บทที่๑คนบ้าอำนาจออกโรง(๑)
บริษัทแฮคตันโฮลล์มีโรงแรมในเครือนับร้อยแห่งครอบคลุมทั่วโลก ที่ตั้งทำการของบริษัทยักษ์ใหญ่คือโรงแรมหรูกลางเมืองแมนฮัตตัน ซึ่งมีความสูงถึงหนึ่งร้อยสามสิบชั้น ชั้นที่หนึ่งเป็นโซนของพนักงานระดับล่าง ส่วนชั้นที่สองจนชั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบถูกจัดไว้เป็นห้องพักสำหรับแขกที่เข้ามาใช้บริการ ซึ่งก็มีหลากหลายราคาให้เลือกสรร นอกเหนือจากนั้นเป็นห้องทำงานและห้องพักของผู้บริหารระดับสูงซึ่งลดหลั่นกันไปตามอำนาจที่พึงมี
บริเวณชั้นที่หนึ่งร้อยยี่สิบเก้าซึ่งล้อมรอบด้วยกระจกใสกันกระสุนหนาทึบถึงสามนิ้วทั้งสี่ด้านปรากฏร่างสูงในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบไร้รอยยับย่นกำลังยืดตัวผละลุกจากเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ซึ่งถูกแผ่นหลังทรงพลังนั้นแนบพิงมานานนับสามชั่วโมงเต็ม เวลานี้คิ้วเข้มของแฟรงค์ แฮคตัน บุรุษหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน กำลังย่นยู่เข้าหากัน ผิวสีแทนเข้มเสมือนมารดาส่งผลให้ใบหน้าดูถมึงทึงน่ากลัว
พึ่บ!
เอกสารปึกใหญ่ถูกทิ้งลงบนโต๊ะทำงานเต็มแรง ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ตวัดมองไปยังลูกน้องคนสนิทซึ่งพ่วงตำแหน่งบอดี้การ์ดและเลขาฯ ส่วนตัวด้วยแววตาเอาเรื่อง มือทั้งสองข้างตบโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่น เพราะลูกน้องตัวดีเอาแต่อมพะนำ ไม่ยอมปริปากพูด
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรฮ้า!”
ตะเบ็งเสียงถามอย่างหัวเสีย สีหน้าเจ้าพ่อแห่งวงการโรงแรมคล้ายอยากจะฆ่าใครสักคนให้ตาย เพื่อจะได้สาสมกับความหายนะของโรงแรมในเครือซึ่งถูกทิ้งอย่างไม่ไยดี
“นายลองตอบฉันหน่อยสิ โรงแรมที่เมืองไทยมันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกำไรถึงได้ดิ่งลงเหวจนติดลบแบบนี้”
สิ้นเสียงเข้มที่ดังลั่นห้อง คนถูกถามก็ยังคงปิดปากนิ่งสนิทเหมือนเดิม
“แบรด! นายเป็นใบ้หรือยังไง ทำไมไม่ตอบ”
แบรด เอ็ดสันกะพริบตาปริบๆ พลางสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด แล้วรีบรายงานก่อนที่ชีวิตจะถึงจุดจบ
“คือว่าโรงแรมนี้คุณเฟียซเคยไปดูเมื่อสามเดือนก่อนครับ เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จนกระทั่ง...”
“เรียบร้อยบ้าน่ะสิ ผลขาดทุนยับมาสามเดือนเต็มแบบนี้” ลูกน้องรายงานยังไม่ทันจบประโยค แฟรค์ก็ร้องขัดขึ้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะบ่นระอาต่อ “ที่เมืองไทยมีผีหรือไง ถึงได้ปิดหูปิดตาเจ้าเฟียซขนาดนี้ ดูสิมองขาดทุนเป็นกำไร อนาคตข้างหน้าคงล้มละลายกันพอดี”
ลูกน้องหนุ่มลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ ก่อนจะรายงานสิ่งที่ตัวเองพอสืบรู้มาบ้าง
“ที่จริงแล้วเหตุผลหลักๆ คงเป็นเพราะว่าผู้บริหารของที่นั่น...เอ่อ...มีลูกสาวเป็นนางแบบครับ”
“นางแบบ?”
แฟรงค์พึมพำ มุมปากเหยียดออกเล็กน้อย มิน่าล่ะตาของเจ้าน้องชายตัวแสบถึงได้ปิดสนิท เพราะเรื่องผู้หญิง เฟียซ แฮคตันไม่เคยเป็นสองรองใคร ใช้ผู้หญิงเปลืองยิ่งกว่าถุงเท้าที่เจ้าตัวผลัดเปลี่ยนในแต่ละวันซะอีก ซึ่งนิสัยแบบนี้ทำให้มาดามอภิศราถึงกับลมจับครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องส่งน้องสาวอย่างอภิชญาไปคอยจัดระเบียบสตรีให้เฟียซอยู่บ่อยๆ และผลที่ได้ก็ไม่แตกต่างกันเลย นั่นก็คือผู้หญิงของเจ้าเฟียซต้องกระเจิงทุกราย
เมื่อคิดถึงน้องชายตัวดีซึ่งป่านนี้พ่อคุณน่าจะเหล่สาวอยู่ส่วนไหนสักแห่งของเมือง รอคอยเวลาเหยื่อติดกับแล้วลงมือขย้ำจนเต็มอิ่ม ริมฝีปากหยักสวยยิ่งกว่าสตรีก็แย้มบางๆ แล้วเอ่ยสั่ง
“ต่อสายหาหมอนั่นเดี๋ยวนี้!”
คนได้รับคำสั่งรีบปฏิบัติอย่างรวดเร็ว หยิบโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นนายซึ่งมีนับสามเครื่องออกมาจากกระเป๋าเสื้อสูท แล้วจึงเลือกใช้เครื่องที่ติดต่อกันภายในครอบครัวเพื่อโทรหารองประธาน หากปลายสายกลับเงียบกริบ จนต้องส่งยิ้มแหยๆ ให้คนเป็นนาย
“โทรไม่ติดครับ”
“กดต่อไป ถึงนิ้วนายจะหัก นายก็ต้องติดต่อเจ้านั่นให้ได้”
สั่งการเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างเซ็งๆ คว้าปากกายี่ห้อหรูขึ้นมาติดมือ แล้วหยิบเอกสารเจ้าปัญหาขึ้นมาพิจารณา ตัวเลขหายไปร่วมสิบล้านบาทแบบนี้ ต้องมีคนเล่นตุกติกแน่ๆ ดูท่าทางจะเป็นยักษ์ตัวเป้งซะด้วย ครุ่นคิดอยู่ไม่กี่นาที ลูกน้องหนุ่มก็ยื่นโทรศัพท์มาให้
ท่านที่ปรึกษา
“ครับแด็ด”
“รู้เรื่องที่เมืองไทยแล้วใช่ไหม”
“ทราบแล้วครับ” ตอบรับด้วยเสียงเนือยๆ เพราะรู้ทันทีเลยว่า เจ้าน้องบังเกิดเกล้าคงรีบรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ผู้เป็นบิดารับทราบเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่รอดูผลที่จะตามมาเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเดาว่าผลจะออกมาในรูปแบบไหน ก็ในเมื่อน้องชายตัวแสบนั้นเปรียบเสมือนองค์ชายประจำบ้าน ฉะนั้นต่อให้ผิดขนาดไหน มัมกับแด็ดก็ให้อภัยทุกครั้ง
“พ่อจะคุยกับลูกเรื่องนี้อยู่พอดี พ่อว่าลูกคงต้องไปเมืองไทย”
คำที่ดังก้องอยู่ในหูทำให้คิ้วเข้มๆ ของท่านประธานถึงกับย่นเข้าหากัน เพราะนาทีนี้ไม่ใช่เมืองไทยเท่านั้นที่มีปัญหา หากยังมีที่อื่นอีกหลายแห่งซึ่งรอคอยการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน
“แต่ผมต้องไปดูไบนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทัดทานขึ้นมาทันควัน โดยกำหนดการเดินทางไปดูไบก็คือบ่ายโมงตรงของวันนี้ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกเพียงสามชั่วโมงเศษเท่านั้น
“น้องชายเราไม่ได้บอกหรือไง ว่าจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง เห็นขึ้นเครื่องไปตั้งแต่เช้ามืดแล้ว”
“อะไรนะครับ เฟียซไปดูไบ?”
“ใช่แล้วละ เพราะฉะนั้นลูกต้องไปจัดการที่เมืองไทยให้เรียบร้อย แล้วพ่อจะส่งทีมตรวจสอบทุจริตตามไป”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็บังคับตัวเองไม่ให้กลอกตาไปมา รู้ดีว่าทีมตรวจสอบที่ว่าคือทีมโอดอลล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องการจัดการกับคนโกง โดยทีมนี้จะทำตั้งแต่ตรวจสอบเอกสาร รวมถึงบุคคลต้องสงสัย และสุดท้ายก็จัดการเก็บกวาดจนสิ้นซาก
การสนทนาดำเนินต่อไปอีกห้านาทีก็สิ้นสุด หลังจากนั้นเจ้าพ่อหนุ่มก็สั่งการให้คนสนิทเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทาง ซึ่งต้องเปลี่ยนจุดหมายจากดูไบเป็นเมืองไทยอย่างกะทันหัน นาทีนี้นึกเคืองน้องชายตัวดียิ่งนัก ที่ชอบก่อเรื่องไว้ให้ตามเก็บกวาดอยู่ร่ำไป หากมีเจ้าพอร์ชคอยช่วยก็คงจะดีกว่านี้ ทว่ามันก็เป็นเพียงแค่ความคาดหวัง เพราะพอร์ช แฮคตัน น้องชายคนรองหายสาบสูญไปร่วมยี่สิบเก้าปีแล้ว
“ถ้านายยังอยู่กับพวกเรา ป่านนี้นายก็อายุสามสิบเอ็ดแล้วสินะ”
เจ้าพ่อหนุ่มหล่อรำพันด้วยความเจ็บปวด ทุกคนในบ้านต่างจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้ดี วันนั้นมัมเจ็บท้องจะคลอดเฟียซ แด็ดจึงรีบเร่งไปยังโรงพยาบาล แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เพราะเมื่อเฟียซคลอด พอร์ชก็หายออกจากบ้านไปอย่างไร้ร่องรอย บาดแผลนี้ล้วนทำให้ทุกคนเจ็บปวด โดยเฉพาะมัมที่ถึงกับร้องไห้เจียนขาดใจ แม้เวลาผ่านไปหนึ่งปีแต่อาการเศร้านั้นก็ไม่จางหาย กระทั่งตั้งท้องและคลอดลูกพีชออกมา ทุกอย่างจึงดีขึ้นตามลำดับ
แต่กระนั้นตลอดหลายสิบปีมานี้ความรู้สึกของทุกคนก็ยังมีพอร์ชอยู่ใกล้ๆ ยังจัดงานวันเกิดให้พอร์ชทุกปี พี่น้องทุกคนได้อะไร พอร์ชก็จะได้เช่นกัน และตอนนี้ทุกคนก็รอให้พอร์ชกลับมาสู่อ้อมกอด ถึงแม้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะลงทุนจ้างนักสืบนับสิบๆ รายให้สืบค้น แต่ก็ยังคงไร้วี่แวว แม้ผลจะเป็นเช่นนั้น หากทุกคนก็ไม่เคยหมดหวัง และเชื่อมั่นว่า พอร์ช แฮคตันยังคงมีชีวิตอยู่ และสักวันคงจะได้กลับมาอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก
ท่านประธานหนุ่มตีหน้าเครียด ปล่อยตัวเองอยู่กับภวังค์ความเจ็บปวดซึ่งไม่เคยเลือนหาย กระทั่งได้ยินเสียงลูกน้องมือดีร้องเรียกอยู่ใกล้ๆ ถึงได้ขยับตัว แล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อข่มความอ่อนแอที่ฉาบขึ้นมาเกลื่อนดวงตา เมื่ออาการกลับเป็นปกติ ปากหยักจึงร้องถาม
“มีอะไร”
“คุณเฟียซโทรเข้ามาเบอร์นี้ครับ” แบรดรายงาน พร้อมยื่นโทรศัพท์อีกเครื่องมาตรงหน้า
แฟรงค์จ้องโทรศัพท์อยู่เพียงครู่เดียว ถอนหายใจพรืดใหญ่ แล้วคว้ามาแนบใบหู ก่อนจะกรอกเสียงห้าวเข้มทักทายต้นสายด้วยถ้อยคำติดจะต่อว่าแกมประชดเล็กน้อย
“โทรหาพี่ได้แล้วเหรอ นึกว่าจะไม่ติดต่อกลับมาซะอีก”
“ไปกินรังมดที่ไหนมาครับคุณพี่ชาย กัดซะเจ็บเชียว” คนอยู่ดูไบเอ่ยเย้าหยอก แต่ต้องเย็นวาบไปทั้งสันหลัง เมื่อคนเป็นพี่ยังเอ่ยเสียงดุเสมอต้นเสมอปลาย
“นายไปดูไบทำไมไม่บอกพี่”