เมื่อเช้าของวันใหม่มาเยือน คนนอนแน่นิ่งเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์บวกกับฤทธิ์ยาระงับอาการปวดศีรษะกะพริบตาปริบๆ ปรับม่านตาให้รับกับแสงสว่างของวันใหม่ ก่อนจะกวาดสายตามองหาร่างเล็กของจำเลยสาว และเมื่อรู้ว่าบนเตียงไร้เงาของเจ้าหล่อน แฟรงค์ก็ต้องดีดเด้งตัวเองลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับที่ดวงตาสีน้ำตาลไหม้สำรวจทั่วทั้งห้อง
“ยัยตัวดีไปไหนแล้ว”
ว่าแล้วก็รีบวาดขาลงจากเตียง แล้วมุ่งปลายเท้าก้าวเร็วๆ ออกจากห้อง ปรี่ลงไปยังชั้นล่าง พอมาถึงโถงทางเดินก็เจอกับแม่บ้านเก่าแก่ จึงร้องถามหน้าตื่นๆ
“ป้าเห็นยัยตัวแสบไหมครับ”
“ใครหรือคะคุณแฟรงค์”
ป้าชมทำหน้ายุ่ง ถ้าตัวแสบสำหรับป้าชมก็คือสายสร้อยตัวดี แต่พอเห็นสีหน้าคนเป็นนายที่ทำท่าเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้นจึงยิ้มน้อยๆ แล้วบอกกล่าว
“คงเป็นคนเมื่อคืนใช่ไหมคะ ป้าเห็นหลังไวๆ อยู่ที่สวนด้านหลังโน่นค่ะ รูปร่างท่าทางคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นที่ไหน แต่คิดเท่าไรป้าก็คิดไม่ออก”
“ป้าคงไม่รู้จักเธอหรอกครับ ผมขอตัวก่อนนะครับป้า”
จบคำร่างสูงก็ก้าวเร็วๆ ไปที่ด้านหลัง ดวงตาสีน้ำตาลไหม้แลซ้ายทีขวาทีหาร่างเล็ก จนเดินมาถึงสวนมะขามซึ่งกำลังแตกยอดอ่อนเรียงต้นกันไปจนสุดลูกหูลูกตา
“คิดอะไรอยู่หรือคุณ”
ร้องทักแล้วมองคนตัวเล็กตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และเมื่อเห็นเธอสวมเสื้อผ้าชุดเดิมของตัวเอง ช่วงขากำยำจึงขยับไปใกล้ โน้มหน้าไปจูบเบาๆ ที่ข้างแก้มเล็กเร็วๆ แล้วถอยห่าง
“หอมดีนี่ นึกว่าใส่ชุดเดิมแล้วจะเหม็นซะอีก”
“คนฉวยโอกาส”
พัณณิตาหันมาต่อว่า รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยที่เจอหน้าเขา แถมยังถูกลวนลามแต่เช้าแบบนี้อีก มันทำให้ความรู้สึกเมื่อคืนวิ่งพล่านเข้ามาจนชวนให้ใจเต้นแรง ทั้งๆ ที่คิดว่ามันเป็นเพียงความฝันแต่ก็ไม่สำเร็จอยู่ดี หญิงสาวจึงลอบถอนหายใจแล้วรีบชวนคุยอีกเรื่อง
“นี่คุณ ที่นี่มันจังหวัดไหนเหรอ ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นๆ”
“จะถามเพื่อหาทางหนีอีกล่ะสิ”
“ฉันถามก็ตอบมาเถอะน่า” เธอบอกอย่างหัวเสีย ก่อนจะเอ่ยลอยๆ “เพชรบูรณ์หรือเปล่า”
“อืม...”
อาการพยักหน้าและครางรับเบาๆ ในลำคอของเขาทำให้พัณณิตาเบิกตากว้าง เธอแค่เปรยดูเท่านั้น ไม่คิดว่าตัวเองจะอยู่ใต้จมูกพี่ชายเพียงแค่นี้ แสดงว่าไร่ของเธอกับที่นี่คงอยู่ไม่ไกลกัน อย่างนี้เธอก็มีทางหนีรอดกลับบ้านได้น่ะสิ คิดได้เช่นนี้หญิงสาวก็ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ภายใต้สีหน้านิ่งเฉย
“มิน่าล่ะ อากาศดีเชียว ว่าแต่ไร่ของคุณชื่อว่าอะไรนะ”
“ทำไมผมต้องบอก” ว่าพลางคว้าแขนเล็ก แล้วรั้งให้มายืนตรงหน้า “นี่คุณคิดจะหนีจริงๆ ใช่ไหม อยากตายหรือไงฮ้า!”
“โอ๊ย! ก็คุณพูดเองไม่ใช่หรือไง ว่าไร่คุณใหญ่สุดลูกหูลูกตา แล้วอย่างนี้ฉันจะมีปัญญาที่ไหนหนีรอดออกไปได้ละ” เถียงเขาคอเป็นเอ็นแล้วเดินเอื่อยๆ ตรงไปตามทิวแถวของต้นมะขามหวานซึ่งเป็นผลไม้เด่นของจังหวัดเพชรบูรณ์ แต่เธอเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว อุ้งมือของคนตัวโตก็คว้าข้อมือเล็กเอาไว้
“จะเดินไปไหนฮึ!”
“ใจคอคุณจะไม่ให้ฉันสูดอากาศบริสุทธิ์บ้างเลยหรือไง”
“ในสภาพแบบนี้เนี่ยนะ”
ดวงตาสีน้ำตาลไหม้มองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
“กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ จะได้กินมื้อเช้ากัน” คำพูดแกมสั่งหลุดออกมาจากปากหยักได้รูป เมื่อเห็นคนตัวเล็กทำท่าคัดค้านจึงยกปลายนิ้วแตะที่กลีบปากอิ่ม “ห้ามถาม ห้ามพูด ห้ามคัดค้านใดๆ ทั้งสิ้น หน้าที่ของคุณมีเพียงอย่างเดียว คือปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น”
พัณณิตาได้แต่กัดฟันกรอด แต่กระนั้นก็ยอมขยับปลายเท้าเดินตามคนตัวโต เมื่อมาถึงด้านหลังของบ้าน ชายหนุ่มก็จับจูงเธออ้อมออกมาที่หน้าบ้าน ก่อนจะชะเง้อชะแง้เพียงนิด และพอเห็นร่างของหนุ่มผมทองก็ร้องเรียก
“แบรด มานี่สิ”
“ครับเจ้านาย” คนถูกเรียกวิ่งเร็วๆ มาใกล้ “เจ้านายมีอะไรหรือครับ”
“ไปจัดการเรื่องเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ให้จำเลยของฉันหน่อย ภายในหนึ่งชั่วโมงต้องเรียบร้อย”
สั่งเสร็จก็ยกมือไล่กลายๆ เพียงลูกน้องหนุ่มวิ่งเร็วๆ ไปปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย ร่างบางของพัณณิตาก็ลอยหวือ เพราะถูกอุ้งมือร้อนๆ นั้นรั้งเข้าด้านใน เมื่อมาถึงโถงทางเดิน คนตัวโตก็หันมาถาม
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมจะให้ป้าชมทำให้”
หญิงสาวเม้มปากแน่นสนิทไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น หากดวงตาส่อแววกวนโทสะเจ้าพ่อหนุ่มซะเหลือเกิน นาทีนี้ดวงตาสีน้ำตาลไหม้จึงหรี่แคบลง แล้วจับจ้องกรอบหน้าเล็กเขม็ง
“นี่คุณจะเล่นสงครามประสาทกับผมใช่ไหมฮ้า!”
“ก็คุณห้ามไม่ให้ฉันพูด ฉันก็ไม่พูด ไม่เถียง ไม่คัดค้าน และก็ไม่ถามด้วย”
“ประภาภรณ์!”
คนขี้โมโหเค้นเสียงเรียก แล้วรั้งร่างแน่งน้อยเข้าหา มองด้วยดวงตาเกรี้ยวกราด แต่คนตัวเล็กมีหรือจะกลัว เธอเชิดหน้าขึ้น สะบัดมือแรงๆ ออกจากการกอบกุม ก่อนจะยกปลายนิ้วจิ้มเบาๆ ลงบนหน้าอกแกร่ง
“ฉันชื่อลูกแก้ว ถ้านายเรียกฉันว่าประภาภรณ์อีก นายก็ไปตายซะ!”
จบคำพูดแกมตะคอกนั้น ร่างอรชรก็เดินลิ่วๆ ขึ้นชั้นสอง จากนั้นก็แทรกกายเข้าไปในห้อง แล้วรีบลงมือล็อกกลอนประตูมือด้วยอาการสั่นเทา
“เชอะ!”
หญิงสาวทำเสียงขึ้นจมูก พลางค้อนปะหลับปะเหลือบอย่างหมั่นไส้
“เรียกชื่อเพื่อนฉันอยู่ได้ บอกว่าชื่อพัณณิตาไม่รู้กี่ครั้ง ไม่เคยเข้าหูบ้างเลยหรือไงนะ” บ่นอุบแล้วถอนหายใจอย่างอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ครู่เดียวเธอก็ต้องถอยห่างจากประตูไปนับสิบก้าว พร้อมกับที่มือน้อยๆ ยกขึ้นอุดหูจ้าละหวั่น เพราะเสียงเคาะกับเสียงเรียกที่กระหึ่มลั่น
“นี่ยัยตัวดี! เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
“ไม่เปิด!” โต้ตอบเขาอย่างไม่กริ่งเกรง “ฉันขอเวลาอยู่ในนี้หนึ่งชั่วโมง แบรดซื้อเสื้อผ้ามาเมื่อไรช่วยเรียกด้วยก็แล้วกัน อ้อ! บอกให้ป้าชมทำอาหารอร่อยๆ ให้ฉันทานด้วยนะ ที่สำคัญสุดๆ นายทานมื้อเช้าไปก่อนได้เลย เพราะเห็นหน้านายแล้วฉันพานกินไม่ลง”
จบประโยคยาวเหยียด ร่างอรชรก็กระโดดไปนอนบนเตียง กลิ้งไปกลิ้งมาอย่างแสนสุข แต่ความสุขของเธอมันก็ช่างสั้นนัก เพราะเพียงห้านาทีต่อมาเสียงกริ๊กของลูกบิดประตูก็ดังแว่วเข้ามาในโสตประสาทอีกครา อึดใจเดียวก็ปรากฏให้เห็นร่างสูงกำยำของหนุ่มลูกครึ่งซึ่งดวงหน้านั้นเต็มไปด้วยความถมึงทึงจนชวนให้หญิงสาวขนลุกซู่ด้วยความหวาดกลัวไปทั้งเนื้อทั้งตัว