หนิงเหมยจูไม่คิดว่าคนนี้จะจ่ายยอมจ่ายค่ารถเข็นในราคาถึงห้าร้อยหยวน มันแพงไปหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะในเมื่อเสนอมาเธอก็ยินดีน้อมรับ
"ได้ค่ะป้า แต่ต้องพรุ่งนี้นะคะ ป้ามารับได้ไหมวันนี้ฉันไม่สะดวกต้องพาสามีมาหาหมอ" เธออยากได้เงินนะใช่ แต่ยังไม่อยากเผยความลับตัวเองออกไปให้สามีได้สงสัย ต่อให้เงินสำคัญแต่ตอนนี้สามีสำคัญกว่า
"ได้สิ ป้าชื่ออ้ายเจิน หนูเห็นร้านผ้าร้านนั้นไหม นั่นร้านป้าเองหนูไปหาป้าร้านนั้นได้เลย" อ้ายเจินพยักหน้าตกลง เธอชี้ให้ดูร้านขายเสื้อผ้าขนาดใหญ่ให้หนิงเหมยจูดูว่าร้านเธออยู่ตรงนี้
"ค่ะป้าเจิน พรุ่งนี้ฉันเอามาส่งให้นะคะ ฉันชื่อหนิงเหมยจูส่วนนี่สามีฉันตงซีเฉิน วันนี้เราสองคนขอตัวก่อนนะคะ" หนิงเหมยจูแนะนำตัวเองและสามีจากนั้นเธอแจ้งว่าพรุ่งนี้เธอจะเอามาส่งให้ก่อนจะขอตัวพาสามีไปโรงพยาบาล
"วันนี้พี่ซีเฉินเก่งมากช่วยฉันหาเงินได้ด้วย" ขณะเข็นสามีมาที่โรงพยาบาลเธอจึงเลือกที่จะชมเขาอย่างให้กำลังใจ
"พี่ดีใจที่มีส่วนช่วย แต่ว่าน้องซื้อมาแพงขนาดนี้เลยเหรอ ความจริงเอารถเข็นคันนี้ไปขายต่อก็ได้นะ" ตงซีเฉินคิดว่าราคาคงจะแพงแน่ๆ และไม่อยากให้ภรรยาเสียเงินเพื่อเขามากขนาดนี้ เลยคิดจะให้เอารถเข็นคันนี้ของเขาไปขายแทน
"พี่ซีเฉินคิดมาก จะขายคันนี้ทำไมฉันไม่ได้ซื้อมาแพงอย่างที่คิดหรอก ฉันซื้อมาแค่ร้อยห้าสิบหยวน ถูกกว่าจักรยานอีก" หนิงเหมยจูกระซิบบอกประโยคสุดท้าย ทำให้ตงซีเฉินตาเป็นประกาย หากเขาช่วยภรรยาขายรถเข็นสามคัน เหมยจูของเขาก็จะมีกำไรพันกว่าหยวน
"เหมยจูน้องไม่โกหกใช่ไหม ขายรถคันหนึ่งได้กำไรขนาดนี้เลยเหรอ"
"จริงค่ะ ฉันไม่โกหก ว่าแต่ดูพี่จะตื่นเต้นนะ พี่รอฉันตรงนี้ก่อนนะ ฉันไปลงทะเบียนกับเจ้าหน้าที่ให้พี่ก่อน"
หนิงเหมยจูหยิบเอกสารส่วนตัวของสามีเดินไปหาเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ตงซีเฉินนั่งรอตรงรถเข็น เขาเห็นว่ามีคนหลายคนมองรถเขา เขาจึงเลือกที่จะเข็นรถไปมาอยู่แถวนั้น เผื่อว่ามีใครสนใจติดต่อขอซื้ออีก เพราะรถเข็นที่มีของโรงพยาบาลไม่สะดวกแบบที่เขาใช้
พอหนิงเหมยจูทำทะเบียนประวัติเสร็จเธอจึงเดินกลับมาที่สามี แต่ต้องขมวดคิ้วเพราะสามีไม่ได้อยู่คนเดียว มีคนประมาณห้าหกคนยืนอยู่ข้างๆ
"เหมยจูน้องมาแล้ว ลุงกับป้ากลุ่มนี้สนใจเก้าอี้รถเข็นที่พี่ใช้อยู่ พี่บอกแล้วว่าน้องซื้อมาคันละสี่ร้อยห้าสิบหยวน แต่ถ้าอยากได้พี่ขายให้ห้าร้อยหยวนขอกำไรกับค่าขนส่งที่ต้องเอามา น้องว่ายังไง พี่บอกแล้วว่าร้านขายเสื้อร้านใหญ่ๆ ก่อนถึงโรงพยาบาลร้านนั้นสั่งซื้อเหมือนกันหนึ่งคันพรุ่งนี้น้องจะเอามาส่งให้ ทุกคนเลยรอคุยกับน้องว่าน้องพอจะหาให้อีกได้หรือเปล่า" ตงซีเฉินบอกภรรยาน้ำเสียงที่ติดจะตื่นเต้นนิดหน่อย
"ได้ค่ะ หากใครต้องการก็แจ้งมาได้เลยพรุ่งนี้เที่ยงให้มารับที่หน้าโรงพยาบาลหรือว่าจะให้ส่งตามบ้านก็ได้แต่มีค่าขนส่งตามระยะทางนะคะ ฉันต้องเหมาเกวียนไปส่งให้" หนิงเหมยจูยิ้มให้สามี ไม่น่าเชื่อว่าพี่ซีเฉินขายของเก่งเหมือนกัน
เมื่อเจรจาซื้อขายเรียบร้อยสรุปแล้วตงซีเฉินขายรถเข็นให้ภรรยาได้อีกห้าคัน ทำให้ระหว่างรอหมอเรียกตรวจ ชายนั่งหนุ่มยิ้มไม่หยุดเขารู้สึกภูมิใจที่ช่วยภรรยาหาเงินได้ เขาเลือกที่จะไม่ถามว่าภรรยาหาของพวกนี้มาได้ยังไง เขาเชื่อเพียงอย่างหนึ่งว่าหนิงเหมยจูภรรยาเขาคนนี้ไม่มีทางทำอะไรผิดกฎหมายและเสี่ยงอันตรายแน่นอน
"วันนี้พี่ซีเฉินน่ารักมาก ช่วยฉันหาเงินได้ตั้งหลายพันหยวน" หนิงเหมยจูเอ่ยชมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม เธอไม่รู้หรอกว่าผลตรวจวันนี้จะเป็นยังไงแต่เธอไม่อยากให้พี่ซีเฉินมองว่าตัวเองเป็นภาระ แต่ใครจะคิดว่าสามีของเธอจะตอบกลับมาจนเธอไปไม่เป็นแบบนี้ ทำเอาหนิงเหมยจูแก้มแดงด้วยความอาย
"น่ารักแล้วรักไหม" ตงซีเฉินถามกลับ
"คุณตงซีเฉินเชิญพบคุณหมอค่ะ" ดีที่มีเสียงของพยาบาลเรียก ไม่อยากนั้นเธอไม่รู้จะตอบสามียังไงเหมือนกัน
เมื่อเข้ามาในห้อง หมอตรวจบาดแผลที่ตอนนี้กลายเป็นแผลเป็นไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะตรวจขาทั้งสองข้าง หมอขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาก่อนจะส่งตัวไปอีกที่เพื่อถ่ายภาพตรวจดูกระดูกขาทั้งสองข้าง
หนิงเหมยจูให้กำลังใจสามี ไม่ว่าจะเป็นยังไงเธอก็ขออยู่ข้างๆ ไม่ไปไหน หมอใช้เวลาพักใหญ่จึงพาตงซีเฉินกลับมาที่ห้องเดิมที่มีหนิงเหมยจูรออยู่
"คุณเป็นภรรยาของคนไข้นะครับ อาการของสามีคุณหมอไม่กล้ารับประกันว่าสามารถกลับมาเดินได้อีกครั้งหรือเปล่า กระดูกขาทั้งสองข้างไม่ได้แตกละเอียด เพียงแค่หักเท่านั้น แต่เพราะคนไข้ไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้หมอไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะหายเมื่อไหร่ ครั้งนี้หมอจ่ายยาบำรุงกระดูกไปให้รวมถึงยารักษาอื่นๆ นะครับ เดือนหน้ามาหาหมออีกครั้ง แต่ถ้ากินยาแล้วรู้สึกไม่ดี รีบมาหาหมอนะครับ" หมอไม่อยากบอกตามตรงว่าโอกาสหายนั้นแทบจะไม่มี กลัวว่าคนไข้จะเสียกำลังใจ แต่ถ้าไปต่างประเทศก็ไม่แน่ว่าอาจจะรักษาได้
"หมอคะ ถ้าเกิดผ่าตัดเหมือนที่ต่างประเทศรักษากัน ค่าใช้จ่ายสูงมากไหม แล้วมีโอกาสกลับมาเดินได้อีกหรือเปล่า แล้วถ้าหากกินนมที่บำรุงกระดูกจะช่วยอะไรได้บ้างไหม แล้ว..."
"เหมยจู ไม่เป็นไร น้องอย่าทำให้ตัวเองลำบากเพื่อต้องหาเงินมารักษาพี่ รักษาแบบนี้ไปก่อน ไม่หายก็ไม่เป็นไร อย่าลืมสิต่อให้พี่จะเดินไม่ได้ไปตลอดแต่พี่ช่วยน้องทำงานได้นะ" ตงซีเฉินห้ามภรรยา แค่เธอเป็นห่วงและคิดจะรักษาเขา เขาก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจแล้ว เขาไม่อยากให้เธอเดือดร้อนหรือทุ่มเทเพื่อเขาจนเกินกำลังของตัวเอง แม้ว่าเขาเดินไม่ได้ แต่เขาช่วยภรรยาทำงานหาเงินได้เหมือนกัน
หนิงเหมยจูตาแดง เธอทำใจไว้แล้วต่อให้หมอไม่พูดตรงๆ เธอก็เข้าใจ ในเมื่อพี่ซีเฉินยังเข้มแข็งเธอก็ต้องเข้มแข็งต่อไป
"คุณทั้งสองมีกำลังใจดี ไม่แน่ว่าวันหนึ่งปาฏิหาริย์ต้องเกิดขึ้น ส่วนที่คุณถามเรื่องนม หากมีก็ดื่มได้ครับ นมช่วยเรื่องกระดูกอยู่แล้ว" หมอให้กำลังใจ ส่วนมากคนไข้ที่มารักษาพอรู้ว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นคนพิการไม่มีใครที่ยิ้มได้แบบคนไข้คนนี้เลยสักคนเดียว
"ขอบคุณมากครับ/ขอบคุณมากค่ะ" หนิงเหมยจูและตงซีเฉินขอบคุณหมอก่อนจะออกมาจากห้องเพื่อไปจ่ายค่ารักษาและรอรับยา
เมื่อหนิงเหมยจูรับยาและจ่ายเงินแล้วเธอจึงเข็นรถให้กับสามีเพื่อเดินออกมาจากโรงพยาบาล ระหว่างทางที่จะไปหาหนิงฮุ่ยหมินเธอจึงแวะซื้อซาลาเปายี่สิบลูกไปฝากแม่และลูกสาวรวมทั้งให้สามีและน้องชายได้กินรองท้องก่อนจะกลับถึงบ้าน แต่พอมาถึงที่นัดหมายกลับเจอน้องชายยืนโต้เถียงบางอย่างกับกลุ่มเด็กนักเรียนกลุ่มหนึ่ง ไม่นานเด็กกลุ่มนั้นก็จากไป
"เกิดอะไรขึ้นฮุ่ยหมิน"
"ไม่มีอะไรพี่ใหญ่ พอดีเจอคนบ้ามาหาเรื่อง แต่ไม่มีอะไรแล้วครับ" หนิงฮุ่ยหมินตอบพี่สาวก่อนจะถือของทั้งหมดมาที่พี่สาวของเขายืนอยู่ วันนี้สงสัยจะเป็นวันที่ฟ้าปิดของเขาจึงมาเจอนักเรียนที่ไม่ค่อยถูกกันตรงนี้
"อืม ถ้าอย่างนั้นนายไปตามเกวียนมารับพี่กับพี่ซีเฉินตรงนี้ก็แล้วกัน แต่ว่านายซื้อของครบแล้วใช่ไหม" หนิงเหมยจูบอกน้องชาย
“ครบหมดแล้วครับพี่ เอาเท่าที่จำเป็น เดี๋ยวพอสร้างบ้านเสร็จผมขี้เกียจขน ค่อยมาซื้อใหม่ทีหลัง” หนิงฮุ่ยหมินอกพี่สาวท่าทางทะเล้น ก่อนจะรีบวิ่งไปตามเกวียนรับจ้างที่อยู่ตรงทางเข้าซอยถัดไป
แต่กลายเป็นตงซีเฉินที่นั่งขมวดคิ้ว เพราะเมื่อครู่เขาเห็นน้องสาวที่เรียนอยู่ในอำเภอเดินควงแขนเด็กหนุ่มหน้าตาดีเดินเข้าร้านข้างหน้าด้วยท่าทางที่ดูก็รู้ว่าเป็นคนรักกัน
ปกติแล้วตงซีเฉินนั้นไม่สนิทกับใครในบรรดาพี่น้องทั้งห้าคน มีเพียงพี่รองเท้านั้นที่ยังคุยและดีกับเขา ส่วนคนอื่นๆ เขาไม่สนใจ เขาอยากรู้เหลือเกินว่าพ่อแม่รู้หรือเปล่าว่าน้องห้ามีคนรักแล้วแบบนี้ แต่พี่สามควรจะรู้ก่อนหรือเปล่า หรือว่าต่อให้อยู่บ้านเดียวกันก็ต่างคนต่างอยู่ ช่างเถอะในเมื่อไม่ใช่เรื่องของเขา อีกทั้งยังแยกบ้านกันแล้วเขาไม่อยากที่จะสนใจอีก หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องเสื่อมเสียขึ้นก็พอ
********************