"อาจจะเพราะชื่นชมหรือเห็นอกเห็นใจสงสารด้วยหรือเปล่าก็อาจจะใช่ หลังจากที่แม่เขาออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว เขาก็มีโทรมาถามว่าถ้าแม่มีอาการผิดปกติแบบนี้ต้องทำอะไรยังไง เราก็เลยคุยกันมาเรื่อย ๆ จนเพื่อน ๆ ก็คิดว่าเราคบกัน แต่จริง ๆ พี่มาตกลงคบเขาในฐานะแฟนก็หลังจากนั้นเป็นปี ด้วยความที่พี่เป็นหมอก็จะยุ่งไม่ค่อยมีเวลาอยู่แล้วไหนพี่จะเรียนโทอีก เลยตัดสินใจซื้อคอนโดใกล้โรงพยาบาลที่พี่ทำงานตอนนั้น"
"ไม่ใช่ที่นี่"
พิชญากรถามขึ้น ให้คนพี่ส่ายหน้า เฮ้อ รู้สึกโล่งใจแปลก ๆ
"คบกันมาจนเขาเรียนจบก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหนักหนานอกจากเขาจะบ่นงอแงบ้างว่าพี่ไม่มีเวลาให้ อยากไปเที่ยวไหนก็ต้องไปกับเพื่อนอยากไปกับแฟนบ้างก็แทบจะนับครั้งได้ พี่ก็คงมีส่วนผิดตรงนี้ด้วยแหละ เพราะตอนนั้นทั้งเรื่องงานเรื่องเรียนก็แทบไม่มีเวลานอนอยู่แล้ว พี่เลยซื้อแหวนมาให้เขาวงหนึ่ง ประมาณว่ากึ่งเป็นคำมั่นสัญญานั่นแหละค่ะ
ว่าถึงพี่จะไม่ค่อยมีเวลาไปไหนมาไหนกับเขาแต่พี่ก็ไม่ได้มีใครอยากให้เขามั่นใจว่ายังไงพี่ก็มีเขาคนเดียว หลังจากนั้นก็เหมือนเขาจะเลิกบ่นเรื่องเวลา แต่กลับมีเรื่องเงินเข้ามาขอความช่วยเหลือจากพี่เรื่อย ๆ คือบ้านเขาจริง ๆ อยู่ต่างจังหวัดพี่ก็ไม่เคยไปหรอก เขาก็บอกพ่อกับแม่เริ่มมีปัญหาเรื่องสุขภาพทำงานไม่ไหวแล้ว ค่าใช้จ่ายเขารับผิดชอบคนเดียวไหนจะหลานอีกสามคน เขาต้องส่งเงินกลับบ้านประมาณเดือนล่ะสองหมื่นอย่างต่ำ และตอนนั้นเขาก็ผ่อนรถอยู่ด้วยพี่ก็เข้าใจว่า อืมไหน ๆ เราก็เป็นแฟนกันแล้วจะช่วยครอบครัวแฟนก็เป็นเรื่องปกติพี่ก็ช่วยเขาทุกเดือนกับค่าใช้จ่าย เรื่องมันไม่จบแค่นั้นหรอกค่ะ
พี่มารู้ทีหลังว่าหลานที่เขาบอกน่ะหนึ่งในนั้นเป็นลูกเขาเอง เรื่องเด็กพี่ไม่มีปัญหา เขาบอกที่ไม่อยากให้ใครรู้ก็เพราะเขาอายที่พลาดท้องตั้งแต่เรียนม.ปลาย พี่ก็บอกช่างมันเถอะพี่ไม่ได้รังเกียจพี่ยินดีรับเป็นลูกบุญธรรมด้วยซ้ำ แต่ก็เหมือนจะเป็นโชคดีของพี่หรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะที่ยังไม่ได้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ที่จริงก่อนนั้นก็มีเพื่อนเขาเตือนว่าเห็นคนของพี่ไปกับผู้ชายคนหนึ่งหลายครั้ง และมีมาส่งกันถึงคอนโดด้วย พี่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนที่ทำงานเขาก็ได้ เพราะอาชีพของเขาก็มีผู้ชายผู้หญิงเยอะเหมือนกัน
พอพี่ถามเขาก็บอกเพื่อนที่ทำงานวันไหนงานเลิกดึกเพื่อนเป็นห่วงเขาก็จะมาส่ง พี่ก็เชื่อเพราะไม่อยากเก็บเอามาเป็นเรื่องทะเลาะกัน แต่จริง ๆ ผู้ชายคนนั้นคือพ่อของเด็ก เขากลับมาคุยกันเป็นปีแล้วด้วยซ้ำหลังจากผู้ชายเรียนจบ เจ็บที่สุดก็คือเขาพากันมานอนด้วยกันที่ห้องที่เตียงที่เราเคยนอน ห้องคอนโดที่เป็นของพี่ แล้วรถที่ผู้ชายคนนั้นขับก็เอาเงินที่พี่ช่วยเขาส่งให้ทางบ้านไปผ่อนรถคันนั้น หึ เหมือนพี่โง่มากเลยตอนนั้น พี่ไม่ได้เสียดายเงินแต่พี่เจ็บใจเสียดายความรู้สึกดี ๆ เชื่อใจไว้ใจที่มีให้เขา"
เสียงแค่นหัวเราะกับรอยยิ้มเหมือนจะสมเพชหรือไว้อาลัยให้อดีตตัวเองซะมากกว่า พิชญากรฟังเรื่องราวของพี่เขาแล้วก็อึ้งไปเหมือนกัน เป็นเธอก็คงเจ็บน่าดูถ้าเจอแบบนี้
"แต่พี่หมอก็ผ่านมันมาได้นี่คะ คิดเสียว่าชดใช้กรรมเวรให้เขาไป ชาติก่อนพี่อาจจะเคยทำอะไรไว้กับสองคนนั้นก็ได้"
กนิษฐามองน้องพลางถอนหายใจก่อนจะยิ้มออกมา
"พี่ก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ ก็ขอให้เป็นเจ้ากรรมนายเวรคนสุดท้ายแล้วกัน เจอแบบนี้อีกพี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ ยอมรับว่าพี่ขยาด กลัวกับการที่จะเริ่มต้นกับใครใหม่"
"ถ้าคนเรามัวแต่เอาอดีตมาจองจำตัวเองอยู่ทุกวัน แล้วปัจจุบันกับอนาคตจะมีความสุขได้ยังไงคะพี่หมอ พายว่า อดีตมันอาจจะทำร้ายเราในตอนนั้น แต่มันก็ผ่านไปแล้วเราจำมันเป็นบทเรียนได้ แต่เราไม่ควรยึดติดนำมาทำร้ายอนาคตนะคะ"
นี่คือคำพูดของดาราเจ้าบทบาทที่รับบทนางร้าย ช่างเป็นอะไรที่คาดไม่ถึงว่าจะได้ยิน พิชญากรไม่ได้มีดีเพียงหน้าตา แต่ยังมีความคิดและจิตใจที่ดีอีก แตกต่างจากบทบาทในอาชีพของเธอเหลือเกิน แต่กับอีกคนที่ทำตัวแสนดีต่อหน้าลับหลังกลับกลายเป็นนางร้ายยิ่งกว่าในละครซะอีก รอยยิ้มผุดขึ้นมาแต้มเรียวปากสวยสายตาแสดงความชื่นชมถูกส่งให้คนตรงหน้าอย่างเปิดเผย
"ยิ้มอะไรคะ?"
"ทำไมคะ พี่ยิ้มไม่ได้หรือไง"
"ยิ้มได้ค่ะ แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าอะไรที่ทำให้พี่เผยรอยยิ้มแบบนี้ออกมาได้"
ก็ตอนนี้พี่หมอยิ้มทั้งปากและตา เหมือนว่ากำลังมีความสุขอะไรอย่างนั้นแหละ ทั้งที่พี่เขาเพิ่งเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดในอดีตให้เธอฟัง
"ก็...พี่มีความสุขก็เลยยิ้ม และสาเหตุที่มาของความสุข ก็คือคนที่นั่งคุยอยู่กับพี่ตอนนี้แหละค่ะ"
น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนที่เอ่ยบอกทำเอาคนฟังใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีกแล้ว พี่หมอทำไมชอบพูดอะไรแบบนี้ตลอดเลย กนิษฐายิ่งกลั้นยิ้มแทบไม่ไหวเมื่อคนที่เพิ่งจะเอ่ยคำแนะนำดี ๆ ให้กันตอนนี้ก้มหน้าก้มตาเก็บซากกล่องอาหารไม่ยอมเงยมาสบตากันซะแล้ว
"พาย นี่พายไม่รู้จริงเหรอว่าพี่กำลังจีบเราอยู่"
ห๊ะ! ใบหน้าสวยเงยมามองอย่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน ก่อนที่สีแดงจากเลือดฝาดจะกระจายไปทั่วใบหน้าและลำคอเมื่อตั้งสติได้
กนิษฐาหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ น่าเอ็นดูจริง ๆ เลย
"ว่าไงคะ พายรังเกียจพี่หรือเปล่า"
พิชญากรส่ายหน้าพรืด นี่ก็จะไม่ให้เธอไตร่ตรองตั้งสติเลยหรือไง เธอยังตกใจอยู่เลยนะเมื่อกี้
"เดี๋ยวนะคะ เมื่อกี้พี่หมอบอกว่าจีบพาย ทำไมมันเร็วจังไหนบอกว่ากลัวการเริ่มต้นใหม่ แถมเราเพิ่งคุยกันสองวันเองนะคะ"
บทจะตรงก็ยังกับลูกธนูพุ่งออกจากคันศร แล้วจะให้เธอตอบว่ายังไงล่ะ
"เอาจริง ๆ พี่สนใจพายตั้งแต่ได้ดอกกุหลาบวันนั้นแล้วค่ะ เพียงแต่ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสได้มาเจอได้คุยกันแบบนี้ จะว่าพี่ฉวยโอกาสเอาเวลาช่วงนี้สานสัมพันธ์ก็ไม่ผิดหรอก เพราะนอกจากที่นี่พี่คงไม่มีโอกาสได้อยู่กับคุณตามลำพัง"
คำสารภาพยิ่งทำเอาหัวใจคนฟังแทบจะหลุดกระเด็นออกมานอกอกจากอาการเต้นรัว บ้าจังนั่นมันนานมากปีกว่าแล้วนะ ริมฝีปากนุ่มเผลอกัดเม้มเข้าหากันอีกครั้ง ยิ่งสายตายิ้มได้ที่สบประสานก็ยิ่งพาให้ใบหน้าร้อนผ่าว งื้อ พี่หมอน่ะ อย่ามองแบบนี้นะ
"แล้ว จะให้พายตอบอะไรพี่ล่ะ ก็เล่นมาบอกกันแบบนี้น่ะ"
กนิษฐาหลุดยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู หน้าแดงหูแดงไปหมดแล้ว เฮ้อ น่าฟัดจริง ๆ แก้มแดง ๆ นั่นน่ะ
"ก็ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ แค่ให้รู้ว่าพี่คิดอะไร เราก็คุยกันไปแบบนี้แหละ จนกว่าพายจะรู้สึกอะไรกับพี่"
รู้สึกเขินน่ะตอนนี้ ทำตัวไม่ถูก
"แล้วไม่กลัวพายจะเป็นนางร้ายทำร้ายพี่อีกคนหรือไงคะ"
คุณหมอหัวเราะ แถมยังส่ายหน้าอีก
"นางร้ายในทีวีอาจจะเป็นคนรักที่ดีในชีวิตจริงก็ได้นี่คะ"
"พี่หมอน่ะไปหัดเอาคำพูดเสี่ยว ๆแบบนี้มาจากไหนคะ"
"จากน้อง ๆ นักศึกษาแพทย์มั้งคะ"
"มีเด็กในสังกัดเยอะเหลือเกินนะคะ"
เสียงหัวเราะขบขันของพี่เรียกสายตาค้อนเล็ก ๆ กลับมาทันควัน
"ลูกศิษย์บางคนเขาก็เป็นครูให้เราในบางเรื่องได้เหมือนกันนะคะ อย่างน้อยพวกคำแซวต่าง ๆ ก็ทำให้พี่เอามาพูดให้คุณเขินได้"
มีลูกศิษย์เป็นครูนี่เอง เล่นเอาเธอสับสนไปหมด
"ไหน ๆ อีกไม่กี่วันก็จะวาเลนไทน์แล้ว คุณติดงานที่ไหนหรือเปล่า"
"ก็ติดถ่ายละครที่นี่แหละค่ะ"
คำตอบก็ทำให้ได้รอยยิ้มที่เห็นแล้วนอกจากเขินมันยังรู้สึกหมั่นไส้ด้วยสิ
"งั้น เลิกงานแล้วเราดินเนอร์กันนะ"
"หืม อย่าบอกว่าพี่หมอจะพาไปข้างนอก"
กนิษฐาส่ายหน้าขำ
"ไปข้างนอกคุณก็เป็นข่าวสิคะ เอาเถอะค่ะพี่มีสถานที่ดี ๆ และเป็นส่วนตัวด้วยรับรองไม่มีภาพหลุดแน่นอน"
แม้จะแอบตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดเพราะไม่เคยคิดว่าอยู่ดี ๆ ก็ต้องมาทำตัวเหมือนว่าเธอกำลังจะออกเดทกับคนรู้ใจ แต่ความรู้สึกกลับไม่คิดจะปฏิเสธพี่เขาเลยสักนิด แต่คาใจนิดหน่อย
"พี่หมอ ทำไมถึงสนใจพาย"
"แล้วพายไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรดึงดูดพี่บ้างหรือไง บางทีเหตุผลมันก็คือไม่มีเหตุผล แต่ที่ทำให้พี่อยากรู้จักคุณมากขึ้นเพราะบทนางร้ายในละครกับตัวจริงคุณนี่แหละ ถ้าพี่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นคนที่มีอะไรดึงดูดคนให้อยากรู้จักคุณโดยไม่รู้ตัว"
"อันนี้คือชมใช่มั้ยคะ"
แม้จะขัดเขินกับคำพูดของพี่เขาแต่ก็อดแกล้งถามไม่ได้
"ไม่ได้ชมค่ะ แค่บอกความรู้สึก"
"อ้าว!"
กนิษฐาหัวเราะขำ
"ก็คุณถามความรู้สึกพี่ไม่ใช่เหรอคะ พี่ก็บอกไปตามจริงนั่นแหละ ตัวจริงคุณน่ารักสมกับที่หลายคนเขาพูดถึงนั่นแหละค่ะ อันนี้ชม"
กนิษฐาแยกกันกับน้องช้ากว่าเมื่อวานไปร่วมครึ่งชั่วโมงกลับถึงที่พักก็สามทุ่มเศษแล้ว รอยยิ้มยังคงแตะแต้มบนดวงหน้าก่อนจะเปิดดูข้อความสั้น ที่ถูกส่งมาเมื่อไม่กี่นาทีว่าน้องถึงที่พักเรียบร้อยแล้ว เธอกดส่งกลับไปว่าถึงแล้วเช่นกัน พร้อมสติกเกอร์บอกฝันดี ก่อนจะกดโทรออกหามารดาพูดคุยกับท่านอย่างทุกคืน
"เพิ่งถึงห้องเหรอลูก"
"ค่ะแม่ คุยกับน้องเพลินไปหน่อยเลยออกมาช้าค่ะ แม่คะเกมส์บอกความรู้สึกน้องไปแล้วนะ"
"เหรอ ๆ แหมเร็วดีจัง แล้วหนูพายว่ายังไงบ้าง"
กนิษฐาอมยิ้มกับน้ำเสียงตื่นเต้นของมารดา ก็เธอคุยกับท่านว่าจะลองจีบพิชญากรดู ถ้าน้องไม่รังเกียจว่าเธอเป็นผู้หญิงเหมือนกัน
"ก็ตกใจค่ะ แต่น้องก็ไม่ได้ห้ามหรือว่าอะไร ออกจะเขิน ๆ ทำตัวไม่ถูกมากกว่า"
"ก็เราไปสารภาพสายฟ้าแลบแบบนั้นเป็นใครไม่ตกใจบ้าง แต่แม่ก็ดีใจด้วยนะอย่างน้อยน้องก็เปิดโอกาสให้ จะทำอะไรก็ระมัดระวังให้เกียรติน้องด้วย ยิ่งเป็นคนดังมีข่าวขึ้นมาน้องจะเสียหายได้ ถึงจะเป็นผู้หญิงทั้งคู่ก็เถอะ"
พรรณิการ์บอกกับลูกสาวแม้หมอเกมส์จะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ในความเป็นแม่ก็ยังต้องคอยบอกคอยสอนลูกอยู่เสมอ
"เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องกังวลนะคะเกมส์จะระวังให้เกียรติน้องนี่เกมส์ว่าจะโทรคุยกับคุณปู่ของพาย จะได้ขออนุญาตท่านไปด้วย อย่างน้อยเผื่อมีเรื่องหรือข่าวอะไรขึ้นมาท่านก็ยังรับรู้ในความสัมพันธ์ของเรา ส่วนพ่อกับแม่ ก็คงให้พายเป็นคนบอกท่านเอง ถ้าเมื่อไหร่น้องพร้อมเกมส์ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ"
"อืม ดีแล้วลูกบอกผู้ใหญ่ให้ท่านรับรู้เอาไว้ก็ดีถือว่าเราให้เกียรติไม่ข้ามหัวผู้หลักผู้ใหญ่ท่านนะ งั้นหนูก็พักผ่อนเถอะจ๊ะ เดี๋ยวแม่ก็จะเข้านอนแล้วล่ะ"
"ค่ะ ฝันดีค่ะแม่"
คุณปู่จะว่ายังไงนะที่จู่ ๆ ก็ส่งหลานสาวมาให้เธอจีบแบบนี้ คิดไปแล้วก็อดยิ้มไม่ได้นึกถึงวันงานหนังสือที่ได้คุยกับท่าน ตอนที่เธอบอกว่าเธอไม่ได้ชอบผู้ชาย ท่านดูอึ้งไปนิดหน่อยเหมือนคิดไม่ถึงประมาณนั้น แต่เพราะความอารมณ์ดีของท่านด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่ท่านเอ่ยขึ้นมาว่า
"หลานสาวปู่ก็สวยนะ จนป่านนี้ก็ยังไม่มีแฟน ไม่รู้ชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เพื่อนสนิทเขาสองคนก็เพิ่งแต่งงานกับผู้หญิงด้วยกัน หนูน่าจะรู้จักอยู่มั้ง "
ใช่ เธอรู้จักทั้งอัยศิกาที่แต่งกับจิณตภัทร และรู้จักกับปรางวรัญที่แต่งกับเจติยา แม้ไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัวแต่ก็เคยได้เจอพูดคุยกันมาก่อนทั้งคู่
เสียงเคาะประตูห้องพักดังขึ้นตอนสามทุ่ม เจติยาที่นั่งดูทีวีกับปรางวรัญมองหน้ากันยิ้ม ๆ แม่คนมารยาทดีมีคีย์การ์ดแต่ไม่ยอมเปิดเข้ามา เธอจึงลุกขึ้นส่องดูจอมอนิเตอร์เล็กก่อนส่ายหน้ายิ้มขำ แค่เพียงบานประตูเปิดออก ร่างของเพื่อนรักก็โถมตัวเข้ามากอดทันที แถม ฟอดด
"คิดถึงจัง"
"เดี๋ยว ๆ น้องพาย นั่นภรรยาพี่นะคะ"
ปรางวรัญเมื่อเห็นสองสาวกอดรัดกัน แถมคุณนางร้ายก็ยังหอมแก้มเจติยาอีก ไม่ได้หวงจริงจังหรอกแค่อยากจะแกล้งขัดเท่านั้น
"ภรรยาพี่ปราง แต่เพื่อนรักของพายค่ะ หวงมากเดี๋ยวคืนนี้จะไปนอนคั่นกลางซะเลยดีมั้ยเนี่ย"
"โอ๊ะ ไม่ดีหรอกค่ะ เดี๋ยวพี่นอนไม่หลับถ้าขาดหมอนข้างคนนี้"
คิก ๆ นางร้ายสาวหัวเราะคิกคัก แต่อดีตนางเอกหน้าหวานได้แต่ส่ายหน้ายิ้มกับความขี้แกล้งของเพื่อน
"กลับช้าจังรถติดเหรอพาย"
"ไม่ติดหรอกแต่ออกมาช้ากว่าเมื่อวานนิดหน่อย เดี๋ยวนะขอโทรรายงานตัวกับแม่แป๊บนึง"
เจติยาพยักหน้ากลับมานั่งลงข้างคนรัก ปล่อยให้เพื่อนสาวใช้เวลาส่วนตัว
"ฮัลโหลคุณแม่ พายถึงห้องแล้วค่ะ อ่อ คืนนี้พี่ปรางกับเจมาค้างที่คอนโดด้วยนะคะ"
"เหรอจ๊ะ ดีแล้วล่ะจะได้มีเพื่อน แล้วนี่ทานอะไรหรือยังลูก"
"เรียบร้อยมาจากที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ คุณพ่ออยู่ด้วยมั้ยคะ"
"อยู่นี่แหล่ะจ๊ะ อ่ะ คุยหน่อยบ่นคิดถึงลูกสาวทั้งวัน"
พิชญากรอมยิ้ม พ่อเธอก็เป็นแบบนี้แหละ คิดถึงคงไม่เท่าไหร่แต่ห่วงเธอน่ะคงมาก
"สวัสดีครับคุณลูกสาว เพิ่งถึงที่พักเหรอลูก"
"ค่ะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เจกับพี่ปรางจะมาค้างเป็นเพื่อนทั้งสัปดาห์เลย ยังไงวันอาทิตย์พายก็กลับมานอนบ้านแล้วนะคะ"
"ครับ ดูแลตัวเองนะลูก พ่อเป็นห่วงเรื่องขับรถนั่นแหละ"
"พายระวังอยู่แล้วขับช้าจนชาวบ้านเขาจะบีบแตรไล่อยู่แล้วค่ะ คิดถึงนะคะไว้คุยกันใหม่ฝันดีนะคะคุณพ่อ ฝากหอมแก้มคุณแม่ด้วยค่ะ"
"โอเคจ๊ะ ฝันดีครับคนสวยของพ่อ"
ก่อนจะวางสายก็ยังทันได้ยินเสียงดังฟอด กับเสียงหัวเราะของบิดาตามมาให้เธออมยิ้มในความน่ารักของท่าน
"พี่ปรางคะ ขอตัวเจสักชั่วโมงนะคะ"
ปรางวรัญพยักหน้ายิ้มให้ สองสาวคงมีเรื่องอะไรอยากคุยส่วนตัวนั่นแหละ
"ตามสบายจ๊ะ"
เจติยาถูกเพื่อนรักจับจูงเข้ามาในห้องนอนอีกห้องก็อดยิ้มไม่ได้ ท่าทางแปลก ๆ แบบนี้แสดงว่าเพื่อนเธอต้องมีเรื่องอะไรแน่
เมื่อพากันมานั่งลงที่เตียงนุ่ม พิชญากรก็มองหน้าเพื่อน ที่จริงก็อายนะที่ต้องมาบอกอะไรตอนนี้ แต่ในเมื่อเธอยังสับสนกับความรู้สึกแปลก ๆ ของตัวเองก็อยากจะได้คำแนะนำจากเพื่อนด้วย
"เจ ตอนที่เจอกับพี่ปรางแรก ๆ เจมีอาการยังไง แบบหัวใจเต้นแรงมั้ย แล้ว เวลาพี่เขาพูดเหมือนจีบเจ เจเขินมากเปล่า"
หืม เจติยาฟังแล้วก็หลุดหัวเราะออกมา ถามแบบนี้ต้องเจออะไรมาแน่ ๆ
"หัวใจเต้นแรงมากตอนรู้ว่าคนที่เราขับรถเฉี่ยวรถเขาคือปราง คนที่เคยช่วยพาเราไปทำแผลเมื่อตอนเด็ก มันทั้งดีใจตื่นเต้นผสมปนเปกันน่ะก็นะมันเป็นเรื่องประทับใจมาตั้งแต่เด็กไม่คิดว่าจะกลับมาเจอกันอีก ส่วนเรื่องเขิน ก็เขินตลอดแหละ ยิ่งปรางชอบพูดแหย่แกล้งตลอด บางทีไม่ต้องพูด แค่เขาใช้สายตาจ้องมองเราก็เขินแล้วพาย"
พิชญากรกัดริมฝีปากใบหน้าเริ่มร้อน ถึงว่าสิ เมื่อกี้ที่พี่เขาบอกขาดหมอนข้างคนนี้ไม่ได้เจติยาก็ยังหน้าแดง ๆ
"สายตาแบบไหนอ่ะ"
"สายตาเหมือนเวลาพระเอกจ้องเราตอนที่เขาสื่อความรู้สึกรักผ่านดวงตาไง"
เจติยาตอบกลับทั้งยังยิ้มเหมือนกำลังคิดอะไร แต่คนตั้งคำถามออกอาการเลิ่กลั่กจนผิดสังเกตุ พิชญากรหลบตาเพื่อนครุ่นคิดไปถึงการกระทำของคนบางคน อย่างพี่หมอมองเรามันสื่อแบบนั้นมั้ยนะ แค่พี่เขาใช้สายตาหวานมองแล้วยิ้มเราก็เขินแล้ว งื้อ แค่คิดก็อาย
"ใครกันนะทำให้เพื่อนเราอายหน้าแดงแบบนี้ได้ แสดงว่าต่อหน้าหัวใจต้องเต้นแรงกว่านี้แน่เลย"
ไม่ได้พูดเฉย ๆ แต่เจติยายังยื่นมือไปทาบอกซ้ายของเพื่อนรักจนอีกคนสะดุ้ง นั่นยิ่งเรียกเสียงหัวเราะคิกคักชอบใจ