Love's so hot รักรสเผ็ดร้อน
บทที่ 5
เช้าวันนี้สวรสยังคงวุ่นวายอยู่กับการกดโทรหาพี่สาวที่หายไปตั้งแต่เมื่อคืนจนตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ จริงๆ แล้วศิริลักษณ์ไปไหนมาไหนก็ไม่ค่อยบอกอยู่แล้วเว้นแต่ว่ารำคาญก็จะแชทมาบอกว่าจะไปไหน แต่นี่โทรหาตั้งแต่เมื่อคืนจนเช้านี้ก็ยังติดต่อไม่ได้ ตากลมโตมองดูนาฬิกาที่หน้าจอโทรศัพท์เห็นเวลาสมควรออกไปที่ทำงานแล้วจึงตัดสินใจเก็บข้าวของแล้วมุ่งหน้าไปทำงานทั้งที่ยังคงคิดเรื่องพี่สาวอยู่
เมื่อมาถึงก็ตรงไปที่โต๊ะทำงานตัวเองจัดการเตรียมเอกสารต่างๆ แต่ยังลอบมองที่โทรศัพท์อยู่เป็นระยะเพราะยังเฝ้ารอให้พี่สาวติดต่อมา
"รส บอสบอกให้ไปหาที่ห้องนะ"
เพื่อนร่วมงานเดิมมาบอกกับคนที่กำลังจัดแจงข้าวของ ใบหน้าที่เป็นกังวลเปลี่ยนไปยิ้มร่าก่อนจะพยักหน้ารับ ทุกครั้งที่รัดดาเรียกไปเจอมันต้องมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เรื่อย คนถูกเรียกลุกจากโต๊ะพร้อมกับถอนหายใจก่อนจะสาวเท้าตรงไปที่ห้องทำงานของรัดดา
"มีอะไรคะพี่ดา"
"อ๋อ...นั่งก่อนสิ พี่มีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย"
คำว่ามีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อยคือการบอกแบบอ้อมๆ ว่ามีเรื่องจะใช้แน่นอน ร่างบางหย่อนบั้นท้ายลงนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้อง
"คืองี้นะ อาทิตย์หน้ามีงานเลี้ยงครบรอบบริษัทของคุณเฉินหมิง พอดีว่าเค้าเนี่ย ชวนพี่ไปแต่พี่ไม่ว่างวันนั้นพอดี๊เลย ก็เลยแบบว่า....แหะๆ"
รอยยิ้มเสแสร้ง น้ำเสียงเว้าวอน คำพูดคำจาปูมาขนาดนี้ สวรสเดาเกมได้เลยว่าเฉินหมิงจินของให้เงินหรือให้อะไรสักอย่างกับรัดดาเพื่อซื้อตัวเธอแน่ๆ เพราะฐานะ หน้าตา ชื่อเสียง ระดับเฉินหมิงรัดดาคงไม่อยากให้มาลงเอยกับเธอแน่
"ว่าไงคะ"
"แบบว่าพี่จะขอให้รสไปแทนพี่ได้มั้ย"
เป็นไปตามที่คิดไว้ไม่มีผิด แต่ไอ้ครั้นจะปฏิเสธเลยคงน่าเกลียดแย่ ยังพอมีเวลาอีกเป็นอาทิตย์ที่จะขอกลับมาตัดสินใจทั้งที่ไม่อยากไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
"ค่ะ รสขอคิดดูก่อนนะคะ เพราะไม่รู้รสจะว่างมั้ย"
"แหม ว่างอยู่แล้วล่ะ เดี๋ยวถ้ามีคิวพี่จะเคลียร์ให้เอง"
สวรสจ้องมองคนพูดด้วยสายตาที่แสดงถึงความประหลาดใจ จริงๆ เธอตั้งใจมองแบบนั้นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกมาดูเกินหน้าเกินตาไปหน่อย
"เอ่อ...พี่หมายถึงว่า คุณเฉินหมิงเค้า...เป็นหุ้นคนสำคัญ ถ้าเราแบบ ไม่ส่งตัวแทนไปมันจะน่าเกลียดน่ะ ใช่มั้ยฮ่าๆๆ ใช่มั้ยล่ะ"
รัดดาทำทีหัวเราะกลบเกลื่อน สวรสเพียงพยักหน้ารับเบาๆ
Rrrrr~ เสียงเรียกเข้าของสวรสดังขึ้นทำให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ก่อนจะหงายโทรศัพท์ขึ้นดูและพบว่า หน้าจอแสดงชื่อของพี่สาว
"ขอโทษนะคะพอดีรสกลัวพี่ลักษณ์โทรมาแล้วจะไม่ได้ยินก็เลยเปิดเสียงไว้"
สวรสเงยหน้าขึ้นไปแก้ต่างกับคนที่กำลังจ้องอย่างจริงจัง สาวอวบเพียงยิ้มรับแล้วพยักหน้าพร้อมทั้งผายมือบอกให้สวรสรับสาย
"รสขอตัวนะคะ ฮัลโหล"
เมื่อลารัดดาเรียบร้อยร่างอรชรก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องมาทันที
"มีอะไรโทรมาสายแทบไหม้ โจรขึ้นบ้านหรือบ้านไฟไหม้ล่ะฮะ!!"
เสียงแผดตะหวาดดังลั่นออกมาจากโทรศัพท์ ทำให้มือเรียวต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหู
"รสเป็นห่วงพี่นั่นแหละไปไหนไม่บอก"
"ห่วงฉัน? ห่วงทำไม ห่วงเรื่องอะไร"
"พี่เป็นผู้หญิง มันอันตราย"
"โว้ย รำคาญ ฉันสบายดี โอเคนะ"
"ค่ะ"
แม้จะบอกตัวเองเสมอว่าไม่รักน้องแต่ลึกๆ แล้วความเป็นพี่ก็อดจะแสดงความรักออกมาอย่างไม่รู้ตัว ร่างบางที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยช้ำประคองตัวเองให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำชำระล้างร่างกาย เมื่อคืนเธอผ่านศึกหนักมากจนร่างแทบสลาย เลยจำเป็นต้องนอนที่นี่คนเดียว เพราะเฉินหมิงเจ้าของห้องเมื่อได้ระบายอารมณ์แล้วก็ไม่สนใจใยดีคู่นอนแม้สักน้อย อาบน้ำใส่เสื้อผ้าแล้วกลับไปนอนบ้านตัวเอง ทิ้งให้ศิริลักษณ์นอนจมน้ำสวาทอยู่คนเดียวในห้อง ไม่แม้แต่จะประคองพาไปนอนบนเตียง
เมื่อถึงเวลาเลิกงานสวรสรีบตรงกลับบ้านโดยแวะตลาดใกล้ๆ บ้านเพื่อซื้อของกินกลับมามากมาย มาถึงบ้านเงียบราวกับไม่มีคนอยู่แต่เห็นรถของพี่สาวจอดอยู่ในที่จอดรถจึงมั่นใจว่าเจ้าตัวน่าจะอยู่ที่บ้าน
"พี่ลักษณ์!!" ก๊อกๆๆ
"พี่ลักษณ์ รสกลับมาแล้วนะซื้อของโปรดพี่ลักษณ์มาด้วย"
ก๊อกๆๆ
"พี่ลักษณ์!!"
"อืม ใส่ตู้ไว้เดี๋ยวฉันออกไปกิน ขอนอนหน่อยง่วง"
หลังจากปล่อยให้น้องสาวเรียกอยู่นานก็ทนความรำคาญไม่ได้เลยต้องตัดสินใจขานรับ เพื่อให้คนที่เคาะอยู่นอกประตูหยุดเคาะสักที
สาวสวยในชุดฟอร์มบริษัทเดินหิ้วข้าวของพะรุงพะรังเข้ามาในครัวเพื่อจัดการเก็บเข้าที่
"คุณ"
"ว้าย!!!"
คนที่กำลังวุ่นอยู่กับการจัดตู้เย็นสะดุ้งโหยง เมื่อมีแขกไม่ได้รับเชิญเข้ามาทักทาย
"เบาๆ สิเดี๋ยวพี่คุณก็ได้ยินพอดี"
"นี่ คุณจะมาเข้านอกออกในบ้านฉันเหมือนบ้านตัวเองไม่ได้นะ"
"ผมบอกคุณแล้วไงว่าให้ล็อคประตูบ้าน อยู่กัน 2 คนผู้หญิงทั้งคู่มันอันตราย"
"ตั้งแต่อยู่มาก็มีแต่คุณนี่แหละที่บุกเข้ามาในบ้านฉันแบบนี้"
ลายไทยถอนหายใจยาว เขาขี้เกียจจะเถียงกับแม่นักจิตวิทยาสาวช่างเอาชนะคนนี้แล้ว ลายไทยเดินออกมานั่งรอที่เก้าอี้ห่างจากตู้เย็น จุดที่สวรสยังคงบรรจุของใส่ไม่หยุดไม่ไกลเท่าไหร่นัก
"มาทำไมอีก"
สวรสเอ่ยถามทั้งที่มือยังคงวุ่น ยู่กับผักต่างๆ
"มีอะไรกินมั้ย"
"ห้ะ!!!"
ร่างบางหันควับทันที คำตอบที่ได้พาให้คนถามต้องละมือจากทุกอย่างเพื่อหันมาดูหน้าคนตอบชัดๆ
"ผมหิวน่ะ"
"บ้านฉันไม่ใช่โรงทานนะคุณ หิวก็หาอะไรกินก่อนมาสิ"
"ก็มาถึงแล้ว มีอะไรกินมั้ย"
เขายังคงยืนยันที่จะขออาหารจากเจ้าของบ้านให้ได้ สวรสได้แต่ถอนหายใจ และยอมเดินไปตักข้าวราดกับข้าวที่เพิ่งซื้อมา ส่งให้กับลายไทยที่นั่งเท้าคางรออยู่
"มื้อนี้มื้อเดียว แล้วอย่ามาขออีก"
"ขอบคุณครับ"
"ตกลงมีอะไร คงไม่ได้มาขอข้าวกินเฉยๆ หรอกใช่มั้ย"
ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังวุ่นอยู่กับการกินข้าวด้วยความหิวโหย สวรสก็ยิงคำถามอย่างไม่รีรอ
"ก็เรื่องนั้นแหละ คุณจะได้ไปเจอกับมันอีกรึป่าว"
"หมายถึงคุณเฉินหมิงน่ะเหรอ"
ลายไทยแค่เงยหน้าขึ้นมาพยักตอบ เพราะในปากกำลังเต็มไปด้วยข้าว
"พี่รัดดาเจ้านายฉัน อยากให้ฉันไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่างแทนเค้า ถ้าไปก็คงเจอ"
"ไปสิ จะได้สนิทกับมัน ทีนี้คุณก็จะหลอกถามมันได้ง่ายๆ'
"ฉันไม่อยากไป นี่คุณไปหาคนอื่นแทนได้มั้ยฉันไม่อยากยุ่งกับเค้าแล้ว"
"นี่คุณ!! ลงเรือลำเดียวกันแล้ว ยังไงก็ต้องทำ"
"มันเสี่ยงมากเลยนะ ถ้าเค้าไม่ได้ทำแล้วมารู้ว่าโดนปรักปรำแบบนี้"
"ถ้าผมทำคนเดียวได้ ผมจะไม่พาคุณมาลำบากเลย"
สายตาที่จ้องลึกเข้ามาในตาของอีกฝ่ายสะท้อนให้เห็นถึงความจริงใจในคำพูดของตัวเองจนสวรสต้องใจอ่อนลงอีกครั้ง
"ก็ได้ๆ ยังไงคุณก็รีบๆ หาหลักฐานล่ะ จะได้จบๆ"
"ขอบคุณนะ ผมมองคนไม่ผิดจริงๆ คิดแล้วว่าคุณต้องเป็นคนดี"
"นี่ฉันไม่ได้บ้ายอหรอกนะ ที่ช่วยก็เพราะเห็นใจแฟน..คุณ...ต่างหาก"
สวรสค่อยๆ พูดด้วยเสียงที่เบาลงเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป
"คือ..ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ..."
"ไม่เป็นไรหรอก ผมทำใจพอได้แล้ว จริงๆ จูนเค้าโชคร้ายเองที่เกิดมาในประเทศที่คุกมีไว้ขังคนนามสกุลไม่ดังกับตังไม่ถึง จูนเค้าเป็นแค่เด็กต่างจังหวัดที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่คนชั่วมันกลับเป็นคนที่รวยล้นฟ้า รวยจนสามารถใช้เงินปกปิดความผิดร้ายแรงแบบนี้ได้จนมิด"
เมื่อนึกถึงความรวยล้นฟ้าของเฉินหมิงจิน สวรสก็พอจะเข้าใจสิ่งที่ลายไทยบอกมาตลอดว่าคดีถูกปิดเงียบทั้งที่เป็นข่าวใหญ่โตเมื่อหลายปีก่อน แต่วันเวลาผ่านไปข่าวดาราเล่นชู้ก็มากลบข่าวฆาตรกรรมสะเทือนขวัญไปจนหมดสิ้น ผู้เสพข่าวสนุกสนานอยู่กับการด่าทอดาราจนลืมติดตามความคืบหน้าของฆาตรกร ทำให้เงินเข้ามาแทรกแซงและลบคดีฆ่าหั่นศพไปกระทั่งหายไปจากสังคม