บทที่ 2/4
เช้านี้เฉินหลิงเว่ยเร่งตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสว่างเพราะวันนี้นางนัดหมายกับฮูหยินม่งเดินทางเข้าเมืองไปเจรจาฝากขายผักที่โรงเตี๊ยมหลังจากเตรียมของที่จำเป็นใส่ห่อผ้าแล้ว นางก็เร่งไปตักน้ำรดผักในยามฟ้าสางก็เข้ามาอาบน้ำแต่งกาย การเจรจาตกลงค้าขายสิ่งแรกที่จำเป็นต้องมีคือภาพพจน์ที่ดี เมื่อมีภาพพจน์ที่ดีก็จะมีความน่าเชื่อถือ เมื่อมีความน่าเชื่อถือแล้วการเจรจาก็ย่อมผ่านไปได้โดยง่าย
“หลิงเว่ยเจ้างดงามยิ่งนัก หากข้าไม่เห็นกับตาว่าทุกวันเจ้ารดน้ำพรวนดินผักพวกนี้เองกับมือ ย่อมไม่มีทางเชื่อว่าเจ้าเป็นเพียงคนปลูกผัก”
“ท่านป้าม่งชมข้าเกินไปแล้ว”
“เกินไปที่ไหนกันดูสิงดงามหนัก เสียดายยิ่งหากเจ้ายังไม่มีสามีข้าจะทาบทามให้อาหู”
“ฮูหยิน”
ม่งจิ่งเล่อเอ่ยขัดจังหวะขึ้นมาจงลู่เจียวจึงทำเพียงยิ้มแห้งๆ ประคองเฉินหลิงเว่ยขึ้นนั่งบนเกวียน
“คับแคบไปนิดเจ้านั่งได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ”
เพราะสองสามีสกุลม่งต้องเอาฟืนไปส่งในเมืองดังนั้นจึงเหลือพื้นที่เพียงเล็กน้อยด้านหน้า ม่งจิ่งเล่อนั่งที่ตำแหน่งบังคับวัวเทียมเกวียน ส่วนเฉินหลิงเว่ยและจงลู่เจียวนั่งที่ด้านหลัง
“เดี๋ยวพอเข้าเมืองส่งฟืนพวกนี้หมดขากลับก็นั่งสบายแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ใช้เวลาไม่นานนักทั้งสามคนก็มาถึงตัวเมือง ม่งจิ่งเล่อขนฟืนลงจากเกวียนส่วนจงลู่เจียวพาเฉินหลิงเว่ยไปแนะนำกับบุตรชายของตน บุตรชายของจงลู่เจียวเป็นชายวัยยี่สิบต้นๆ ท่าทางสุภาพอ่อนโยนและมีผิวค่อนข้างขาวอาจเพราะหลายปีมานี้ทำงานอยู่ในโรงเตี๊ยมตลอดไม่ได้ตากแดดเช่นอดีต
“ข้าชื่อจิ่งหู เจ้าเรียกข้าพี่จิ้งหูก็ได้”
“เจ้าค่ะ”
เฉินหลิงเว่ยก้มหน้าเล็กน้อยรับคำ ท่าทางสุภาพอ่อนโยนและใบหน้าที่งดงามของนางดึงสายตาของเขาจนไม่อาจละสายตาได้ ทว่ายามที่หันไปสบตามารดากับพบแววตาขุ่นเคืองดุดันอีกทั้งยังส่ายหน้าไปมา ม่งจิ้งหูถอนหายใจยาวในใจนึกเสียดายยิ่งนักบุปผางามดอกนี้เห็นทีเขาคงมิอาจเด็ดมาครอบครอง
“วันนี้เถ้าแก่มีลูกค้ารายใหญ่มาพบ น้องหลิงเว่ยเจ้ารอสักครู่เถิด”
“เจ้าค่ะ”
ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที! เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังมาจากด้านใน ม่งจิ้งหูจึงเร่งวิ่งเข้าไปดูก่อนแหวกฝูงชนเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นคือเด็กชายวัยประมาณห้าขวบนอนดิ้นไปมาบนพื้น มือเล็กกำที่ต้นคอท่าทางหายใจติดขัดทุรนทุราย ข้างกายมีหญิงสาววัยสิบห้าสิบหกร่ำไห้ร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย! ...”
เฉินหลิงเว่ยมองไปบนโต๊ะอาหารเห็นจานขนมเทียนเอ๋อต้านแล้วขมวดคิ้วเล็ก ยามมองมาที่เด็กชายก็เห็นริมฝีปากของเขาเริ่มเขียวคล้ำ ไม่เอ่ยวาจาใดนางก็เดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่ด้านหลังเด็กชายตัวน้อย จับเขาลุกขึ้นนั่งแล้วใช้แขนสองข้างสอดใต้แขนของเด็กชายโอบรอบลำตัวเล็ก กำมือบางวางไว้ที่ตำแหน่งใต้ลิ้นปี่ของเขา แล้วออกแรงดันมือลงตรงที่ตำแหน่งลิ้นปี่อย่างรวดเร็ว ไม่นานนักขนมเทียนเอ๋อต้านชิ้นใหญ่ก็หลุดออกมาจากปากเด็กน้อย เขาหายใจหอบลึกรวดเร็ว
“เขาต้องการอากาศหายใจ พี่จิ้งหูกันคนออกให้ข้าที”
“อาหมิง!”
ชายวัยประมาณ 28 แหวกฝูงคนเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนจะพุ่งตรงไปหาร่างเล็ก เฉินหลิงเว่ยรีบห้ามปรามเมื่อเห็นว่าเขาจะอุ้มเด็กน้อยเข้าแนบอก
“เข้าต้องการอากาศ ท่านอย่าพึ่งกอดเขา”
แววตาคมหันมาจดจ้องสตรีที่นั่งอยู่ข้างบุตรชายด้วยสายตาเป็นคำถาม แต่ยามที่เห็นแววตามุ่งมั่นจริงจังของนางเขาก็ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
“เกิดอะไรขึ้น”
เสียงตวาดเข้มของเขาดังขึ้น หญิงสาววัยสิบห้าปีที่ร่ำไห้ก่อนหน้านี้ทรุดตัวลงหมอบแนบพื้นร่ำไห้หนักกว่าเดิม
“ขนมเทียนเอ๋อต้านติดคอ”
เป็นเฉินหลิงเว่ยที่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ท่าทางนิ่งสงบไม่มีความเกรงกลัวต่อท่าทางเกรี้ยวกราดของเขาเลยแม้แต่น้อย จ้าวเสี่ยวเฟิ่งหันมาจดจ้องแววตากลมของนางด้วยความสนใจ
“เขายังเล็ก หากจะทานขนมต่อไปควรตัดให้เป็นชิ้นเล็กๆ พอดีคำ”
“เจ้าเป็นใคร”
“ข้า... เป็นคนปลูกผัก”
จ้าวเสี่ยวเฟิ่งขบกรามแน่นยามได้ยินคำตอบของนาง เพียงแต่เมื่อเห็นแววตาใสซื่อของนางแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว
“ชื่ออะไร”
“ขออภัยคุณชาย ตอนนี้คุณชายน้อยปลอดภัยแล้วข้าขอตัวก่อน”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนตั้งท่าจะจากไป จ้าวเสี่ยวเฟิ่งขมวดคิ้วเข้มไม่ทันตั้งสติมือของเขาก็จับข้อมือเล็กของนางไปแล้ว
“ขออภัย ข้าเพียงอยากเลี้ยงอาหารขอบคุณที่ช่วยอาหมิงไว้”
“หากท่านจะขอบคุณข้าก็โปรดให้อภัยสาวใช้ผู้นั้นแทนเถิด นางไม่ได้ตั้งใจให้คุณชายน้อยเป็นเช่นนี้”
เพราะเห็นท่าทางเกรี้ยวกราดของบุรุษตรงหน้าและท่าทางหวาดกลัวจนตัวสั่นของหญิงสาวผู้นั้นเฉินหลิงเว่ยจึงคาดเดาว่านางคงเป็นสาวใช้ของเขา แน่นอนว่าเกิดเรื่องเช่นนี้คงไม่อาจรอดพ้นโทษทัณฑ์
“ได้ ข้ารับปากจะไม่ลงโทษนาง”
“ขอบคุณคุณชาย ขอบคุณแม่นางเจ้าค่ะ”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มบาง รอยยิ้มอ่อนโยนของนางสะกดสายตาของจ้าวเสี่ยวเฟิ่งจนหลงลืมบุตรชาย
“ท่านพ่อ ข้าหิวน้ำ”
เสียงเล็กของเด็กน้อยทำให้สติของจ้าวเสี่ยวเฟิ่งกลับมาอีกครั้ง เฉินหลิงเว่ยจึงอาศัยจังหวะนั้นปลีกตัวหนีความวุ่นวายออกมา โดยไม่รู้เลยว่านับตั้งแต่นางก้าวเท้าเข้าไปช่วยคนนางก็ไม่อาจหลีกหนีความวุ่นวายได้อีก
……………………………………