บทที่ 2/2
เฉินหลิงเว่ยกลับจากบ้านสกุลหวังก็ตรงไปที่แปลงผักของตนที่ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว แม้หนึ่งเดือนที่ผ่านมานางจะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการทดลองทำสบู่ แต่นางก็ใส่ใจแปลกผักของนางเสมอ ตอนนี้ผักที่นางปลูกบางชนิดเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ เห็นทีนางจะต้องไปติดต่อเช่าล้อเกวียนสักคันเพื่อขนผักของตนไปขายในเมือง
“ท่านน้าเฉิน”
เสียงเรียกที่คุ้นหูดังขึ้นที่หน้าประตูรั้วทำให้เฉินหลิงเว่ยวางมือจากการถอนวัชพืชแล้วออกมาเปิดประตู
“พี่ชายหวัง เสี่ยวซิง”
เฉินหลิงเว่ยขมวดคิ้วมองไปที่หวังเฮ่อเหรินในอ้อมอกเขามีแม่ไก่ห้าตัวหวังซิงซิงจูงแพะมาอีกสามตัวเข้ามาด้านในก่อนผูกแพะไว้ในโรงเรือน
“ข้าไม่คิดว่าพี่หวังจะหาไก่กับแพะมาได้เร็วเช่นนี้จึงยังไม่ได้เตรียมคอกไว้รอ”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจัดการให้เอง เจ้าพาซิงซิงไปเล่นที่ลานกลางหมู่บ้านเถิด”
เมื่อบิดาเอ่ยปาก เจ้าก้อนแป้งน้อยก็ลากเฉินหลิงเว่ยออกจากเรือนในทันที หวังเฮ่อเหรินแม้แต่งงานมีบุตรแล้วแต่อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ ดังนั้นการที่เฉินหลิงเว่ยจะอยู่ในเรือนกับเขาย่อมเป็นเรื่องไม่สมควร เมื่อหวังซิงซิงส่งสายตาอ้อนวอนเฉินหลิงเว่ยก็เดินตามนางมาแต่โดยดี
“ท่านป้าม่ง ท่านลุงม่ง พวกท่านจะไปขายฟืนหรือเจ้าคะ”
เด็กน้อยหวังซิงซิงเอ่ยทักทายผู้อาวุโส เฉินหลิงเว่ยก้มศีรษะเล็กน้อยก่อนเอ่ยทักทายคู่สามีภรรยาที่มักเข้าป่าไปเก็บฟืนมาขายเสมอ
“อ่า... เสี่ยวซิงวันนี้บิดาเจ้าอยู่หรือไม่ข้าจะเอาฟืนไปส่งที่เรือน”
“วันนี้ท่านพ่อมาทำเล้าไก่ให้น้าเฉินเจ้าค่ะ แต่ท่านปู่อยู่ที่เรือน”
ฮูหยินม่งยิ้มรับคำเด็กน้อยก่อนหันสนใจเฉินหลิงเว่ย หญิงสาวผู้นี้หน้าตางดงามผิวพรรณผุดผาดหากวันก่อนตนไม่เห็นว่าหญิงสาวผู้นี้กำจอบขุดดินกับตาคงไม่เชื่อนางว่าจะเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน
“แม่นางเฉิน วันก่อนข้าผ่านบ้านเจ้าเห็นผักในไร่เจ้าโตเต็มที่แล้วเจ้ามีที่ส่งหรือยัง”
“ยังเลยเจ้าค่ะ ฮูหยินพอจะรู้จักคนรับซื้อผักไหมเจ้าคะ”
“บุตรชายข้าทำงานที่โรงเตี๊ยมในเมือง วันพรุ่งนี้ข้าจะเอาฟืนไปส่งเจ้าจะลองไปเจรจาดูหรือไม่”
“ไปเจ้าค่ะ
“เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะรับเจ้าที่หน้าบ้านนะ”
“ขอบคุณฮูหยินมาเจ้าค่ะ”
“ขอบคุณอะไรกัน เจ้าเป็นน้องบุญธรรมของอาเหรินก็เหมือนลูกหลานข้าเช่นกัน จะว่าไปต่อไปเจ้าเรียกข้าว่าท่านป้าดีหรือไม่”
“เช่นนั้นท่านป้าเรียกข้าว่าหลิงเว่ยก็ได้เจ้าค่ะ”
“ดีๆ เช่นนั้นข้าไปล่ะ”
เฉินหลิงเว่ยมองดูหวังซิงซิงวิ่งเล่นไปมากับสหายรุ่นเดียวกันจนตะวันคล้อยบ่าย หวังเฮ่อเหรินก็มาบอกว่าทำเล้าไก่และคอกแพะให้นางเสร็จแล้ว
“รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ”
“พอดีได้คนรู้จักกันมาช่วยน่ะ”
“พี่ชายหวังพวกท่านดีต่อข้ามากเหลือเกิน เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเลี้ยงข้าวเย็นพวกท่านเป็นการตอบแทนนะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องหรอกเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ หากครั้งนี้ท่านปฏิเสธต่อไปยามเดือดร้อนข้าจะไม่เอ่ยปากบอกท่านแล้ว”
หวังเฮ่อเหรินมองท่าทางข่มขู่ของหญิงสาวตรงหน้าแล้วอดที่จะยิ้มไม่ได้ เพียงแต่ยามที่หางตามองเห็นสายตาบุรุษรอบตัวมองมาที่เฉินหลิงเว่ยด้วยแววตาหลงใหล ดวงตาดุดันก็ถูกส่งออกไปในทันที บรรดาบุรุษที่ได้สบตาเขาก็พลันหลบสายตา บางคนถึงขั้นวิ่งหนีหายไปก็มี
คนพวกนี้อยากตายมากนักหรืออย่างไร จึงกล้าใช้สายตาเช่นนั้นมองนาง...
………………………………………
เฉินหลิงเว่ยกลับมาที่เรือน ตั้งแต่เอ่ยปากจะทำอาหารเย็นตอบแทนครอบครัวสกุลหวังนางก็คิดรายการอาหารที่ไม่ยุ่งยากและทำได้รวดเร็วในทันที หมู่บ้านเถาอี้มีวิธีชีวิตที่เรียบง่ายอาหารการกินก็เน้นอิ่มท้องไม่เน้นรสชาติ ไม่เน้นความสวยงาม ดังนั้นหากนางจะจัดเต็มอาหารชุดใหญ่คงดูไม่เหมาะสมนัก ดังนั้นนางจึงไปขอซื้อปลากระพงมาจากชาวบ้าน ก่อนเร่งกลับเรือน
ทันทีที่มาถึงเรือนนางก็เริ่มลงมือทำอาหาร ใช้มีดเล่มบางแล่ปลากะพงทั้งสองด้านออกจากก้างแล้วหั่นเป็นชิ้นแล้วพอดีคำ ก่อนยกกระทะตั้งไฟรอจนน้ำมันร้อนได้ที่ก็เอาเนื้อปลาลงทอด เสียงเนื้อปลากระทบน้ำมันร้อนดังฉ่า... กลิ่นหอมของเนื้อปลาสดตลบอบอวลไปทั้งห้องครัวชวนให้กระเพาะร่ำร้อง รอจนเนื้อปลามีสีเหลืองอ่อนเฉินหลิงเว่ยก็ตักเนื้อปลาขึ้นวางในตะแกรงรอให้สะเด็ดน้ำมัน ระหว่างนั้นก็เอาก้างปลาชิ้นโตลงทอดจากก้างปลาแข็งไร้ประโยชน์กลายเป็นก้างปลาเหลืองกรอบชวนทาน เมื่อจัดการปลาเสร็จแล้วนางก็หันไปหยิบสมุนไพรหลากชนิดที่เตรียมไว้ลงทอด เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วจึงจัดสมุนไพรทอดลงวางในจานใหญ่ก่อนนำก้างปลากรอบวางด้านบน โรยด้วยชิ้นปลาสีเหลืองขนาดพอดีคำอยู่ด้านบนสุด ใช้มะเขือเทศสีแดงสดทีนางปลูกเองกับมือตกแต่งจานเพิ่มความสวยงามน่าทานราวอาหารในภัตตาคารเลื่องชื่อ เฉินหลิงเว่ยมองปลากะพงทอดสมุนไพรตรงหน้าแล้วยิ้มกว้างอย่างพอใจ นางไม่ได้เข้าครัวนานแล้วทำได้เพียงนี้นับว่าไม่เลว
เพียงแต่ยามคิดได้ว่าที่สกุลหวังมีเด็กน้อยอย่างหวังซิงซิงอยู่ด้วยเฉินหลิงเว่ยก็ขมวดคิ้วเล็ก นางลืมเสี่ยวซิงไปได้อย่างไร...ปลาทอดสมุนไพรนี้เด็กน้อยอาจไม่ชื่นชอบ เมื่อครู่นางก็ไม่ได้แบ่งเนื้อปลาไว้เมื่อมองดูของที่มีในครัวเพียงไม่กี่อย่างนางก็ถอนหายใจยาว เช่นนั้นก็ทำซุปไข่มะเขือเทศ กับผัดกวางตุ้งอีกสักจานก็แล้วกัน เฉินหลิงเว่ยเดินไปที่หลังบ้านเด็กผักกวางตุ้งและเก็บมะเขือเทศมาเพิ่มก่อนลงมือทำอาหารอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามอาหารสามอย่างก็ถูกยกมาที่สกุลหวัง
“รสมือเจ้าวิเศษนัก ข้าว่าเจ้าเลิกปลูกผักแล้วหันไปเปิดเหลาอาหารเถิด”
“ท่านป้ากล่าวเกินไปแล้ว”
เฉินหลิงเว่ยยิ้มหวานให้หลี่จื่อเหยา ก่อนจะตักซุปไข่มะเขือเทศให้หวังซิงซิง
“อร่อยยิ่งนัก นอกจากรสมือท่านย่ากับท่านแม่แล้ว ท่านน้าเฉินข้าชอบรสมือท่านที่สุด”
หวังซิงซิงเอ่ยเสียงสดใส เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของบรรดาผู้ใหญ่ทั้งห้า จวบจนยามซวี หวังเฮ่อเหรินและหรูซินหนี่ย์จึงเดินมาส่งนางที่เรือนของนาง
“น้องเฉิน ขอบคุณเจ้ามาก อาหารมื้อนี้อร่อยยิ่งนัก”
“เห็นพวกท่านชอบข้าก็ดีใจ”
“แม่นางเฉิน เราคนกันเองไม่ต้องเกรงใจ”
“เช่นนั้นต่อไปพวกท่านก็เรียกข้าว่าเว่ยเอ๋อร์ดีหรือไม่เจ้าคะ”
ดวงตาคมของหวังเฮ่อเหรินฉายแววลำบากใจก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่หรูซินหนี่ย์ยกยิ้มกว้างเดินเข้ามาจับมือบางที่เริ่มหยาบกร้านของเฉินหลิงเว่ย
“เจ้าเอ่ยแล้วห้ามคืนคำนะเว่ยเอ๋อร์”
“เจ้าค่ะ”
เฉินหลิงเว่ยมองตามคู่สามีภรรยาที่จากไปแล้วถอนหายใจยาว ใบหน้าที่มักนิ่งเฉยเป็นส่วนใหญ่ระบายยิ้มน้อยๆ แหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องนภาอันมืดมิด
ข้าจะเป็นดั่งดวงดาวที่แม้จะไม่ยิ่งใหญ่เช่นดวงจันทร์ แต่ก็ไม่เคยย่อท้อที่จะคงอยู่บนผืนนภาอันกว้างใหญ่ พยายามเปล่งประกายต่อสู้กับความมืดมิด เผยตัวตนอันทรงคุณค่าและงดงามโดยไม่ต้องพึ่งพาแสงจากสว่างจากดวงจันทร์
………………………………………