ไม่ต้องพูดแล้ว

2496 คำ
​ Love’ s so hot รักรสเผ็ดร้อน บทที่ 6 สวรสตัดสินใจรับปากจะไปงานแทนรัดดา เพราะทนแรงขอร้องจากลายไทยไม่ไหว เฉินหมิงพอรู้ว่าสวรสตกลงจะมางานก็รีบหาเสื้อผ้า ช่างแต่งตัวให้โดยลืมไปว่าแม่นักจิตวิทยาสาวคนนี้ไม่ได้ชอบการกระทำแบบนี้นักแต่ก็ใช่ว่าเธอจะปฏิเสธอะไรได้ ชุดราตรียาวสีดำเงาวับจากแบรนด์ดังแขวนอยู่ไม่ไกลจากจุดที่สวรสถูกช่างแต่งหน้าทำผมรุมทึ้งแต่งเติมเสริมความงาม ผิวพรรณที่ดีจากการบำรุงของเจ้าของเรือนร่างขับส่งให้ใบหน้านวลสวยสง่ายิ่งได้ช่างแต่งตัวระดับท็อปมาแต่งหน้าทำผมให้ก็ยิ่งสวยขึ้นไปอีก “ไม่ต้องแต่งอะไรมากเลยนะคะเนี่ย เครื่องหน้าคุณน้องมันสวยลงตัวดีอยู่แล้ว” ช่างแต่งหน้าสาวสองเอ่ยปากชม นี่ไม่ใช่การเยินยอแต่คือการพูดไปตามความจริง “ขอบคุณนะคะ” สวรสเพียงแค่เอ่ยบอกขอบคุณตามมารยาทของคนที่มีความนอบน้อม “ผมก็สวย สงสัยจะดูแลอย่างดี” ช่างทำผมว่าขึ้นบ้าง “ไม่หรอกค่ะ ปกติรสไม่ได้ทำอะไรกับผมเลย” ผ่านมานานพอสมควรทุกอย่างก็จบสิ้นลง ชุดราตรีถูกสวมใส่บนเรือนร่างบางระหง มันช่างลงตัวเหลือเดิน “นี่เป็นเครื่องเพชรที่คุณเฉินหมิงส่งมาให้คุณน้องใส่ไปงานนะคะ” ช่างแต่งหน้าเดินเข้ามาหาสวรสพร้อมกับกล่องเครื่องเพชรชุดใหญ่ ตากลมจ้องมองเพชรบนสร้อยตาลุกวาว ไม่ใช่เพราะความอยากได้ แต่ตกใจมากกว่าที่เขาเอาของมีค่าขนาดนี้มาให้เธอ ไม่ว่าจะให้ยืมหรือยกให้ก็ตาม เป็นตายยังไงเธอก็ไม่ยอมใส่แน่ เกิดไปทำของเขาหายต้องชดใช้เท่าไหร่กัน “ไม่เป็นไรค่ะ รสมีสร้อยของตัวเอง เดี๋ยวใส่อันนั้นดีกว่า” “ไม่ได้ค่ะ คุณเฉินหมิงกำชับมากว่ายังไงก็ต้องให้น้องใส่สร้อยเส้นนี้ให้ได้ ยอมใส่เถอะนะคะ ไม่งั้นพวกพี่ซวยกันหมดแน่” ความเป็นคนขี้เกรงใจของสวรสพาให้เธอต้องใจอ่อนไปเสียทุกที สร้อยเพชรน้ำงามถูกสวมอยู่ที่คอยาวระหงทั้งที่เจ้าตัวไม่พอใจนัก หลังทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว รถที่เจ้าของงานจัดเตรียมไว้ก็แล่นมารับแขกสุดพิเศษแล้วไปที่งานทันที ทันทีที่มาถึงความตระการตาก็พาให้สวรสต้องตะลึงตั้งแต่ยังไม่ได้ลงรถ บ้านหลังโตราวปราสาทราชวังหลังกำแพงสูงถูกประดับตกแต่งด้วยไฟแสงสีสุดอลังการ “เชิญครับ” เสียงเชื้อเชิญจากนอกประตูพาให้หญิงสาวหลุดจากความสนใจการประดับประดาต่างๆ เฉินหมิงลงทุนออกมารอรับแขกคนพิเศษด้วยตัวเองถึงหน้าประตู “ขอบคุณค่ะ จริงๆ คุณไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้นะคะ” “ขนาดไหน” “ก็ทั้งเสื้อผ้า หน้าผม ไหนจะเพชรในคอฉันอีก ฉันเกรงใจ” สวรสพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างชัดเจน คนฟังเองก็รับรู้ได้ถึงความรู้สึกนั้นเช่นกัน “ผมคงต้องพูดว่าขอโทษอีกครั้ง ผมแค่คิดว่ามันเหมาะกับคุณ” เขารู้สึกท้าทายกับการเดาใจแม่สาวคนนี้เหลือเกิน ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ยังไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาทำอะไรไปให้แล้วรู้สึกว่าเธอถูกใจ ร่างสูงพาแขกคนพิเศษเดินเข้ามาในงานใจจริงอยากให้เธอเดินควงใจแทบขาด แต่สวรสนั้นเลือกที่จะเดินห่างจากเขาราวกับไม่ได้เดินมาด้วยกัน ภายในงานถูกตกแต่งด้วยดอกบัวนานาชนิด ทั้งไฟ ทั้งดอกบัวที่ถูกตั้ง หรืออ่างบัวที่ถูกสั่งให้นำมาตกแต่ง ทั้งสิ้นล้วนแล้วแต่จะเอาใจคนที่เดินตามหลังอยู่แต่แอบมองดูปฏิกิริยากลับรู้สึกว่าหล่อนเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรแม้แต่น้อย "สวัสดีค่ะบอส" ระหว่างที่บทสนทนาของเฉินหมิงและสวรสนั้นดูจะจูนกันยากเย็น ผู้หญิงคนหนึ่งได้เดินเข้ามาทักทายเจ้าของงานอย่างสนิทสนมทำให้เขาต้องละสายตาจากการชื่นชมความงดงามของหญิงสาวตรงหน้าแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนที่เข้ามาทักทาย "อืม สวัสดีนิต้า" เราตอบรับตามมารยาทและฟังดูห่างเหินจนอีกฝ่ายถึงกับหน้าเสีย สาวลูกครึ่งอดีตเลขาฯ ของเฉินหมิงจินแอบมองคนที่ยืนสง่าอยู่ข้างๆ ของเฉินหมิงจิน ออร่าความเป็นเหยื่อแผ่รัศมีให้แม่อดีตเลขาฯ มองออกอย่างชัดเจน ครั้งหนึ่งนิต้าเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา หลังถูกทารุณอย่างหนักก็ทนไม่ได้บวกกับเจ้าตัวเองก็เริ่มจะเบื่อ แม้ได้เงินจนเหลือกินเหลือใช้แต่ร่างกายก็แทบแหลกสลายอยู่ทุกทีที่ร่วมรักกัน "นี่สวรสเพื่อนผม คุณรสนี่นิต้าพนักงานในบริษัทของผม" การแนะนำตัวที่แสนห่างเหินยิ่งทำให้ คนที่เข้ามาทักทายเริ่มรู้ตัวว่าเขากำลังไล่เธออย่างอ้อมๆ "งั้นนิต้าขอตัวนะคะ" เฉินหมิงไม่แม้แต่จะหันไปรับรู้ว่าอีกฝ่ายล่ำลาแต่กลับหันมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้าต่อ กลับเป็นสวรสเสียอีกที่มองตามหญิงสาวในชุดราตรีสีขาวเดินจากไป "ทำไมคุณไม่สนใจเธอเลย" "คุณเป็นนักจิตวิทยา แถมเป็นผู้หญิงอีก น่าจะมองออกนี่ว่าเขาเข้ามาทำไม" สวรสรู้ดีว่าความหมายของเฉินหมิงคือ นิต้าเข้ามาอ่อย แต่ด้วยมารยาทก็ควรสนใจเธอสักนิด "ผมมีอะไรอยากให้คุณดู พอมีเวลาสักนิดมั้ยครับ" เฉินหมิงเอ่ยปากถามสวรสที่เริ่มจะทำหน้าเบื่อหน่าย โดยพื้นฐานเธอไม่ได้ชอบงานรื่นเริงแบบนี้อยู่แล้ว การที่ต้องทนอยู่นานๆ ก็รู้สึกเบื่อเป็นธรรมดา "ไม่น่าถามนะคะ การที่คุณบงการฉันทุกอย่างแล้ว แค่เวลาไม่กี่นาทีอย่างที่คุณว่า คุณคงบังคับฉันได้สบาย" คำพูดประชดประชันกลับทำให้คนฟังเผลอยิ้มออกมา เฉินหมิงผายมือเชิญให้สวรสเดินไปข้างหน้าแต่หล่อนกลับยืนเฉย "คุณนำไปสิ ฉันจะรู้หรือไงว่าคุณจะพาฉันไปไหน" "โอเค" เฉินหมิงเดินนำหน้าไปก่อน จังหวะเดียวกันขณะที่กำลังจะก้าวขาตาม สวรสมองเห็นบางคนยืนมองอยู่ห่างๆ เขาคือลายไทยที่แฝงตัวเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟในงานเขาพยักหน้ารับเพื่อเป็นการบอกกับอีกฝ่ายว่าเขาอยู่ตรงนี้ เขาอยู่ใกล้ๆ และจับตาดูอยู่ไม่ต้องเป็นกังวล สวรสเดินตามเฉินหมิงออกมาจนไกลผู้คน เสียงดนตรีและเสียงคนเจรจาพูดคุยกันเริ่มเบาลง ความมืดเริ่มปกคลุมเส้นทางที่ทั้งคู่เดินอยู่ "คุณจะพาฉันไปไหน" เพราะเมื่อนึกถึงคดีฆ่าหั่นศพแล้วบรรยากาศนี้ก็พาให้ขนลุกซู่ขึ้นมา "ใกล้ถึงแล้ว" "ไม่ ถ้าคุณไม่บอกฉันว่าจะพาไปไหน ฉันจะกลับแล้ว" เท้าเล็กๆ บนส้นสูงหยุดเดินและยืนยันว่าจะกลับด้วยความกลัวที่เพิ่งก่อตัวขึ้นในใจ ร่างสูงที่เดินนำมาหยุดเดินและหันมาหาคนเดินตามทันที "ผมบอกแล้วไงว่าขอเวลาสักหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว" "คุณไม่ยอมบอกฉันว่าจะไปไหน เกิดคุณพาฉันไปฆ่าทิ้งขึ้นมาจะทำยังไง" สวรสพลั้งปากพูดไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนฟังรู้สึกเจ็บแปล๊บที่หัวใจ เขาไม่ได้คิดมาก่อนว่าเธอจะรังเกียจอาหารซาดิสม์ของเขาด้วย แต่มาตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าท่าทางและอาการดูไม่เปิดใจของเธอนั้นคงมาจากสาเหตุนี้ "ผม...ผมขอโทษ ผมแค่มีของขวัญจะให้คุณดู ผมทำมันเพื่อคุณแต่มันอยู่ไกลจากบ้านหน่อย ไม่คิดว่าจะทำให้คุณกลัวผมขนาดนี้" "ฉันขอโทษ คือ...ฉัน " ไปเถอะ จะถึงแล้วจริงๆ " เขาไม่ฟังสิ่งที่สวรสจะบอกแต่หมุนตัวแล้วเดินต่อไปด้วยความรู้สึกเจ็บจี้ดๆ กลางอกซ้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อมาถึงจุดหมายสวรสก็ต้องตกตะลึงกับสระบัวขนาดใหญ่ที่ถูกประดับตกแต่งด้วยโคมกระดาษและตะเกียงนับร้อย ปากบางสีชมพูนะเรื่องอ้ากว้างก่อนที่เจ้าตัวจะยกมือขึ้นมาปิด "มันสวยมาก" "ผมออกแบบเองเลยนะ" เขายืนมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างพอใจ ดวงตากลมโตเปล่งประกายมองเห็นได้จากแสงสลัวของตะเกียงและโคม "ชอบใช่มั้ย" เฉินหมิงเอ่ยถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว สวรสพยักหน้ารับอย่างช้าๆ แต่ตายังคงจ้องไปในสระบัว "มันสวยมาก ฉันรู้แค่ว่ามันสวยมาก" "อยากขึ้นไปบนสะพานมั้ยล่ะ" "ไปค่ะ" สวรสตอบก่อนจะเดินขึ้นสะพานไม้ที่ทอดยาวตัดผ่านตัวสระโดยไม่รอคนที่พามา เขายิ้มเล็กๆ อย่างพอใจ ก่อนจะเดินตามร่างระหงขึ้นไปบนสะพาน "คุณไม่กลัวผมฆ่าคุณแล้วหรือไง" เขาแกล้งแซวทั้งที่ยังเจ็บอยู่ลึกๆ ไม่คิดว่าคนที่เขาติดว่าเธอเข้าใจสิ่งที่เขาเป็นมากที่สุดจะหวาดกลัวเขาได้ขนาดนั้น "ฉันขอโทษจริงๆ ค่ะคือฉัน...ก็แค่กลัว อยู่ดีดีคุณก็พาฉันเดินมาที่มืดๆ ห่างไกลจากผู้คน มันก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา อีกอย่างฉันเป็นผู้หญิงนะ แล้วเรื่องที่คุณถามฉันว่ารังเกียจคุณหรือเปล่า ฉันไม่ได้รังเกียจคุณนะ อาการซาดิสม์ถึงจะจัดอยู่ในกลุ่มความผิดปกติแต่ก็ไม่ได้ร้ายแรง หรือน่ารังเกียจอะไร" "ช่างเถอะ แค่คุณบอกว่าไม่ได้รังเกียจผม ผมก็ดีใจมากแล้ว" เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแววตานุ่มละมุน ใครได้เผลอสบตาเป็นต้องเคลิ้มตามทุกคน สวรสเองก็ไม่ต่างกัน "ขอบคุณนะคะ สำหรับของขวัญ...อันนี้" "แค่คุณชอบผมก็มีความสุขมากแล้ว แต่..." "คะ..." "มันอาจจะฟังดูเร็วไปสักหน่อย แต่ผมชั่งใจดีแล้ว ผมอยากจะขอโอกาสทำความรู้จักกับคุณมากกว่านี้ จะได้หรือเปล่า" ท่าทางสุภาพ กับบรรยากาศแบบนี้มันพาคนใจแข็งให้เขวได้โดยง่าย ยิ่งอีกฝ่ายเป็นคนช่องชำนาญทางด้านนี้ ผู้หญิงคนธรรมดาคนหนึ่งอย่างสวรสจะไม่เขวไปตามสิ่งที่เขากระทำได้อย่างไรไหว "เราเพิ่งเจอกันแค่ 2 ครั้งเองนะคะ คุณแทบจะไม่รู้จักฉันด้วยซ้ำ" "ตลอดเวลาที่ได้คุยกับคุณตั้งแต่ก่อนเราจะเจอกัน ผมเปลี่ยนไปมาก ผมชอบตัวเองตอนนั้นมากๆ และทั้งหมดมันก็มาจากคุณ" "มันเป็นหน้าที่ค่ะ ถ้าคุณบำบัดกับคนอื่นเขาก็ต้องทำให้คุณรู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน" "ผมถึงได้อยากรู้จักกับคุณแบบที่ไม่ใช่นักจิตวิทยาไง ผมชอบความคิด ทัศนคติ การวางตัว สิ่งที่คุณเป็นเท่าที่เราเจอกันมา 2 ครั้ง ถ้าคุณไม่รังเกียจผมจริงๆ ผมขอโอกาสเถอะนะครับ ผมชอบคุณจริงๆ " คำพูดและแววตาของเขามันทำให้คนที่สร้างกำแพงให้ตัวเองอยากจะออกมานอกกำแพง ความประทับใจจากสิ่งที่เขาทำให้ หรืออะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เธอเคลิ้มไปกับเขาในตอนนั้น คนตัวสูงค่อยๆ เคลื่อนตัวขยับเข้าไปใกล้กับคนที่กำลังยืนงงกับสถานการณ์ ใบหน้าทั้งสองค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันโดยเป็นเฉินหมิงที่เป็นฝ่ายรุก Rrrrrr~ เสียงเรียกเข้าของสวรสพาให้ทั้งสองตกใจจนต่างฝ่ายต่างถอยออกจากกัน "ขอโทษนะคะ" สวรสบอกกับเฉินหมิงก่อนจะก้มหน้าค้นหาโทรศัพท์ในกระเป๋าถือ "สวัสดีค่ะ" เพราะเบอร์ไม่ได้ขึ้นว่าใครเป็นคนโทรมาเจ้าตัวจึงรับด้วยความสุภาพ "นี่ผมนะ" "ใครคะ" อยู่ๆ ปลายสายก็พูดราวกับรู้จักกันด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก "ลายไทย ผมแอบดูคุณกับไอ้ฆาตกรอยู่ริมสระฝั่งที่คุณหันหน้ามานี่แหละ" เมื่อได้ยินแบบนั้นสวรสก็เผลอชะเง้อมองไปในความมืดเพื่อหาอีกฝ่าย "อย่ามองสิเดี๋ยวมันก็รู้ตัว" "คุณเอาเบอร์ฉันมาจากไหน" "รู้แค่ว่าผมมีเบอร์คุณก็แล้วกัน อยากจะเมมไว้ก็ได้นะ เผื่อมีอะไรฉุกเฉิน แล้วที่ผมโทรไปเนี่ย แค่จะเตือนคุณว่าอย่าหลงกลคำพูดหวานๆ มันก็พูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนที่มันอยากได้เป็นเหยื่อนั่นแหละ" "รู้แล้วน่า" "รู้อะไร ผมเห็นนะว่าเมื่อกี้คุณ..." "ไม่ต้องพูดแล้ว แค่นี้นะ!! "เดี๋ยว...! " "อะไรอีก" "ถ้ามีอะไร ร้องดังๆ เลยนะ ผมจะออกไปช่วยคุณทันที" "อืม" แม้ว่าสะพานจะอยู่ห่างจากสระพอสมควร แต่เพราะแสงจากตะเกียงทำให้ลายไทยมองเห็นทุกอย่าง สายตาดุดันจ้องมองไปยังร่างบางที่ยืนอยู่กับคนที่เขามั่นใจเหลือเกินว่าเป็นฆาตกร ไม่รู้ความรู้สึกร้อนรนใจมันมาจากความเป็นห่วงเพื่อนร่วมงานหรือความหึงหวงกันแน่ ก่อนจะตัดสินใจบุกไปขอความช่วยเหลือจากเธอ เขาได้แอบติดตามผู้หญิงคนนี้มาสักระยะแล้ว ได้มองเห็นการใช้ชีวิตเรียบง่าย และได้มองเห็นเสน่ห์บางอย่างในตัวของเธอจนบางทีก็เผลอเคลิ้มไปกับรอยยิ้มนั้น "ขอโทษด้วยนะคะ พอดีเพื่อนโทรมา" "ไม่เป็นไรครับ ผมเองก็ต้องขอโทษกับเรื่องเมื่อกี้ด้วย" "ไม่เป็นไรค่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกก็แล้วกัน" "แล้วเรื่องที่ผมอยากจะรู้จักคุณมากกว่านี้ล่ะ" "เป็นเพื่อนกันดูค่ะ ถ้ารู้จักกันมากกว่านี้คุณอาจจะไม่ได้คิดแบบที่คิดอยู่ตอนนี้ก็ได้" "ผมมั่นใจ ว่าผมคิดไม่ผิด และถึงรู้จักกันมากกว่านี้ผมก็คงชอบคุณมากกว่าเดิม" "คุณเองก็ต้องทำให้ฉันรู้จักคุณมากกว่านี้เหมือนกัน" สวรสอาศัยโอกาสนี้ตีสนิทกับเขาไปด้วยเลย ถ้าสนิทกันมากขึ้นโอกาสจะหาหลักฐานก็คงจะมากขึ้นไปด้วย แต่ก็ต้องเตือนตัวเองว่าอย่าหลงไปกับคำพูดที่เขาประดิษฐ์ขึ้นมาก่อนก็แล้วกัน **ฝากคอมเม้นเป็นกำลัวใจให้นักเขียนหน่อยนะคะ ถ้าชอบก็อย่าลืมกดถูกใจ เป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ ให้กับนักเขียนน้าาา**
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม