บทที่ 3/1
เมื่อเรื่องวุ่นวายในโรงเตี๊ยมสงบลงม่งจิ้งหูจึงพาเฉินหลิงเว่ยไปพบเถ้าแก่โรงเตี๊ยม โดยไม่ลืมเล่าเรื่องที่นางช่วยคนให้เขาฟัง ทันทีที่ได้ยินเรื่องราวเถ้าแก่โรงเตี๊ยมก็เอ่ยขอบคุณนางยกใหญ่อีกทั้งยังตกลงรับซื้อผักจากสวนของนางอย่างง่ายดาย
“เช่นนั้นรบกวนเถ้าแก่บอกชนิดผักที่ทางโรงเตี๊ยมต้องการ ผักชนิดไหนมีข้าจะเก็บมาส่งทุกๆ สามวัน แต่ถ้าไม่มีข้าจะเร่งลงมือปลูกเจ้าค่ะ”
“ได้ๆ อาหูเจ้าช่วยเป็นธุระให้ข้าที”
“ได้ขอรับ”
เมื่อตกลงเสร็จแล้วม่งจิ้งหูก็จดรายชื่อผักที่ใช้ในครัวให้แก่เฉินหลิงเว่ย
“เจ้าอ่านหนังสือออกหรือไม่”
“พอได้ระดับหนึ่งเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นข้าจะอ่านให้ฟังก่อนหนึ่งรอบ ตั้งใจฟังและจำให้ดี”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับ ยามที่ม่งจิ้งหูอ่านนางล้วนตั้งใจฟังและจดจำในทุกคำของเขา ทว่าสาเหตุไม่ใช่ว่านางอ่านอักษรไม่ได้ แต่เพราะอักษรที่ม่งจิ้งหูเขียนนั้นผิดๆ ถูกๆ จนยากเกินจะหาผู้ใดอ่านได้มากกว่า
“วันนี้ขอบคุณพี่จิ้งหูมากเจ้าค่ะ สิ่งนี้ถือเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ”
เฉินหลิงเว่ยวางเงินใส่มือหนา ม่งจิ้งหูมองเงินในฝ่ามือแล้วขมวดคิ้วเข้ม ท่าทางบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน
“เจ้าทำเช่นนี้กำลังดูถูกน้ำใจข้าหรือ”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น หากทำให้ท่านเข้าใจผิดต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ม่งจิ้งหูถอนหายใจยาว มองแววตารู้สึกผิดของเฉินหลิงเว่ยแล้วก็โกรธนางไม่ลง
“เราคนบ้านเดียวกันต้องช่วยเหลือกัน เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอกส่วนเงินนี้ข้าไม่รับ”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ เช่นนั้นโอกาสหน้าให้ข้าเลี้ยงข้าวท่านตอบแทนนะเจ้าคะ”
ม่งจิ้งหูมองรอยยิ้มหวานตรงหน้าแล้วในใจพลันสั่นระรัว จงลู่เจียวมองท่าทางของบุตรชายแล้วส่ายหน้าระอา ก่อนแสร้งกระแอมเสียงดังพร้อมส่งสายตาตำหนิบุตรชาย บุตรชายคนนี้ช่างน่าโมโหนักคิดจะชอบพอใครก็ควรสืบดูให้แน่ใจก่อนว่าเป็นไปได้หรือไม่ เหตุใดต้องหาเรื่องเจ็บปวดให้ตนเองกัน
เมื่อแยกจากม่งจิ้งหูแล้วเฉินหลิงเว่ยก็ขอแวะซื้อเมล็ดผักและของใช้ในครัวอีกชุดใหญ่
“ดูแล้วเจ้าคงตั้งใจมาซื้อของมากกว่ามาเจรจาค้าขาย”
จงลู่เจียวเอ่ยเสียงหยอกล้อ เฉินหลิงเว่ยยิ้มรับโดยไม่เอ่ยโต้แย้งอะไร หางตามองข้าวของที่ตนซื้อมาเต็มเกวียนแล้วในใจก็เห็นด้วยกับจงลู่เจียว
“ท่านป้าพอจะรู้จักคนรับจ้างลากเกวียนไหมเจ้าคะ”
“รับจ้างลากเกวียนหรือ อืม...อาซ่งยังรับจ้างอยู่หรือไม่ท่านพี่”
“อื้ม!”
ม่งจิ่งเล่อขานตอบฮูหยินของตน เขาเป็นคนไม่พูดมาก ผู้คนต่างพูดกันว่าม่งจิ่งเล่อไม่ค่อยเอ่ยเจรจาเพราะฮูหยินของเขาพูดไปหมดแล้ว
“แต่อาซ่งเป็นชายหนุ่มไร้พันธะ ส่วนเจ้าเป็นหญิงงามเดินทางมาด้วยกันลำพังเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก”
“ข้าเป็นเพียงหญิงธรรมดาเท่านั้นคงไม่มีปัญหาหรอกเจ้าค่ะ”
“ธรรมดาที่ไหนกัน หากหน้าตาเช่นเจ้าธรรมดายังมีใครกล้าพูดว่าตนเองงามกัน”
“ท่านป้ากล่าวเกินจริงแล้ว”
“ข้าหาได้พูดเกินจริง พูดกันตามตรงหลายเดือนมานี้อาเทียนก็ไม่เคยกลับบ้านเลยไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร”
อาเทียน... เขาคือใครกันแล้วเกี่ยวอันใดกับความงามของนาง เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็กแววตาฉายความสงสัย หากแต่เพียงชั่วครู่ก็ก็จางหายไป ตัวนางไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นดังนั้นเพียงก้มหน้ารับฟังอีกฝ่ายเอ่ยเล่าแต่ไม่คิดเอ่ยปากถามให้มากความ
“ฮูหยินเจ้าพูดมากไปแล้ว”
ม่งจิ่งเล่อเอ่ยปรามฮูหยินของตนเมื่อเห็นว่านางเอ่ยในสิ่งที่ไม่ควรเอ่ย จงลู่เจียวพลันอ้าปากค้างยิ่งเห็นท่าทางก้มหน้านิ่งของเฉินหลิงเว่ยในใจของนางก็รู้สึกผิดขึ้นมาในทันที
“อ่า... หลิงเว่ยข้าขอโทษ เป็นข้าที่ปากไวทั้งที่อาเหรินเอ่ยปากห้ามไว้แล้วแท้ๆ เชียว”
“พี่ชายหวังเอ่ยปากห้าม?”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วเล็กสายตาจดจ้องไปยังสองสามีภรรยาตรงหน้า ม่งจิ่งเล่อถอนหายใจยาวอีกครั้ง เบี่ยงหน้าหลบไปบังคับวัวเทียมเกวียน ฮูหยินของเขานั้นสิ่งใดก็ล้วนดีงาม เสียเพียงอย่างเดียวก็คือริมฝีปากนั้นไวเกินไป ความลับใดก็ไม่เคยรักษาได้ เช่นนั้นก็ให้นางจัดการเองเถิด
“เอ่อ... ข้า... หลิงเว่ยข้าไม่ได้ตั้งใจพูดให้เจ้าคิดมาก แต่เรื่องนี้ใครๆ เขาก็พูดกัน ตอนนี้ศึกที่เมืองอี้นั้นตึงมือยิ่งนักบางทีสามีของเจ้าเขาอาจจะ...อาจจะ... เฮ้ย! เจ้าเองก็เตรียมใจไว้บ้างขึ้นชื่อว่าสงครามย่อมมีคนเจ็บคนตาย ที่ข้าพูดเพราะห่วงใยหาได้มีเจตนาร้ายเจ้าเข้าใจข้าใช่หรือไม่”
“สา...มี”
เฉินหลิงเว่ยในใจนั้นสงสัยหนักกว่าเดิม ดูเหมือนเรื่องของอาเทียนผู้นี้คงไม่ใช่เรื่องของผู้อื่นเสียแล้ว
“ในเมื่อเป็นเรื่องของสามีข้า ไยพี่ชายหวังจึงต้องห้ามท่านเอ่ยถึงกันเจ้าคะ”
“คงกลัวว่าเจ้าจะคิดมากล่ะซิ เจ้าเป็นน้องสาวบุญธรรมของเขาไม่ใช่หรือไรเขาก็ย่อมห่วงเป็นธรรมดา เฮ้อ...หลิงเว่ยนะหลิงเว่ยบุรุษมีมากมายไยเจ้าไม่แต่ง อาเทียนแม้เป็นบุรุษรูปงามแต่คนที่วันๆ เอาแต่ทำหน้านิ่งไม่พูดกับผู้ใดเช่นเขาเจ้าอยู่ด้วยไม่อึดอัดใจหรือไร”
“ฮูหยิน เจ้าก็พอเถิด”
ม่งจิ่งเล่อเอ่ยปรามฮูหยินของตนอีกครั้ง ไยครั้งนี้นางจึงพูดมากนักนะ
“พออะไรกัน ข้ากล่าวสิ่งใดผิดหรือ ตั้งแต่อาเหรินพาพี่ชายของอาหลินเข้ามาในหมู่บ้านมีใครเคยได้คุยกับเขาบ้างกัน”
ที่แท้อาเทียนคือพี่ชายของอี้หลิน เพียงแต่เป็นพี่ชายของอี้หลินแล้วอย่างไร เหตุใดหวังเฮ่อเหรินจึงต้องบอกผู้อื่นว่านางเป็นฮูหยินของคนผู้นี้กัน
“ว่าแต่เจ้าพบเจอเขาที่ไหน ที่หัวเมืองเหนือหรือ”
“เอ่อ...”
“ต้องแน่อยู่แล้วเขาเป็นทหารที่นั่นไม่พบกันที่นั่นจะพบที่ไหนจริงหรือไม่ นี่คงเพราะเขาต้องไปร่วมรบล่ะสิเลยส่งเจ้ามาหลบอยู่ที่นี่...”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มแห้ง นั่งฟังจงลู่เจียวเล่าถึงผู้ที่ผู้คนต่างเข้าใจว่าคือสามีของนางด้วยท่าทางนิ่งสงบ ที่แท้สามีของนางผู้นี้มีนามว่า กัวอี้เทียน เป็นพี่ชายต่างมารดาของกัวอี้หลิน เขาเป็นทหารประจำการที่หัวเมืองเหนือ เมื่อปีก่อนเกิดสงคราม เขาที่เข้าร่วมรบได้รับบาดเจ็บหนัก จึงถูกส่งกลับมาพักรักษาตัวที่บ้านเกิด แม้มีหน้าตาโดดเด่นแต่กลับไม่ชื่นชอบพบปะผู้คน พักรักษาตัวในหมู่บ้านเพียงสามเดือนก็กลับไปร่วมสงครามอีกครั้ง
“เขาไม่ค่อยกลับมาบ้านหรือเจ้าคะ”
“เรียกว่าไม่กลับมาเลยจึงจะถูกต้อง”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มกว้าง ในเมื่อกัวอี้เทียนนั้นไม่เคยกลับมาเลยเช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องกังวล กัวอี้เทียนเช่นนั้นข้าคงต้องขออนุญาตยืมตำแหน่งฮูหยินของท่านสักหน่อยแล้ว
………………………………………