บทที่ 3/2
เฉินหลิงเว่ยกลับมาถึงเรือนในช่วงบ่าย นางเดินเข้าครัวนำขี้เถ้ามาแช่น้ำจำนวนมาก วันนี้นางซื้อน้ำมันมะพร้าวและยังได้ไขมันแพะมาอีกจำนวนมาก ที่สำคัญยังได้น้ำนมแพะมาด้วย ที่นี่ไม่มีตู้เย็นเก็บรักษาของเฉินหลิงเว่ยจึงต้องเร่งทำสบู่ชุดใหม่ก่อนที่วัตถุดิบที่ซื้อมาจะเสียหายเสียก่อน ดังนั้นสามวันถัดมาสบู่มันแพะจำนวนร้อยก้อนและสบู่น้ำผึ้งอีกร้อยก้อนจึงถูกห่อด้วยกระดาษไขมันเนื้อดีจัดเรียงใส่กล่องไม้ใบใหญ่เอาไว้ สบู่สูตรนี้แม้ใช้ได้ไม่ดีเช่นในยุคที่นางจากมาแต่ก็นับว่าดีกว่าไม่มีสิ่งใด
หลังจากจัดการเรื่องสบู่เสร็จแล้ววันถัดมาเฉินหลิงเว่ยก็เร่งตื่นแต่เช้าหลังจากรดน้ำผักทั้งหมดแล้ว ก็เร่งเก็บผักในแปลงใส่ตะกร้าสานใบใหญ่
“แม่นางเฉิน”
“คุณชายฉิน”
“คุณชงคุณชายอะไร เรียกข้าอู่ซ่งเถอะ เราน่าจะอายุพอๆ กัน”
“เช่นนั้นเจ้าก็เรียกข้าหลิงเว่ยดีหรือไม่”
ฉินอู่ซ่งยิ้มกว้างก่อนเดินไปหยิบตะกร้าผักของเฉินหลิงเว่ยขึ้นไปวางเรียงบนเกวียน เพียงแต่ไม่ทันไปหยิบตะกร้าที่สองมาหางตาก็มองเห็นเฉินหลิงเว่ยยกตะกร้าตามหลังมา
“ให้ข้าทำดีกว่า”
เขาเบิกตากว้างเร่งเอ่ยบอกคนตัวเล็ก สองเท้าเร่งสาวเดินก่อนรับตะกร้าผักมาถือเอาไว้เอง นางตัวเล็กเสียยิ่งกว่าตะกร้าแต่กลับยกมันมาราวตนเองเป็นบุรุษตัวใหญ่
“ข้าถือไหว มันไม่หนักมาก”
“วันนี้เจ้าจ้างงานข้าแล้วก็ให้ข้าทำเถิด”
เขาเอ่ยแล้วเร่งเดินไปหยิบตะกร้าผักที่ด้านหลังเพิ่ม เฉินหลิงเว่ยยิ้มบาง เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนอารมณ์ดียิ้มง่ายและรู้จักเข้าหาคนไม่แปลกใจเลยที่ฮูหยินม่งจะกังวลที่นางจะใกล้ชิดกับเขา
“วันนี้เจ้าต้องไปเจรจาการค้า เหงื่อออกท่วมตัวเช่นนี้คงไม่ดีไปเปลี่ยนผ้าเถิดทางนี้ข้าจัดการเอง”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับคำก่อนเดินเข้าไปในเรือนของตน ฉินอู่ซ่งยิ้มกว้างมองตามแผ่นหลังเล็กจนนางเข้าไปในเรือนด้วยใจที่สั่นไหว เฉินหลิงเว่ยนั้นเป็นหญิงงามเลื่องชื่อบุรุษใดบ้างเข้าใกล้นางแล้วจะไม่หวั่นไหว แม้ตัวเขาจะรู้ว่านางเป็นฮูหยินของกัวอี้เทียนแต่ก็ไม่อาจห้ามใจตนเอง
เฉินหลิงเว่ยใช้เวลาไม่นานนักในการล้างเนื้อตัวและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อออกมาฉินอู่ซ่งก็จัดเตรียมของใส่ล้อเกวียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขายิ้มกว้างสดใสมองใบหน้าหวานล้ำของนางด้วยใจที่สั่นระรัว
“รอนานหรือไม่”
“ไม่นาน เราออกเดินทางเลยหรือไม่”
ฉินอู่ซ่งเอ่ยเสียงราบเรียบเก็บซ่อนความตื่นเต้นไว้ภายใต้ท่าทางสดใสของตน ยิ่งยามที่นางนั่งเคียงคู่บนด้านหน้าเกวียนกับเขา ตัวเขาก็ตื่นเต้นจนเหงื่อชุ่มตัว เฉินหลิงเว่ยนั้นไม่ใช่เด็กสาวเช่นเจ้าของร่างเดิม ท่าทางเขินอายของเด็กหนุ่มตรงหน้านางย่อมสัมผัสได้ เพียงแต่นางเองไม่ใช่คนช่างเจรจาสุดท้ายจึงกลายเป็นฉินอู่ซ่งที่อดทนไม่ไหวและเป็นฝ่ายเอ่ยเจรจาก่อน
“วันนี้เราไปส่งผักเสร็จก็กลับเลยใช่หรือไม่”
“หลังส่งผักแล้วข้ามีที่หนึ่งต้องไป เจ้าเร่งกลับหรือไม่”
“วันนี้ข้ารับเงินเจ้าแล้วยกให้เจ้าเป็นนายหญิงหนึ่งวัน จะไปที่ใดข้าจะคอยติดตาม”
เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับ ฉินอู่ซ่งแม้เขินอายแต่นิสัยช่างเจรจาก็ทำให้ความอึดอัดในคราวแรกค่อยๆ จางหายไป ตลอดเส้นทางเฉินหลิงเว่ยจึงได้ยินเสียงเขาเอ่ยชวนเจรจาไม่หยุด ฉินอู่ซ่งลอบมองรอยยิ้มหวานบนใบหน้าเนียนของนางแล้วในใจนึกโมโหกัวอี้เทียนนัก นางทั้งงดงามและดีถึงเพียงนี้ไยจึงทอดทิ้งนางได้กัน
“หลิงเว่ยสวนของเจ้ากว้างมาก เจ้าอยากได้คนช่วยดูแลหรือไม่”
เฉินหลิงเว่ยหันมาสบตาของเด็กหนุ่ม สายตาบ่งบอกว่าคลางแคลงใจในเจตนาของเขา
“ข้าหมายถึง เจ้าอยากจ้างข้าไปช่วยทำสวนทำไร่หรือไม่”
ฉินอู่ซ่งมองเห็นแววตาหวาดระแวงและท่าทางที่คล้ายจะห่างเหินไม่เหมือนเมื่อครู่ของนางแล้วเร่งเอ่ยปากในทันที เฉินหลิงเว่ยได้ฟังเขาอธิบายก็พยักหน้าเข้าใจ ความจริงช่วงนี้งานในสวนผักของนางก็ไม่หนักอะไร แต่หากการเจรจาวันนี้ผ่านไปด้วยดีบางทีนางอาจต้องจ้างเขามาช่วยดูแลสวนผักของนางจริงๆ
“ขอข้าคิดดูก่อน”
หลังจากเดินทางมาถึงตัวเมืองแล้วฉินอู่ซ่งก็ทำหน้าที่ในการขนผักลงจากล้อเกวียน เถ้าแก่มองผักที่มีสภาพสมบูรณ์และมีจำนวนมากด้วยความแปลกใจ ตอนที่ตกลงรับซื้อผักจากนาง หลังจากนางดูรายการผักและปริมาณที่ทางโรงเตี๊ยมของเขาต้องการแล้ว นางก็แจ้งว่าผักที่เขาต้องการนางสามารถหามาได้เพียงห้าชนิด ส่วนที่เหลือนางจะลงมือปลูกภายในสองเดือนน่าจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เขามองดูนางที่มีรูปร่างบอบบางอีกทั้งผิวพรรณงดงามดุจคุณหนูในห้องหอแล้วก็ได้แต่จินตนาการสภาพผักว่าคงดูไม่ได้ เพียงแต่นางเคยช่วยเหลือโรงเตี๊ยมเขาครั้งหนึ่งก็ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน ทว่ายามได้เห็นผักของนางเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้ ไม่คิดว่าไม่เพียงนางจะนำผักมาให้เขาได้ตรงตามปริมาณที่เขาต้องการสภาพผักยังดูดีกว่าที่เขาหาซื้อในท้องตลาดอยู่มากทีเดียว
“ผักพวกนี้จ้าปลูกเองคนเดียวหรือ”
“เจ้าค่ะ ใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
“โอ้! เรียกว่าดีเลยทีเดียว นี่ค่าผักตามที่ตกลงกันไว้”
เฉินหลิงเว่ยรับเงินสองตำลึงเงินด้วยใบหน้าที่ยินดี ก่อนมอบผักอีกหนึ่งตะกร้าให้เถ้าแก่ร้าน
“แม่นางผักพวกนี้แม้กินได้ แต่นำมาทำอาหารไม่ได้เจ้าเอามาให้ข้าก็ไร้ประโยชน์”
“ผักพวกนี้หากใช้ตกแต่งจานใส่อาหาร จะทำให้อาหารน่าทานขึ้นเจ้าค่ะ”
“ตกแต่งจานใส่อาหารหรือ”
เถ้าแก่ร้านพลันนึกถึงเหลาอาหารใหญ่ที่เมืองหลวง ที่นั่นแม้อาหารรสชาติธรรมดาแต่การตกแต่งนั้นงดงามยิ่งนัก ทำให้ราคาอาหารแพงกว่าที่อื่นเกือบเท่าตัว
“อืม... ขอบใจเจ้ามาก ครั้งหน้าก็เพิ่มในรายการผักของเจ้าที่จะเอามาส่งด้วย”
“เจ้าค่ะ จริงๆ แล้วข้ายังปลูกดอกไม้อีกหลายชนิดหากท่านต้องการใช้ตกแต่งร้าน ครั้งหน้าข้าสามารถนำมาให้ท่านได้เจ้าค่ะ”
“ฮ่ะ ๆ ...แม่นางเฉินวาจาในการเจรจาค้าขายของเจ้าช่างยอดเยี่ยม ข้าว่าต่อไปภายหน้าเจ้าคงไม่ใช่เพียงคนปลูกผักเสียแล้ว ดี! เช่นนั้นครั้งหน้านำดอกไม้ของเจ้ามาให้ข้าด้วย”
“ขอบคุณเถ้าแก่เจ้าค่ะ”
ฉินอู่ซ่งยิ้มกว้างในใจนึกชื่นชมเฉินหลิงเว่ยเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากส่งผักเสร็จแล้วเฉินหลิงเว่ยก็เดินเข้าไปในตลาดก่อนหยุดที่หน้าร้านเครื่องผัดหน้าสตรี
“หลิงเว่ย ข้า...เอ่อ...เป็นบุรุษ ที่นี่ไม่สะดวกเข้าไป”
“เช่นนั้นเจ้ารอข้าที่นี่สักครู่”
เฉินหลิงเว่ยเอ่ยบอกเสียงเรียบก่อนเดินเข้าไปด้านในร้าน ในมือถือห่อผ้าเนื้อดีสีแดงสดบนผืนผ้าปักลวดลายงดงาม
“แม่นางต้องการซื้อสิ่งใดกัน”
“ข้ามาขอพบเถ้าแก่เนี้ย นางอยู่หรือไม่”
“มีเรื่องอันใด ได้นัดหมายไว้หรือไม่”
“มีเรื่องสำคัญมิได้นัดหมาย แต่หากนางไม่สะดวกจะเจรจาก็ไม่เป็นไร”
“เสี่ยวซีใครมาขอพบข้ากัน”
เสียงสตรีนางหนึ่งดังมาจากหลังฉากกั้น เฉินหลิงเว่ยยิ้มบางที่เมืองแห่งนี้มีร้านจำหน่ายเครื่องผัดหน้าสตรีจำนวนมาก แต่เฉินหลิงเว่ยเลือกที่นี่เพราะเป็นร้านไม่ใหญ่ไม่เล็ก ที่สำคัญคือหลังจากสอบถามชาวเมืองแล้วพบว่าตั้งแต่เถ้าแก่เนี้ยคนเก่าแต่งออกไปที่นี่ก็ซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเถ้าแก่เนี้ยคนปัจจุบันนั้นมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยผดผื่น อีกทั้งผิวพรรณหยาบกร้าน ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้เฉินหลิงเว่ยก็คล้ายพบของล้ำค่า
ลักษณะเช่นนี้ของเถ้าแก่เนี้ยไม่นับว่าพรีเซนเตอร์อย่างดีของนางหรือไร
“ข้าเฉินหลิงเว่ย ต้องการมาเจรจาค้าขาย”
“ค้าขาย หึ! เจ้ากำลังคิดกล่าวเยาะเย้ยข้าหรือ”
“หากเถ้าแก่เนี้ยไม่ต้องการเจรจาเช่นนั้นข้าไม่ขอรบกวน”
กล่าวจบเฉินหลิงเว่ยก็หมุนตัวเตรียมกลับ ทว่าก้าวเท้าไม่ถึงสามก้าวเสียงห้ามจากหลังม่านก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ให้นางเข้ามา”
………………………………………