หนิงเหมยจูไม่คิดว่าสามีจะหน้ามึนได้ขนาดนี้ ภาพจากความทรงจำไหนเลยจะมีความเย็นชาหลงเหลืออยู่ มีแต่ผู้ชายหน้าไม่อายอยู่ตรงนี้แทน
"ฉันไม่พูดกับพี่แล้ว เข้าไปดูแม่ดีกว่า" ถ้าจะบอกว่าเธอไม่อายคงจะเป็นคำโกหกแน่นอน ตงซีเฉินดูอาการของภรรยาที่หน้าขึ้นสีแดงทำให้ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังลั่นด้วยความชอบใจ ในเมื่อเธอมีความเขินอายให้กับเขา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากแล้วที่จะได้หัวใจของเธอมา ถ้าเกิดภรรยาจะด่าว่าเขาหน้าด้าน เขาพร้อมที่จะยืดอกรับอย่างลูกผู้ชายว่าเขาหน้าด้านจริงๆ
"เป็นอะไรเหมยจู ทำไมหน้าแดงแบบนั้น แล้วลูกเขยเป็นอะไรทำไมหัวเราะซะเสียงดังเชียว" ฟู่เจียจิ่นเงยหน้าถามขณะที่เธอกำลังจัดวางของให้เข้าที่เข้าทาง ถึงแม้ว่าบ้านจะเก่าและไม่ใหญ่แต่ยังคงมีพื้นที่ให้เธอวางจักรเย็บผ้าไว้ทำงาน
"ไม่มีอะไรหรอกแม่ แล้วเป็นยังไงบ้างชอบจักรหลังนี้ไหม หนูเห็นว่าแบบนี้น่าจะเหมาะกับแม่ รอหนูมีเงินแล้วเราค่อยย้ายไปอยู่ในอำเภอกันหนูจะซื้อแบบใหม่ให้ แม่ใช้แบบนี้ไปก่อนนะ"
"ลูกจะไปอยู่ในอำเภอเหรอ แล้วบ้านที่นี่ล่ะ หรือว่าไม่ต้องสร้างใหม่ เอาเงินไปซื้อบ้านใหม่แทน"
"คงอีกนานค่ะแม่ หนูยังไม่เจอบ้านที่ถูกใจ อีกอย่างฮุ่ยหมินก็เกือบสองปีกว่าจะเรียนจบมัธยมปลาย ใจหนูอยากได้เรือนสี่ประสาน หรือไม่ก็สร้างบ้านใหม่ไปเลย แต่ต้องขอเก็บเงินก่อน เราอยู่ที่นี่อีกปีสองปีค่อยขยับขยายนะคะแม่"
"เหนื่อยไหมลูก แม่กับน้องยังมาเพิ่มภาระให้ลูกอีก"
ฟู่เจียจิ่นลูบหัวและโอบกอดลูกสาวด้วยความรักและสงสาร อายุแค่สิบแปดสิบเก้าปีกลับต้องดูแลหลายชีวิต เธอรู้ว่าลูกเขยอย่างตงซีเฉินคงไม่ปล่อยให้ลูกสาวเธอลำบากคนเดียว แต่ในเมื่อเขาเพิ่งจะหายป่วยคงทำงานหนักไม่ได้ แค่เธอเห็นลูกเขยปั่นจักรยานกลับมาเธอยังอยากจะดุเลย ขาเพิ่งจะหายยังปั่นจักรยานมาจากอำเภออีก แต่ใจหนึ่งเธอคิดว่าลูกเขยอาจจะหายมานานแล้วแต่เพื่อลองใจลูกสาวของเธอเลยแกล้งเป็นเดินไม่ได้ แต่ว่าเพราะเหตุผลอะไรก็ช่างเถอะ ขอแค่เพียงรักและดีกับลูกสาวเธอก็พอแล้ว
"ไม่เหนื่อยค่ะแม่ หนูไม่ได้ทำงานคนเดียวเสียหน่อย ต่อให้เหนื่อยจริงๆ หนูก็ยังมีแม่ มีฮุ่ยหมิน มีเสี่ยวลู่ และพี่ซีเฉินอยู่เป็นกำลังใจให้ พี่ซีเฉินเองก็เดินได้แล้ว เขาไม่ปล่อยให้หนูทำงานคนเดียวหรอกค่ะ" หนิงเหมยจูกอดเอวแม่แน่นก่อนจะพูดน้ำเสียงติดอ้อนหน่อยๆ ด้วยชาติที่แล้วเธอไม่มีแม่และครอบครัวเหมือนตอนนี้ เธอเลยคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะต้องรักษาครอบครัวที่แสนอบอุ่นนี้ไว้ ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าที่จะเข้ามาทำลายหรือทำร้ายคนในครอบครัว เธอพร้อมที่จะฟาดฟันและย้อนกลับอย่างเจ็บแสบเพื่อปกป้องทุกคน
"แม่คิดว่าจากสายตาคนแก่แบบแม่มองลูกเขยคนนี้ แม่เชื่อว่าในใจของซีเฉินนั้นมีลูกอยู่เต็มหัวใจแล้วล่ะ แล้วลูกล่ะ มีลูกเขยอยู่ในใจบ้างหรือยัง แม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ที่เหมยจูยอมทำให้ตัวเองเสื่อมเสียและใช้วิธีที่ไม่เหมาะสมเพื่อบังคับให้ซีเฉินแต่งลูกเข้ามา เพื่อที่ลูกจะได้หลุดพ้นจากบ้านหนิงนั้นลูกไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ให้กับซีเฉินเลย แต่แม่เชื่อว่าตอนนี้ลูกไม่ได้ใจแข็งเหมือนเดิม หากรักก็บอกว่ารัก ลูกควรจะเก็บความรู้สึกที่มีค่านี้ไว้นะ
แต่ถ้าลูกคิดว่าลูกไม่มีวันที่จะเอาซีเฉินเข้ามาอยู่ในใจหรือว่าไม่มีทางรักเขาแน่ๆ แม่อยากให้ลูกปล่อยซีเฉินไป ทั้งลูกและซีเฉินจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดในวันข้างหน้าทั้งสองคนอาจจะเจอใครที่เหมาะสมก็ได้ ลูกว่าจริงไหม" ฟู่เจียจิ่นพูดกับลูกสาวอ่อนโยน แต่เมื่อเห็นว่าลูกเขยยืนมองอยู่เธอจึงเลือกที่จะพูดประโยคสุดท้ายออกไป แต่กลายเป็นว่าหนิงเหมยจูนั้นส่ายหัวกับอกแม่ของเธอคอแทบหลุด ก่อนจะเงยหน้ามองและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ถ้าถามว่าหนูรักพี่ซีเฉินไหม หนูตอบไม่ได้เพราะหนูไม่รู้ว่าความรักคืออะไร เพราะความรู้สึกที่หนูมีให้นั้นมันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่หนูมีให้แม่และน้อง แม้แต่ที่หนูมีให้เสี่ยวลู่ก็ไม่เหมือนกัน หนูมีความหวง ห่วง ให้กับพี่ซีเฉิน หนูไม่อยากให้พี่ซีเฉินมองผู้หญิงคนอื่น อยากให้มองแต่หนู แต่แม่คะ ต่อให้ความรู้สึกที่หนูมีให้พี่ซีเฉินมันคือความรัก แต่หนูกลัว กลัวว่าถ้าหนูให้ใจพี่ซีเฉินไปทั้งหมด แล้ววันหนึ่งพี่ซีเฉินมีคนอื่นหรือปันใจให้คนอื่นหนูคงรับไม่ได้
หนูกลัวว่าเขาจะเหมือนผู้ชายคนนั้น หนูอยากขอเวลาอีกสักหน่อย ให้มั่นใจมากกว่านี้ แล้วหนูจะมีหลานตัวน้อยเพิ่มให้แม่นะคะ เสี่ยวลู่เองก็อยากมีน้องแต่หนูไม่รู้จะบอกลูกยังไง" แม้ว่าเธอจะข้ามมาอยู่ยุคนี้ แต่ความกลัวเธอยังคงมี เธอกลัวว่าถ้าหากเธอเทใจให้กับพี่ซีเฉินเมื่อไหร่ หากวันหนึ่งเขาเจอสิ่งยั่วยวนและเผลอตัวเผลอใจไปกับคนอื่น เธอไม่อยากให้เป็นเหมือนชาติที่แล้ว ฟู่เจียจิ่นลูบหัวลูกสาวเพราะคิดว่าเธอฝังใจกับการกระทำของพ่อตัวเอง
"ไม่ว่าน้องจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน พี่ก็จะรอครับ พี่ไม่ขอสัญญาแต่พี่จะทำให้น้องเห็นว่าพี่รักน้องและจะมีน้องเป็นภรรยาเพียงคนเดียว"
ตงซีเฉินเดินออกมา เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ อีกทั้งเขาและเธอก็เพิ่งจะมีความรู้สึกดีๆ ให้กันได้ไม่กี่วัน จะให้เธอมั่นใจเขาเต็มหัวใจคงไม่ใช่ เขาจะใช้เวลาทั้งหมดหลังจากนี้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเธอและรอวันที่เธอทลายกำแพงนั้นออกมา และเขาเชื่อว่าคำสัญญานั้นไม่สำคัญเท่ากับการกระทำทั้งหมด หนิงเหมยจูหันกลับไปมองตามเสียงของสามี เมื่อเห็นว่าเขาอ้าแขนรอเธออยู่ หนิงเหมยจูจึงโผเข้าหาอ้อมกอดของชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี และคิดว่าสักวันเธอคงจะรักเขาเต็มหัวใจและเลิกที่จะกลัวทุกอย่าง
"ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณที่เข้าใจ" สองสามีกระชับอ้อมกอดเข้าหากัน ฟู่เจียจิ่นมองลูกสาวและลูกเขยด้วยรอยยิ้ม หวังว่าอีกไม่นานลูกสาวของเธอจะทลายกำแพงที่อยู่ในใจได้ จะว่าไปจะโทษเหมยจูคงไม่ได้เพราะชีวิตคู่ของคนเป็นพ่อแม่ที่มีให้เห็นอาจจะทำให้ลูกสาวของเธอกลัว
กลับมาที่สองคนน้าหลานหนิงฮุ่ยหมินและเสี่ยวลู่ที่ตอนนี้สอนกันขี่จักรยานออกมานอกบ้าน เสี่ยวลู่เองก็หัวไวไม่น้อย ฝึกไม่นานเด็กน้อยก็สามารถขี่ได้โดยไม่ต้องให้น้าชายจับเหมือนตอนแรกๆ ตลอดเส้นทางที่สองคนน้าหลานผ่าน มีเด็กหลายคนต่างมองด้วยความสนใจ เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นจักรยานคันเล็กแบบนี้ ส่วนมากที่มีคือจักรยานของผู้ใหญ่คันใหญ่ๆ ซึ่งพวกเขาขี่เองไม่ได้เพราะขาไม่ถึง แต่พอเห็นเสี่ยวลู่ลูกสาวตงซีเฉินขี่มาโดยมีน้าชายเดินตามนั้น ทำให้เด็กทั้งหลายเกิดความสนใจ ต่างก็คอยมองและพยายามเดินตาม
"น้าฮุ่ย ถ้ามีคนอยากได้จักรยานคันนี้ทำยังไงดี" เสี่ยวลู่กวักมือเรียกน้าชายให้มาอยู่ใกล้ๆ จากนั้นจึงกระซิบถาม
"แล้วหนูคิดว่าเราสองคนควรจะทำยังไงดี เรากลับบ้านตอนนี้ไหม" หนิงฮุ่ยหมินเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเสี่ยวลู่หลานสาวตัวน้อยจะทำยังไง
"เราขี่ไปจนถึงหน้าบ้านหม่าก่อนดีกว่า แล้วค่อยกลับ" เสี่ยวลู่มีแววตาเจ้าเล่ห์เมื่อคิดถึงบ้านหม่า หนิงฮุ่ยหมินรู้ดีว่าบ้านหม่านั้นเป็นบ้านของเศรษฐี เพราะลูกสาวบ้านหม่าแต่งงานกับคนมีเงินในปักกิ่งและแต่ละเดือนนั้นส่งเงินให้ครอบครัวเยอะ อีกทั้งลูกชายทั้งสองยังเปิดร้านในอำเภอ แต่เขาไม่รู้ว่าเปิดร้านอะไร แต่สิ่งที่เขาสงสัยคือหลานสาวจะไปทำไมหน้าบ้านหม่า
ทั้งสองคนมาถึงหน้าบ้านหม่าก็วนรถกลับบ้าน แต่ออกมาไม่นานจึงมีเสียงของแม่เฒ่าหม่าร้องเรียก "ฮุ่ยหมิน เสี่ยวลู่รอก่อน"
"มีอะไรหรือเปล่าครับย่าหม่า" หนิงฮุยหมินหันกลับไปถาม
"ฉันจะถามว่าเธอทั้งสองคนซื้อจักรยานของเด็กมาจากที่ไหน" แม่เฒ่าหม่าปวดหัวมากเพราะหลานๆ ทั้งสามคนร้องอยากได้จักรยานคันน้อยแบบนี้
"แม่เป็นคนซื้อมาให้หนูค่ะย่าหม่า หากซื้อยากมากนะคะ ย่าหม่าอยากได้เหรอ" เสี่ยวลู่เป็นคนตอบ และถามกลับ
"ใช่แล้วเสี่ยวลู แต่ว่าราคาแพงหรือเปล่า"
"คันละร้อยห้าสิบหยวนค่ะ แม่บอกแบบนั้น แม่บอกว่าคันเล็กทำยากราคาเลยแพง ย่าหม่าอยากลองให้พี่ๆ ขี่ดูไหมล้อเล็กๆ แม่บอกว่าถอดออกได้นะคะ" เสี่ยวลู่สวมวิญญาณแม่ค้าตัวน้อยบอกรายละเอียดต่างๆ ด้วยความกระตือรือร้น หากขายจักรยานได้แม่เหมยจูต้องชมเธอว่าเก่งแน่ๆ
"ลองขี่ได้ใช่ไหม เอ้าเด็กๆ มาลองขี่ดู"
ย่าหม่ายิ้ม ก่อนจะเรียกหลานๆ มาลองขี่ ถ้าถามว่าร้อยห้าสิบหยวนนั้นแพงไหม สำหรับชาวบ้านธรรมดานั้นแพง แต่สำหรับบ้านหม่าที่มีกำลังซื้อนั้นไม่แพงเลย เมื่อหลานๆ ทั้งสามคนของบ้านหม่าลองขี่แล้วเกิดความติดใจและชอบใจ จึงอยากได้เหมือนเสี่ยวลู่บ้าง จึงได้หันไปมองย่าของตัวเองตาปริบๆ เพราะความอยากได้
"ฮุ่ยหมิน ถ้าฉันสั่งกี่วันจึงจะมาส่งให้ได้ ฉันจะซื้อให้หลานๆ ทั้งสามคน" ย่าหม่าใจอ่อนกับสายตาของหลานๆ จึงได้ถามว่าถ้าเธอซื้อนั้นกี่วันได้
"แม่ต้องเข้าอำเภอแล้วโทรไปสั่งค่ะ ต้องรอเป็นอาทิตย์ว่าเขาจะส่งมาให้ คันนี้กว่าแม่จะได้มาแม่ต้องเหมาเกวียนไปรับมาเองเลยได้เร็ว แต่ถ้าย่าหม่าอยากได้เร็วย่าหม่าจ่าค่าเกวียนและค่าขนส่งเองไหม สิบหยวนเท่านั้นค่ะ ค่าจ้างเกวียนค่าขนส่งสิบหยวน"
เสี่ยวลู่ไม่รู้หรอกว่าจักรยานสามคันนั้นรวมกันแล้วได้เท่าไหร่ แต่พอบอกว่าค่าเกวียนนั้นสิบหยวนเด็กน้อยชูมือทั้งสองข้างให้ดูว่าสิบหยวนเท่ากับสิบนิ้วของเธอ ย่าหม่าหัวเราะชอบใจ ในความเป็นแม่ค้าตัวน้อยของเสี่ยวลู่
"ฮ่าๆๆ เอาอย่างนี้นะเสี่ยวลู่ ย่าหม่าให้ค่าจ้างเกวียนยี่สิบหยวนเลยแต่มาส่งพรุ่งนี้ได้ไหม" ย่าหม่าพูดอย่างใจดี หลานๆ ตัวน้อยทั้งสามของเธอมองตาปริบๆ หากนานกว่านี้มีหวังหลานๆ ของเธอคงขาดใจ ก็เพราะแม่ค้าอย่างหนูน้อยเสี่ยวลู่ขี่มายั่วยวนใจถึงหน้าบ้านแบบนี้
********************