บทที่ 25 การค้าครั้งใหญ่กำลังจะมา

2148 คำ
เสี่ยวลู่พอรู้ว่าจะได้เงินเพิ่มอีกสิบหยวนก็ยิ้มแป้นอย่างดีใจแม่ค้าตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ คอแทบหลุด ไม่ต้องกลับไปถามแม่หรอก ได้เพิ่มอีกสิบหยวนแม่ต้องยอมแน่ๆ "แต่แม่ค้าตัวน้อยคนนี้ต้องการเงินมัดจำก่อนหรือเปล่า" ย่าหม่าถามกลับ เธอรู้ว่าบ้านสี่ตงนั้นไม่ค่อยมีเงินเท่าไหร่เลยอยากจะจ่ายเงินให้ก่อน เสี่ยวลู่มองหน้าน้าชายเพราะเธอไม่เข้าใจว่ามัดจำก่อนคืออะไร ทำให้ฮุ่ยหมินมองหลานสาวตัวน้อยที่สวมบทบาทเป็นแม่ค้าด้วยความเอ็นดูและอธิบายช้าๆ ให้หลานเข้าใจ “ย่าหม่าต้องการถามเสี่ยวลู่ว่าจะให้ย่าหม่าจ่ายเงินมัดจำก่อนไหมนั้น เพราะว่าการที่จ่ายเงินมัดจำก่อนคือการจ่ายเงินให้บางส่วนหรือจ่ายให้ทั้งหมดเพื่อความมั่นใจว่าคนซื้อจะไม่ยกเลิกการซื้อสินค้า และแม่ค้าจะต้องเอาสินค้านั้นๆ มาส่งให้ถึงมืออย่างแน่นอน” เสี่ยวลู่เมื่อเข้าใจแล้วว่าคำว่ามัดจำคืออะไรก็พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะบอกย่าหม่าด้วยรอยยิ้ม "ถ้าย่าหม่าจ่ายเงินก่อนก็ได้ค่ะ แต่หนูเชื่อว่าย่าหม่าต้องไม่ยกเลิกแน่ๆ เลย เพราะย่าหม่าทั้งสวยและใจดี เสี่ยวลู่เชื่อใจย่าหม่าค่ะ" เสี่ยวลู่พูดด้วยรอยยิ้มและท่าทางน่าเอ็นดูทำให้ย่าหม่าหัวเราะชอบใจ มีใครบ้างไม่ชอบให้ชมว่าสวยแม้ว่าเธอจะะแก่แล้วก็ตาม "ว่ายังไงฮุ่ยหมิน" ย่าหม่าหันไปถามฮุ่ยหมิน "เอาอย่างที่เสี่ยวลู่บอกนั่นแหละครับย่าหม่า ขอบคุณมากนะครับที่ทำการค้ากับพวกเรา" ในเมื่อหลานตัวน้อยบอกว่าไม่เป็นไรเขาก็ทำตามอย่างที่เสี่ยวลู่บอก เพราะยังไงบ้านหม่าก็ไม่ใช่คนร้ายกาจซ้ำยังเป็นแม่เฒ่าใจดีอีกด้วย แต่เขาต้องรีบกลับไปบอกพี่สาวก่อน จากนั้นจึงหันไปลาแม่เฒ่าหม่าก่อนจะพากันกลับบ้านอย่าอารมณ์ดี เมื่อมาถึงบ้านเสี่ยวลู่จอดจักรยานเสร็จแล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน พอเห็นว่าแม่กำลังนั่งช่วยยายจัดของส่วนพ่อก็อยู่ช่วยด้วย เด็กน้อยจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังอย่างตื่นเต้น "แม่ขา เสี่ยวลู่เก่งไหม" เมื่อเล่าจบแล้วเด็กน้อยถามทุกคนด้วยรอยยิ้ม "เก่งมากค่ะ รู้จักช่วยพ่อแม่หาเงินตั้งแต่เด็กแบบนี้แม่ภูมิใจในตัวหนูมากเลยลูก" หนิงเหมยจูเอ่ยชม เธอไม่ได้มองว่าเสี่ยวลู่จะทำยังไงหรือว่าขายเท่าไหร่ เธอมองว่าเสี่ยวลู่นั้นมีความกล้ามาก กล้าที่จะลอง กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ "แต่ว่าย่าหม่าให้ราคาคันละตั้งร้อยห้าสิบหยวนเลยเหรอ แม่ซื้อมาไม่ใช่ราคานี้นะลูก ถูกกว่านี้" ในความคิดเธออยากที่จะเปิดร้านขายจักรยานเด็กน้อยอยู่เหมือนกัน ในมิติของเธอนั้นมีหลายขนาด แต่ไม่คิดว่าลูกสาวจะกล้าขายในราคานี้และเปิดการขายก่อนเธอเสียอีก "หนูบอกย่าหม่าเองค่ะแม่ หนูบอกว่าคันเล็กช่างเขาทำยาก ราคาเลยแพง และย่าหม่าบอกว่าถ้ามาส่งพรุ่งนี้ย่าหม่าให้ค่าจ้างเกวียนตั้งยี่สิบหยวน แม่ไปเอาจักรยานมาขายให้หน่อยได้ไหม" เสี่ยวลู่พูดเสียงอ้อนทำตาปริบๆ เพราะกลัวว่าถ้าไม่มีจักรยานมาขายพรุ่งนี้เธอจะเสียลูกค้ารายใหญ่ "ได้สิ พรุ่งนี้แม่กับพ่อจะไปเอาให้ แต่แม่เอาแค่หนึ่งร้อยหยวนก็พอ หนูกับน้าฮุ่ยหมินแบ่งกันเองนะกำไรคันละห้าสิบหยวน" หนิงเหมยจูไม่ได้อยากขายแพง เพราะคิดว่าต่อไปหากมีคนใช้เยอะขึ้นคงจะมีช่างหัวใสทำมาเลียนแบบเหมือนกัน ถ้าหากว่าเธอสามารถทำขายเองก็ดีสินะ จะได้จดสิทธิบัตรเป็นของตัวเอง ไม่ว่าใครก็ทำแบบเดียวกันกับเธอไม่ได้ ถ้าอยากทำก็ต้องทำแบบอื่นรุ่นอื่น "ผมไม่เอาหรอกพี่ใหญ่ ครั้งนี้เป็นการค้าขอเสี่ยวลู่ให้หลานเก็บไว้เถอะ" หนิงฮุ่ยหมินรีบปฏิเสธ เพราะการค้าครั้งนี้เขาไม่ได้ทำอะไรเลย "ไม่ได้ค่ะน้าฮุ่ย น้าต้องเอาหนูให้" เสี่ยวลู่ไม่ยินยอมเด็กน้อยคิดว่าในเมื่อไปด้วยกันก็ต้องได้ด้วยกัน แล้วทำไมน้าฮุ่ยของเธอจึงไม่อยากได้ เสี่ยวลู่กอดอกอย่างไม่ยินยอม เธออยากให้น้าชายได้เงินด้วยเหมือนกันนี่ "เอาไงล่ะฮุ่ยหมิน หลานตัวน้อยงอนนายแล้ว" ตงซีเฉินแซวน้องภรรยา "ก็ได้ครับน้ายอมแล้ว น้าเอาส่วนแบ่งด้วยก็ได้ หลานสาวของน้า หนูห้ามงอนนะครับ" มีเหรอที่คนหลงหลานสาวอย่างหนิงฮุ่ยหมินจะไม่ยอม ในเมื่อหลานตัวน้อยกอดอกไม่มองหน้าเขาแบบนี้ เมื่อสองคนต่างวัยตกลงเรื่องส่วนแบ่งกันได้แล้วฟู่เจียจิ่นจึงหันมาคุยกับลูกสาวและลูกเขย "เหมยจูหากพรุ่งนี้เข้าอำเภอลูกสั่งซื้ออาหารมาด้วยนะ เพราะเราต้องทำอาหารเลี้ยงคนงานและช่างที่จะมาสร้างบ้าน บ้านหลังนี้แม่ว่าจะไม่ทุบทิ้งนะซีเฉิน เหมยจูลูกทั้งสองคนว่ายังไง แต่แม่จะขอปรับปรุงเป็นสถานที่ให้แม่ใช้สำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าขาย และหน้าบ้านแม่ใจะทำร้านโชห่วยเล็กๆ" ฟู่เจียจิ่นอยากมีพื้นที่ในการทำงานเพราะถ้าเกิดว่ายอดขายเยอะขึ้นมาคงต้องหาผู้ช่วย เธอไม่อยากให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของครอบครัว "ได้ครับแม่ยาย เอาอย่างที่พูดมาก็ได้ครับ ผมไม่มีปัญหา" "หนูก็เห็นด้วยค่ะ จะได้แยกการทำงานเป็นสัดเป็นส่วน" หนิงเหมยจูเองก็เห็นด้วยกับความคิดของแม่ ทำให้ตอนนี้ภายในบ้านพูดคุยกันด้วยเสียงหัวเราะและบรรยากาศอบอวลไปด้วยความอบอุ่นของคำว่าครอบครัว ทางด้านของอ้ายจินที่แทบไม่มีใครรู้เลยว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นเป็นภรรยาของท่านนายพลป้านแต่ตระกูลป้าน เธอและสามีย้ายมาอยู่ที่อำเภอแห่งนี้ได้หลายปีแล้ว ทุกคนรู้เพียงว่าเธอเป็นเพียงเถ้าแก่เนี่ยร้านขายผ้าร้านใหญ่ในอำเภอและมีสามีเป็นทหารเท่านั้น "เป็นไงบ้างลูกชอบรถเข็นคันนี้ไหม" อ้ายเจินถามลูกชายด้วยรอยยิ้ม นี่คงจะเป็นรอบหนึ่งปีที่เธอเห็นลูกชายคนเล็กมีความสุข หนึ่งปีก่อนเซียงเหวินลูกชายของเธอเดินทางไปค้าขายแล้วประสบอุบัติเหตุทำให้ร่างกายส่วนล่างไม่มีความรู้สึก ไม่ว่าจะหาหมอจากที่ไหนมารักษาก็ไม่หาย ทำให้เธอคิดว่าลูกชายคงจะเดินไม่ได้อีกแล้ว หมอบอกว่าลูกชายเธอนั้นเป็นอัมพาตส่วนล่าง ตั้งแต่เอวขึ้นมายังใช้งานได้ปกติ เซียงเหวินนั้นมีคนรักที่หมั้นกันแล้วรอเวลาแค่แต่งงานเท่านั้น แต่พอคู่หมั้นเห็นว่าเขาไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก คู่หมั้นจึงมาขอถอนหมั้นและตอนนี้เธอก็แต่งงานกับคนอื่นไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้ลูกชายที่เสียใจเพราะตัวเองต้องพิการอยู่แล้วยิ่งเสียใจมากกว่าเดิม "ดีครับแม่ แต่ว่าแม่หารถเข็นแบบนี้มาจากไหน ผมไม่เคยเห็น แบบที่มีในโรงพยาบาลยังไม่ดีขนาดนี้เลย" ป้านเซียงเหวินถามแม่ตัวเอง ตอนนี้เหมือนเขาทำใจได้แล้วกับร่างกายของตัวเอง แต่ที่เขาหดหู่มาตลอดนั้นเพราะไม่ต้องการที่จะเป็นภาระของครอบครัว แต่ในเมื่อตอนนี้เขามีรถเข็นที่สามารถไปไหนมาไหนด้วยตัวเองได้แล้ว เขาจึงคิดว่าตัวเองควรจะลุกขึ้นสู้ พ่อแม่จะได้ไม่คิดมากเรื่องของเขาอีก "เธอชื่อหนิงเหมยจูหลายวันก่อนเธอพาสามีมาโรงพยาบาลเธอเดินผ่านร้านแม่ แม่เลยวิ่งตามไปคุยด้วย เลยรู้ว่าสามีเธอเดินไม่ได้และเธอเป็นคนสั่งซื้อรถคันนี้มาให้สามีแต่เธอก็ขายด้วยนะ มีคนสั่งหลายคันเลยล่ะ อีกคันหนึ่งแม่ว่าจะส่งไปให้น้าชายของลูก รายนั้นจะได้ไม่ต้องขังตัวเองอยู่แต่ในห้องอีก" "แม่ครับผมอยากเจอเธอคนนั้นและสามี แม่รู้ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน ผมอยากคุยเรื่องการค้า ถ้าเกิดเธอขายให้เราในราคาส่ง เราส่งขายได้ทั่วเลยนะครับ ผมเชื่อว่าจะต้องขายได้ ยิ่งส่งไปปักกิ่งหรือเซี่ยงไฮ้ ผมว่าคนต้องซื้อจนสั่งมาขายไม่ทันเลยล่ะ ราคาที่เธอขายมาก็ไม่แพงเลยนะครับ ยิ่งถ้าเราติดต่อขายให้กับโรงพยาบาลได้ผมว่าจะต้องไปได้สวย" ป้านเซียงเหวินนั้นมีหัวการค้าตั้งแต่เด็ก เขาไม่คิดที่จะรับราชการเป็นทหารเหมือนพ่อกับพี่ชาย ก่อนที่เขาจะเป็นอัมพาตเดินไม่ได้เขาก็เดินทางค้าขายมาทั่วประเทศ ถ้าเขาคิดว่าขายได้มันก็ต้องได้ "ลูกแน่ใจนะว่าจะออกจากบ้าน ถ้าลูกมั่นใจพรุ่งนี้แม่จะให้คนขับรถพาไป เธอบอกแล้วว่าเธออยู่หมู่บ้านเหอซานบ้านสี่ตง รอพ่อกลับมาจากทำงานก่อนเย็นนี้เราค่อยคุยกันเผื่อว่าพ่อจะไปด้วย" "ได้ครับแม่ ขอบคุณมากครับ" ป้านเซียงเหวินยิ้มรับก่อนจะเข็นพาตัวเองออกมาสูดอากาศหน้าบ้าน นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ออกมาเจอแสงสว่างแบบนี้ วันต่อมาหนิงเหมยจูและตงซีเฉินปั่นจักรยานเข้าอำเภอตามที่ลูกสาวตัวน้อยต้องการและไปเอารถจักรยานเด็กน้อยมาส่งให้บ้านของย่าหม่า สองสามีภรรยาใช้เวลาไม่นานมากเพราะต้องรีบกลับเนื่องจากวันนี้ช่างเริ่มมาเกลี่ยพื้นที่จะสร้างบ้าน เธอจึงรีบนำอาหารมาทำให้กิน ลุงเซียงยังขับเกวียนเข้ามาส่งของให้เหมือนเดิน วันนี้หนิงเหมยจูจ่ายเงินค่าเกวียนให้ลุงเซียงสิบหยวน ลุงเซียงแทบตกจากเกวียนเมื่อเห็นเงิน แค่เอาจักรยานมาส่งให้ได้เงินตั้งสิบหยวน มันมากเกินไปแล้ว แค่หยวนเดียวก็ค้ากำไรเกินควรแล้ว จึงส่งเงินกลับคืนให้หนิงเหมยจู แต่กลายเป็นแม่ค้าตัวน้อยอย่างเสี่ยวลู่บอกว่าไม่ต้องคืน "ไม่ต้องคืนค่ะตาเซียง เสี่ยวลู่ขอค่าจ้างเกวียนจากย่าหม่ามายี่สิบหยวน ให้แม่สิบหยวนให้ลุงเซียงสิบหยวน เสี่ยวลู่เก่งไหม" เสี่ยวลู่บอกอย่างภาคภูมิใจ "รับไปเถอะค่ะ เสี่ยวลู่จะเสียน้ำใจนะ เดี๋ยวครั้งหน้าเสี่ยวลู่ไปจ้างคนอื่นลุงซียงจะมาโกรธฉันไม่ได้นะ เมื่อวานแม่ค้าตัวน้อยคนนี้ยังบังคับให้น้าชายรับส่วนแบ่งด้วยเหมือนกัน" หนิงเหมยจูหัวเราะกับท่าทางของลุงเซียงที่ทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเงินค่าจ้างสิบหยวนที่ได้รับ "ใช่ค่ะ ตาเซียงต้องกินเยอะๆ ตัวจะได้โตๆ เสี่ยวลู่จะช่วยแม่ขายของอีก จะช่วยแม่หาเงิน ต่อไปตาเซียงจะต้องขับเกวียนขนของอีกเยอะเลย ตาเซียงจะต้องแข็งแรงจะได้ช่วยแม่เหมยจูขนของไปส่งลูกค้า" เสี่ยวลู่ทำเสียงดุ เธออยากให้ตาเซียงช่วยแม่ทำงานไปแบบนี้ แต่ท่าทางของเธอนั้นเหมือนลูกแมวตัวน้อยเสียมากกว่า กลายเป็นสร้างความเอ็นดูให้กับคนที่มอง ลุงเซียงเองก็หัวเราะชอบใจในการรู้ความของเด็กน้อย แม้ว่าเขาจะเจอเด็กน้อยเพียงสองครั้ง เขากลับรู้สึกหลงรักเด็กน้อยคนนี้เข้าเสียแล้ว "ขอบใจมากนะเสี่ยวลู่แม่ค้าตัวน้อยที่ให้ค่าจ้างตาตั้งสิบหยวน ครั้งหน้าตาจะซื้อขนมมาฝากนะลูก ตาต้องรีบไปบอกข่าวดีนี้ให้ภรรยาตาได้รู้แล้ว ว่ามีนางฟ้าใจดีตัวน้อยว่าจ้างตาตั้งสิบหยวนแหนะ" ลุงเซียงพูดจบก็เอ่ยลากับทุกคนพร้อมกับกลับออกไปจากหมู่บ้านด้วยรอยยิ้ม ********************
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม