่ายังไง ใบข้าวก็รู้สึกว่าจะต้องได้พบเจอกับรุ่นพี่หนุ่มมากขึ้น เธอจะปล่อยให้ตัวเองประหม่าจนคนอื่นจับได้แบบนี้…ไม่ได้
“โอเคเลย ค่อยโล่งขึ้นมาหน่อย”
“พี่เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มาก นี่ฉันต้องนั่งรถพี่เขามาใช่ไหม เชื่อไหม ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของฉัน คือมันเงียบมาก อึดอัดไปหมดเลย” ลูกหว้าบอก โดยใบข้าวก็พอเดาเหตุการณ์ได้
“ฉันก็ไม่คิดว่าพี่เขาจะนิ่งและดูดุขนาดนี้”
“แล้วเธอไปชอบคนแบบเขาได้ยังไง”
“พี่เขาเคยช่วยฉันน่ะ”
“ช่วย?”
“อืม ตอนนั้น…เขาดูอบอุ่นมากเลย”
“โอ้ นึกภาพพี่ไคลน์ไม่ออกเลยแฮะ เธอไม่ได้จำผิดคนใช่ไหม” ลูกหว้าเอ่ยบอกไม่จริงจังอย่างไม่อยากจะเชื่อ ใบข้าวที่ได้ยินจึงยิ้มตอบกลับ
“ไม่หรอก ฉันจำชื่อพี่เขาได้…” สิ้นเสียงหวานพูด ไม่นานทั้งสี่ที่ออกไปก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับเจนิสที่ถูกวินเซนต์เอาเสื้อคลุมนักศึกษาของหญิงสาวคลุมหัวกับใบหน้าเอาไว้ เพราะไม่อยากให้อีกคนต้องมาดมควันบุหรี่จากเขาและเพื่อน
“เป็นห่วงขนาดนี้ ต้องแต่งงานกันแล้ว” เจนิสไม่รอช้าที่จะหยอกใส่วินเซนต์ คนที่ถูกพูดใส่จึงตอบกลับ
“หยุดเพ้อ”
“ชิ!” จากนั้นทั้งหกก็ลงมือทานอาหารที่ถูกนำเข้ามาเสิร์ฟกันไป พร้อมกับสายตาของใบข้าวที่มองดูเจนิสที่รุกหนักใส่วินเซนต์ด้วยความอยากลองกล้าแบบนั้นให้ได้สักครึ่งของเจนิสก็ยังดี ทว่าหลังจากที่มองยังเจนิส ดวงตากลมก็อดไม่ได้ที่จะหันจ้องมองยังรุ่นพี่ตัวสูงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต่อ ซึ่งในตอนนั้นเอง ไคลน์ก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับคนตัวเล็กที่ลอบมองเขาอยู่ และสุดท้ายใบข้าวก็ต้องก้มหน้างุดไปอย่างไม่กล้าที่จะทำอะไรอย่างใจคิด
สุดท้ายเธอก็ยัง…ประหม่ากับคนตัวสูงอยู่ดี
กระทั่ง
“โอ๊ะ เวลาผ่านไปเร็วจัง ใกล้ถึงเวลาเข้าคลาสต่อไปแล้ว” เสียงเจนิสพูดขึ้นด้วยใบหน้าเซ็ง ไซม่อนจึงเอ่ย
“ถ้างั้นอิ่มกันแล้วใช่ไหม เดี๋ยวพวกพี่ขับไปส่ง…”
“…เราเองก็ยังไม่ได้สัมภาษณ์พี่ต่อเลย เดี๋ยวไปสัมภาษณ์ต่อในรถแล้วกันนะ จะได้จบภารกิจนี้” ไซม่อนยิ้มหันบอกยังใบข้าวที่นั่งอยู่ โดยลูกหว้ากับใบข้าวก็ต่างหันมองหน้ากัน ก่อนจะเป็นลูกหว้าที่เป็นคนพูดก่อน
“เอ่อ พอดีพวกเราเปลี่ยนใจแล้วค่ะ”
“หือ?” ไซม่อนชะงัก ทำให้ใบข้าวตัดสินใจเอ่ย
“พอดีข้าวกับลูกหว้าตัดสินใจสลับการสัมภาษณ์กันค่ะ…”
“…ลูกหว้าจะสัมภาษณ์พี่ไซม่อนค่ะ ส่วนข้าว…” ร่างบางเม้มปากเล็กน้อยพลางค่อย ๆ ข่มความประหม่าเงยหน้าขึ้นมองยังคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
“…จะเป็นคนสัมภาษณ์พี่ไคลน์เองค่ะ” สิ้นเสียงหวานบอก ไซม่อนที่ได้ยินก็ลอบหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจกับลูกนกที่ดูพยายามข่มความประหม่าตัวเองเต็มที่ ขณะที่ไคลน์เองก็นั่งนิ่งมองยังร่างเล็ก
“พะ…พี่ไคลน์โอเคไหมคะ” เรียวปากสีหวานขยับถามขึ้นอย่างข่มความประหม่าเต็มที่ ซึ่งคนตัวสูงที่ได้ยินก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยใบหน้าราบเรียบ
“ตามนั้น” พูดจบ สองเท้าหนักก็สาวเท้าเดินนำออกไป โดยมีสายตาของใบข้าวที่มองตามแผ่นหลังกว้างไปอย่างพยายามเรียกความกล้าของตัวเอง ด้านไซม่อนที่เห็นท่าทางของรุ่นน้องสาวก็ยกยิ้ม
“สู้ ๆ นะ มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก” ว่าแล้ว ไซม่อนก็ยิ้มพาลูกหว้าเดินไปยังรถของตัวเอง ขณะที่ใบข้าวก็ยืนนิ่งข่มทุกความประหม่าของตัวเองอีกครั้งพร้อมกับเดินตามหลังรุ่นพี่หนุ่มไปยังรถสปอร์ตของเขาที่จอดอยู่ไม่ไกล ทุกครั้งที่เดินตามไป ดวงตากลมก็เอาแต่จ้องมองยังแผ่นหลังกว้างที่สูงกว่าเธออยู่มากโข จนเมื่อไปถึงรถคันหรู
“ขึ้นสิ” ปากหนาบอก ทำให้คนที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่รีบพยักหน้าตอบกลับ
“ค…ค่ะ…” โดยทันทีที่ขึ้นรถหรูมา กลิ่นน้ำหอมที่เป็นกลิ่นเดียวกับบนกายร่างสูงก็เตะเข้ามายังจมูกเล็กของใบข้าวอย่างจัง ทว่าหลังจากขึ้นมา คนตัวเล็กที่พยายามข่มความประหม่าของตัวเองนั้นก็ไม่สามารถที่จะหยุดความประหม่าของตัวเองไว้ได้ จนสุดท้ายมือบางที่เอาแต่บีบเข้าหากันก็ต้อง
เพียะ!
เสียงใบข้าวเผลอยกมือขึ้นตียังมืออีกข้างของตัวเองเพื่อให้หยุดการบีบมือนั้น แน่นอนว่าการกระทำของคนตัวเล็ก ทำเอาคนตัวสูงที่นั่งอยู่ด้านฝั่งคนขับหันมองยังอีกคนทันทีแววตาราบเรียบ
“เอ่อ ยะ…ยุงค่ะ ข้าวตียุง…” คำตอบจากเรียวปากสีหวาน ทำคนที่ได้ยินเอาแต่มองยังอีกคนนิ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังบนถนนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แต่ก็ไม่วายที่จะปรายตามองยังร่างเล็กตัวขาวที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่
“จะสัมภาษณ์ไหม”