“ทีนี้ก็ไปทานข้าวได้แล้วนะครับ”
“ก็ได้” ร่างบางที่รู้สึกพึงพอใจต่อการได้พบเจอลูกชายทั้งสองของตัวเองพยักหน้ารับคำ ก่อนจะสาวเท้าเดินตรงไปยังห้องอาหารโดยที่ก็ไม่วายที่จะออดอ้อนลูกชายทั้งสองไปตามประสาคนเป็นแม่ที่คิดถึงลูกและขี้อ้อน คามิลก็มองท่าทีของภรรยาตัวน้อยด้วยแววตาเอ็นดูคลั่งรักกับทุกความน่ารักพวกนั้น กระทั่งทั้งสี่เริ่มลงมือรับประทานอาหารบนโต๊ะที่ถูกนำเข้ามาวางไว้มากมาย
“ทานเยอะ ๆ นะครับ” เสียงของเคลย์เอ่ยบอกคนเป็นแม่พลางจัดการตักของโปรดลงยังจานอาหารด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ไลลาที่ถูกเอาใจใส่จากลูกชายคนเล็กที่อายุห่างจากพี่ชายเพียงหนึ่งปีก็ยกยิ้มชอบใจ
“ต้องป้อนหม่ามิ้ด้วยสิ” เรียวปากสีหวานขยับเอ่ย ทำให้หนุ่มนักศึกษาแพทย์ปีสามที่ได้ยินจัดการทำตามที่ร่างเล็กบอกอย่างว่าง่าย รวมถึง
“ไคลน์ก็ด้วย ไม่ป้อนหม่ามิ้เลย” ไลลาหันบอกกับลูกชายอีกคนที่นั่งด้านข้างอีกด้านด้วยโทนเสียงงอแงน้อยใจ คนตัวสูงที่มีนิสัยเหมือนคนเป็นพ่อราวกับแกะกันมาก็ชะงักค่อย ๆ จัดการป้อนข้าวยังริมฝีปากเล็กด้วยใบหน้าเรียบนิ่งตามปกติของเขา แน่นอนว่าไลลาที่เห็น
“เฮ้อ ทำไมเหมือนพ่อได้ขนาดนี้นะ” อยู่ ๆ คนตัวเล็กก็พูดออกมาพลางหันบอกกับเคลย์ที่นั่งอยู่
“นี่ก็อีกคน หน้าเหมือนพ่อกันหมดแล้ว ยังจะชอบเงียบกันอีก ทั้งบ้าน มีหม่ามิ้พูดอยู่คนเดียว…”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ เวลาหม่ามิ้พูด จะได้มีคนฟัง” เคลย์ยิ้มบอกคนเป็นแม่โทนเสียงอบอุ่น
“แต่หม่ามิ้ก็อยากมีคนมานั่งพูดด้วยกันนี่”
“พี่ก็พูดกับเราบ่อย” คามิลเอ่ย ทำเอาไลลาที่ได้ยินหันไปจ้องมองสามีตัวสูงอย่างรู้สึกพาล
“ไม่ต้องมาพูดเลย เพราะเชื้อพี่คามิลแรงเนี่ย ไลลาเลยต้องเหงาเลย มีลูกชายก็พูดน้อยเหมือนพ่อกันหมด แล้วยังจะหน้าเหมือนพ่อกันไปอีก เฮ้อ อยากมีลูกสาว!” หญิงวัยกลางคนบ่นอุบ ทำเอาคนตัวสูงที่ได้ยินได้แต่มองหน้าแม่ของลูกด้วยความชินไปกับท่าทีงอแงเวลาเหงาคิดถึงลูกชายพวกนั้น รอยยิ้มเอ็นดูลอบฉายออกมาอยู่บนใบหน้าดูดีของร่างสูงไม่หยุด จนกระทั่ง…
“ผมเปลี่ยนนามสกุลแล้วนะครับ” เสียงเคลย์ที่นั่งอยู่พูดขึ้นบอกทุกคนด้วยโทนเสียงปกติ ซึ่งคามิลที่ได้ยินก็จ้องมองยังใบหน้าลูกชาย
“ทำเรื่องเสร็จหมดแล้วเหรอ”
“ครับ ผมกลับมาใช้นามสกุลพ่อแล้ว” สิ้นเสียงนักศึกษาแพทย์หนุ่มบอก ทุกคนก็พยักหน้ารับรู้ โดยในตอนแรกนั้นทั้งไคลน์ และเคลย์ใช้นามสกุล อัศวทานนท์ ซึ่งเป็นนามสกุลของไลลาที่ไลลานั้นแม้จะจดทะเบียนกับคามิลแล้ว แต่ก็ยังคงเลือกใช้นามสกุลเดิมจากการตัดสินใจของคามิล เพราะตัวเขาเองไม่ได้ซีเรียสเกี่ยวกับเรื่องนี้สักเท่าไร อีกทั้งนามสกุลของบ้านไลลานั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้าง น่าจะเป็นเกราะป้องกันที่ดีอย่างหนึ่งในสังคมได้ ทำให้คนตัวสูงตัดสินใจให้ลูกชายทั้งสองใช้นามสกุลของฝั่งแม่ไป อีกทั้งตัวของไคลน์เองก็มีความชื่นชอบคล้ายคลึงกับธาม ผู้เป็นพ่อของไลลา ตาของเขา ไคลน์จึงถูกวางไว้ให้เป็นทายาทรุ่นต่อไปในการดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์การซื้อ-ขายที่ดินที่จะสามารถเพิ่มมูลค่ากำไรให้แก่บริษัทด้วยนามสกุลที่ทรงอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของประเทศ เนื่องจากทางบ้านของแทนไทพี่ชายของไลลานั้นมีลูกสาว และเธอไม่ค่อยที่จะมีหัวหรือความชอบด้านนี้ทำให้ทุกอย่างจึงตกไปอยู่ที่ไคลน์ที่เป็นหลานชายคนแรก และทุกคนยอมรับกันโดยไร้ซึ่งปัญหา เพราะไม่ว่ายังไง พวกเขาก็คือครอบครัวที่จะต้องให้ความช่วยเหลือกันและกันอยู่ดี
ทว่าในส่วนของเคลย์ เขาเองก็มีความคิดในแบบของตัวเองที่อยากจะใช้นามสกุลเดียวกับพ่อเพื่อทำในสิ่งแบบที่ตัวเองชอบเช่นกัน โดยทุกคนเองก็พร้อมที่จะเคารพการตัดสินใจของกันและกัน และเมื่อเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ หลังจากที่ทุกคนทานอาหารเย็นพร้อมหน้ากันจนเสร็จ
“พ่อครับ ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยได้ไหม” เสียงหนุ่มนักศึกษาแพทย์หันบอกกับพ่อของตัวเองขึ้น ก่อนที่สองพ่อลูกจะมองหน้าด้วยความรู้กัน
“อืม” สิ้นเสียงทุ้มรับรู้ ทั้งสองก็พากันสาวเท้าเดินออกไป โดยไลลาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักเกี่ยวกับธุระของสองพ่อลูก ดวงตากลมโตเลือกที่จะหันมองยังลูกชายคนโตที่เอาแต่นั่งเงียบอยู่ด้านข้าง
“เจอสาวที่ถูกใจบ้างหรือยังคะ”
“…” ไคลน์ก็หันมองหน้าคนเป็นแม่นิ่ง ทำให้ไลลาพูดต่อ
“หม่ามิ้อยากมีลูกสะใภ้บ้างแล้ว เพราะลูกชายหม่ามิ้ไม่ค่อยพูดกับหม่ามิ้เลย”
“ผมไม่รู้จะคุยอะไร”
“งั้นก็หาลูกสะใภ้มาคอยอยู่คุยเป็นเพื่อนกับหม่ามิ้สิ”
“…” ไคลน์ก็เงียบไม่ตอบ เพราะเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแบบนี้มาก่อน ไลลาที่เห็นก็รู้จักนิสัยลูกชายดี
“ชิ ดูไม่สนใจใครเหมือนพ่อตอนหนุ่ม ๆ ไม่มีผิด…แต่ถึงจะเหมือนยังไง ก็ห้ามใจร้ายกับใครเหมือนพ่อตอนนั้นเด็ดขาดนะ เข้าใจไหม ไคลน์ต้องห้ามใจร้ายกับลูกสาวคนอื่นนะ สัญญากับหม่ามิ้ก่อน” ไลลาจ้องมองหน้าพูดกับลูกชายโทนเสียงจริงจัง ไคลน์ที่ได้ยินจึงรับคำไปด้วยใบหน้าราบเรียบ
“ครับ” แต่ถึงแบบนั้น เขาก็ไม่คิดสนใจต่อคำสัญญาปากเปล่าพวกนั้นที่ให้ไว้กับคนเป็นแม่อยู่ดี
“แล้วก็วันนี้ไคลน์จะนอนกับหม่ามิ้ใช่ไหม หม่ามิ้อยากดูหนังกับลูกชายทั้งสอง” เจ้าของใบหน้าเรียวใสมองหน้าถามยังลูกชายตัวเองแววตาออดอ้อนเปลี่ยนท่าทีจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าคำถามที่เหมือนถูกล็อกคำตอบไว้ตั้งแต่ที่เขามาที่บ้านหลังใหญ่นี้ก็คือ
“ครับ” จากนั้นไลลาก็ไม่รอช้าที่จะแสดงความดีใจออกมาพร้อมกับโผเข้ากอดลูกชายคนโตของตัวเองด้วยความรักใคร่ แม้ว่าลูกชายคนโตจะแทบไม่ได้ได้นิสัยหรือใบหน้าอะไรของเธอมาเลยก็ตาม
ไม่ใช่แค่ไคลน์สิ เคลย์เองก็ไม่ต่าง จะดีหน่อยก็แค่ดูอบอุ่นและเป็นมิตรกว่าพี่ชายของเขาก็แค่นั้น…
วันต่อมา…
“จะกลับกันแล้วเหรอลูก…” เสียงหวานของคุณแม่ตัวเล็กมองหน้าถามลูกชายทั้งสองของตัวเองแววตาไม่อยากให้ลูกชายต้องห่างจากตัวเอง ไคลน์ที่เห็นจึงตอบกลับ
“ผมมีเข้าเรียนตัวสุดท้ายช่วงบ่ายวันนี้ครับ” ตามด้วยเสียงของเคลย์
“ส่วนผมต้องเข้าไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของคนไข้ครับ”
“…” ไลลาที่ได้ยินก็เบะปากเล็กน้อยมีความงอแงตามประสา เคลย์ที่เห็นจึงเดินเข้าไปสวมกอด
“ไม่งอแงนะครับ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ผมว่าง เดี๋ยวผมพาไปช็อปปิง” ทันทีที่ลูกชายคนเล็กเอ่ยบอกอย่างรู้ใจ ร่างเล็กของแม่ลูกสองก็ตาลุกวาวขึ้นมาในทันที
“สัญญาแล้วนะคะ”
“ครับ”
“น่ารักจัง ลูกชายหม่ามิ้…”
“…แล้วคนโตล่ะคะ จะให้อะไรหม่ามิ้เพื่อเป็นการปลอบใจ”
“ผมจะตอบไลน์ให้มากขึ้น”
“จริงนะ!” ไลลามองหน้าถามไคลน์ที่มักจะไม่ค่อยตอบกลับข้อความของเธอที่ส่งไปหาลูกด้วยความคิดถึง ร่างสูงที่ได้ยินการเน้นย้ำจากคนเป็นแม่ก็พยักหน้าตอบกลับ โดยแค่นั้นก็ทำให้ร่างเล็กที่งอแงในตอนแรก อารมณ์ดียิ้มหวานตาหยีขึ้นมา ก่อนที่คามิลจะเดินเข้าไปโอบยังเอวบางของภรรยาตัวน้อยอย่างเอ็นดูพร้อมกับจ้องมองไปยังลูกชายทั้งสองที่ต่างขับรถสปอร์ตคันหรูออกไปจากบ้านหลังใหญ่ด้วยความยอมรับการค่อย ๆ เติบโตของพวกเขา
อีกด้าน
“อาจารย์วิชานี้ดูพูดเรื่องของตัวเองเยอะเนอะ ไม่รู้จะมาสอนหรือจะมาอวด” เสียงเจนิสเอ่ยขึ้นหลังจากเดินออกจากห้องเรียนในคลาสที่เพิ่งจบลงไปของตัวเอง ใบข้าวกับลูกหว้าที่ได้ยินก็หัวเราะยิ้มออกมาด้วยความแอบรู้สึกเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย ก่อนที่ทั้งสามจะพากันเดินกดลิฟต์ลงไปยังบริเวณด้านล่าง และในตอนนั้นเอง
ครืดดด~
เสียงโทรศัพท์ของใบข้าวกับลูกหว้าดังขึ้นมาพร้อมกันจากไลน์กลุ่มน้องปีหนึ่งคณะบริหารที่ถูกรุ่นพี่ให้เข้าร่วม
“วันนี้มีประชุมเรื่องการรับน้องคณะ…” ทันทีที่ลูกหว้าพูดจบ เจนิสที่ได้ยินก็หันมองแสดงสีหน้างุนงงออกมาในทันที
“ประชุมเหรอ?”
“อืม พวกพี่เขาส่งข้อความมากันน่ะ” ใบข้าวบอกพลางยื่นให้เจนิสดู
“โอ๊ย ไร้สาระ อย่าไปสนใจเลย” ร่างสวยในชุดนักศึกษาบอกอย่างไม่คิดสนใจ ทว่าสองสาวเด็กทุนกลับต่างมองหน้ากันอย่างไม่สามารถที่จะเมินเฉยต่อกิจกรรมของมหาวิทยาลัยได้ เจนิสที่เห็นท่าทางของเพื่อนทั้งสองก็ชะงัก พอเริ่มเข้าใจ
“พวกเธอจะไปเข้าร่วมกันเหรอ”
“อืม” ทั้งใบข้าวและลูกหว้าต่างพยักหน้าตอบกลับ ทำให้เจนิสพยักหน้ารับรู้
“โอเค งั้นเดี๋ยวฉันเดินไปส่ง” พูดจบ เจนิสก็เดินพาเพื่อนทั้งสองตรงไปยังบริเวณจุดที่รุ่นพี่นัดประชุม แต่แล้วทันทีที่ดวงตากลมสวยของหญิงสาวเหลือบไปเห็นกลุ่มของใครบางคนกำลังนั่งเป็นที่สนใจของหลายคนที่กำลังเข้าร่วมการประชุม
“โอ๊ะ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมากันด้วย” เจนิสพึมพำด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มชอบใจ
“ปะ! รีบไปกันเถอะ” ว่าแล้ว ร่างสวยก็ไม่รอช้าที่จะสาวเท้าเดินตรงเข้าไปยังจุดเข้าร่วมประชุมด้วยความรวดเร็ว โดยมีใบข้าวกับลูกหว้าที่ต่างหันมองหน้ากันด้วยความงุนงงกับเจนิสที่ตอนแรกบอกจะไม่เข้าร่วม…