บทนำ
ตึกตัก ตึกตัก…
เสียงหัวใจของสาวร่างเล็กวัยสิบแปดย่างสิบเก้าเจ้าของความสูงร้อยห้าสิบห้าจ้องมองยังด้านหน้าจอคอมพิวเตอร์ของตัวเองด้วยความลุ้นระทึกไปกับข้อความที่กำลังจะขึ้นตรงหน้า และในที่สุด
“กะ…กชพร…ได้รับทุน…” ริมฝีปากสีหวานขยับเอ่ยออกมาด้วยแววตาเต็มไปด้วยความดีใจขั้นสุดกับผลการสอบชิงทุนมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังที่มีชื่อของเธอติดอยู่หนึ่งในผู้ได้รับทุนนั้นจากคณะที่เธอเลือกไว้
“…ทำได้แล้ว” เจ้าของใบหน้าเรียวเล็กพึมพำอย่างรู้สึกดีใจกับตัวเองเป็นอย่างมาก รอยยิ้มหวานนั้นฉายขึ้นมาบนใบหน้าเนียนใสไม่หยุด ทั้งที่มีกรอบแว่นตาสำหรับคนสายตาสั้นกว่าห้าร้อยห้าสิบสวมใส่อยู่ จนเมื่อได้สติ สองเท้าเล็กของร่างบางก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ภายในห้องนอนของตัวเองเพื่อลงไปยังด้านล่างหมายจะบอกถึงข่าวดีนี้ให้กับ นภัสสร แม่ของเธอที่กำลังทำอาหารเย็นให้กับ คมสัน พ่อเลี้ยงของเธอที่ทั้งสองแต่งงานกันมาได้สามปีกว่าแล้วหลังจากที่พ่อของเธอเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสิบปีก่อนที่เธออายุได้แค่แปดขวบ…และ ภาคิน พี่ชายที่เป็นลูกติดของพ่อเลี้ยง ทว่าขณะที่สองเท้าบางกำลังเดินลงบันไดอยู่นั้น
“สร”
“คะ? พี่คมสัน”
“รู้เรื่องที่เราต้องย้ายแล้วใช่ไหม เขาให้อาทิตย์นี้อาทิตย์สุดท้าย”
“ค่ะ…”
“…พี่หาบ้านใหม่ได้แล้วเหรอคะ”
“อืม แต่มันอยู่แถวชานเมืองเลย อาจจะเดินทางลำบากกว่าเดิมหน่อย สรโอเคหรือเปล่า”
“สรโอเคค่ะ สรเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ ค่าเช่าที่นี่แพงขึ้นมากเลย เราย้ายไปอยู่โซนชานเมือง น่าจะประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น แถมพี่เองก็ย้ายไปทำงานแถวนั้นด้วย จะได้ประหยัดเวลากับค่าน้ำมันไปด้วย” หญิงวัยกลางคนยิ้มบอกสามีของตัวเองด้วยความพร้อมเข้าใจกับสถานการณ์ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในตอนนี้กับการตั้งใจทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวของคมสัน ที่ช่วงหลังมานี้เขาถูกโยกย้ายให้ไปประจำที่สาขาอื่น รวมถึงต้องทำโอทีมากขึ้นเพื่อที่จะเลี้ยงดูส่งเสียลูกชายของเขาที่กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย และลูกสาวของเธอที่เขาเองตั้งใจอยากส่งเรียนให้ด้วย โดยมีเธอที่คอยเป็นแม่บ้านดูแลทุกอย่างในบ้าน ฐานะพวกเขาจึงอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ได้ลำบาก แต่ก็ไม่ได้สุขสบายอะไรมากนัก
“…” ด้านใบข้าวที่ยืนฟังแม่กับพ่อเลี้ยงตัวเองพูดคุยกันก็ได้แต่ยืนเงียบเม้มปากแน่นไปกับการได้รับรู้ถึงสถานการณ์บ้านของตัวเองที่ไม่ค่อยจะดีในช่วงนี้ ทว่าขณะที่ร่างเล็กกำลังยืนคิดไม่ตกอยู่
“!!!” ดวงตากลมโตทั้งสองข้างของหญิงสาวก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบหันไปมองยังใครบางคนที่เดินเข้ามาสวมกอดร่างเธอไว้จากด้านหลัง
“ทำอะไรอยู่” เสียงทุ้มของภาคินที่เดินเข้ามาจงใจคุกคามร่างเล็กอย่างชัดเจนเอ่ยถาม ทำให้คนตัวเล็กที่ได้สติรีบผละออกด้วยความรวดเร็วและมีความตื่นตกใจพยายามระวังตัว ภาคินที่เห็นก็ยกยิ้มไปกับภาพตรงหน้า แววตาของชายหนุ่มจ้องมองยังน้องสาวต่างสายเลือดด้วยความรู้สึกชอบใจเป็นอย่างมากกับท่าทางดูตื่นกลัวพวกนั้น
“ลงไปกินข้าวกันเถอะ” แต่สุดท้ายเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นพร้อมกับสาวเท้าเดินนำร่างเล็กตรงไปยังนภัสสรกับคมสันที่ยืนอยู่ ใบข้าวที่เห็นก็จ้องมองตามแผ่นหลังกว้างของพี่ชายต่างสายเลือดไปด้วยความยังคงมีความตื่นกลัว แต่ก็พยายามที่จะตักเตือนตัวเองภายในใจให้ต้องระมัดระวังตัวเองมากขึ้นกว่านี้ เนื่องจากเธอเกือบลืมไปเลยว่า หากเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ภาคินจะกลับมาจากหอพักนักศึกษาเพื่อมาอยู่บ้าน
“อ้าวใบข้าว มากินข้าวกันสิ” เสียงคมสันเอ่ยเรียกร่างเล็กที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่
“ค่ะ” หญิงสาวที่ได้ยินจึงรับคำพร้อมกับสาวเท้าเดินตรงเข้าไปนั่งยังด้านข้างที่นั่งแม่ตัวเอง ก่อนที่ทั้งสี่จะนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา โดยมีสายตาของภาคินที่คอยลอบจ้องมองยังน้องสาวต่างสายเลือดของตัวเองอยู่ตลอด กระทั่ง…
“อืม กินกันอิ่มแล้วใช่ไหม พอดีพ่อมีอะไรจะบอก” เสียงคมสันพูดขึ้น ซึ่งทุกคนที่นั่งกันอยู่ก็ต่างหันมองอย่างตั้งใจฟังกับคำพูดของชายวัยกลางคน
“พอดีเราจำเป็นที่จะต้องย้ายบ้าน เลยอาจจะต้องไปอยู่แถวชานเมืองที่ไกลจากตัวเมืองนี้พอประมาณ…”
“…คิน แกไม่ต้องกลับบ้านแล้วก็ได้ มันค่อนข้างไกลจากมหา’ลัยของแก ส่วนใบข้าว หนูคิดไว้หรือยังว่าจะเข้ามหา’ลัยอะไร”
“เอ่อ…” ร่างเล็กที่ถูกถามอึกอักไม่กล้าตอบ เพราะมหาวิทยาลัยที่เธอสอบได้นั้น มันอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังนี้ หากต้องย้ายบ้าน…
“พูดออกมาเถอะ ลุงกับแม่จะได้ช่วยกันวางแผน” ทันทีที่เสียงทุ้มอบอุ่นเอ่ยจบ
“ที่จริง…ข้าวสอบได้ทุนเรียนมหาวิทยาลัยควินตัน คณะบริหารธุรกิจค่ะ…”
“ว่าไงนะ…พูดจริงเหรอ” นภัสสรมองหน้าถามลูกสาวตัวเองด้วยความรู้สึกดีใจและภูมิใจกับสิ่งที่ได้ยิน ขณะที่คมสันที่รักใบข้าวเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองก็รู้สึกไม่ต่าง
“ประกาศผลแล้วเหรอ” ชายวัยกลางคนถาม
“ค่ะ ข้าวเพิ่งดูรายชื่อเมื่อกี้”
“แบบนี้ก็ดีเลยสิ ควินตัน ไม่ใช่ว่าใครจะเข้ากันได้ง่าย ๆ นะ” คมสันที่รู้ถึงชื่อเสียงความโด่งดังของมหาวิทยาลัยเอกชนชั้นนำเอ่ยด้วยความยอมรับในมาตรฐานของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ทว่าภาคินที่ได้ยิน
“มาเรียนที่เดียวกับพี่ดีกว่า คณะบริหารก็มีชื่อดังอยู่”
“…” ใบข้าวที่ได้ยินก็นิ่ง ขณะที่คมสันนั้นไม่เห็นด้วยกับลูกชายตัวเอง
“น้องสอบได้ควินตันแล้ว จะให้ไปมหา’ลัยแกอีกทำไม”
“แต่ถ้าย้ายบ้าน แล้วจะเดินทางไปยังไง” สิ้นเสียงภาคินเอ่ย ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบงันใช้ความคิด และในที่สุด
“ให้ใบข้าวอยู่หอได้ไหมคะพี่ หักเงินเดือนของสรไปก็ได้” นภัสสรพูดขึ้น ทำให้คมสันที่ได้ยินตอบกลับ
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก พี่พอส่งไหว แต่ว่า…เราจะอยู่ได้หรือเปล่า อยู่คนเดียว” คมสันเอ่ยถามอย่างรู้สึกห่วงใยเด็กสาว เจ้าของใบหน้าเรียวใสที่ได้ยินก็เงียบไปชั่วครู่ แต่เมื่อเห็นสายตาของพี่ชายต่างสายเลือดที่มองมายังตัวเอง
“ได้ค่ะ ข้าวอยู่ได้ค่ะ” เธอเองก็ไม่อยากที่จะต้องทนพบเจอกับสายตาและท่าทางคุกคามพวกนั้น
“จะดีเหรอพ่อ น้องยังเด็กอยู่” เสียงภาคินพูดอย่างไม่เห็นด้วย ทว่า…
“ข้าวอยู่ได้ค่ะ ข้าวอายุสิบแปดแล้ว” เรียวปากสีหวานตัดสินใจพูดสวนกลับไปตามความคิดของตัวเองรวมถึงสายตาที่ฉายออกมาถึงความเด็ดเดี่ยวตัดสินใจที่มี โดยนภัสสรกับคมสันที่เห็นก็รับรู้ได้ถึงความต้องการเรียนที่นี่ของลูกสาว ทำให้ทั้งสองเลือกที่จะพยักหน้ารับรู้เชิงอนุญาต และเชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อใบข้าวหากได้เรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ขณะที่ภาคินเองก็ได้แต่นั่งนิ่งมีความรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่หลังจากนี้ เขาจะไม่ค่อยมีโอกาสได้แสดงท่าทีคุกคามใส่น้องสาวต่างสายเลือดตัวเล็กอีก…