Chapter 1 คืนเข้าหอ
Chapter 1 คืนเข้าหอ
ตึก! ตึก! ตึก!
ราวกับหัวใจกำลังจะกระโจนออกมานอกทรวงอก มันเต้นแรงจนไม่อาจควบคุมให้สงบลงได้ จนทำให้สติการรับรู้ทั้งหมดถูกปลุกให้ตื่นตัวเกินกว่าเหตุ เรือนกายอ้อนแอ้นอรชรร้อนผ่าวราวกับกำลังถูกเปลวเทียนลามไล้แผดเผา ริมฝีปากแห้งผากจนต้องแลบลิ้นเลียริมฝีปากหลายต่อหลายครั้ง รู้สึกกระหายน้ำคล้ายกำลังรอนแรมอยู่ท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ
ร้อน!
เหตุใดจึงได้ร้อนและทรมานเช่นนี้ โดยที่นางไม่รู้ตัวนางเผลอหนีบต้นขาเข้าหากัน รับรู้ได้ว่าจุดซ่อนเร้นของอิสตรีกำลังไวต่อสัมผัสและความรู้สึก แค่เพียงเบียดเสียดเข้าหากันก็เสียวสะท้านจนต้องห่อไหล่
บ้าจริง! นี่ข้าเป็นอะไร!
นางกัดริมฝีปากเป็นเส้นตรง พ่นลมหายใจจนผ้าคลุมหน้าสีแดงขยับไหว มือที่ผสานกันก่อนหน้านี้ยิ่งบีบแน่นพยายามควบคุมความหวามไหวที่จู่ๆ ก็แล่นเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว
หญิงสาวในชุดสีแดงมงคลปักด้วยดิ้นทองลายมัจฉาในเกลียวคลื่นมหาสมุทร บ่งชัดว่าผ้าผืนนี้ได้รับการถักทอขึ้นเพื่อสกุล ‘หลิว’ โดยเฉพาะ ตระกูลชาวประมงที่ผันตัวมาเป็นพ่อค้า ส่งออกปลาทะเลแห่งเกาะหมิงหนวนไปยังแคว้นใหญ่ทั้งห้า ได้แก่แคว้นไห่เหอ แคว้นหาน แคว้นฮุ่ยผิง แคว้นหู่เฉียง และแคว้นเซี่ยโจว ตระกูลหลิวมีเรือหาปลากว่าหลายร้อยลำ มีคนงานหาปลากว่าห้าร้อยชีวิต
ชาวบ้านในเกาะหมิงหนวนทั้งหมดล้วนทำประมงโดยขึ้นตรงกับตระกูลหลิวแต่เพียงตระกูลเดียว ทำให้ตระกูลหลิวมั่งคั่งเทียบเท่าคหบดีในเมืองหลวงเลยทีเดียว
และใช่...
นางเป็นเจ้าสาวของตระกูล ‘หลิว’ จำต้องแต่งงานกับบุตรชายคนโตของตระกูลหลิวนามว่า ‘เส้าเหิง’ ชายผิวเข้มที่มีรูปร่างสูงใหญ่เต็มไปด้วยมัดกล้าม กิริยากักขฬะ แตกต่างจากชายหนุ่มในเมืองหลวงราวกับหน้ามือกับหลังเท้าเลยทีเดียว
นางเคยเห็นเขา ใช่! นางเคยเห็นเขาแค่เพียงครั้งเดียวเมื่อครั้งที่เรือเทียบท่า เขายืนเปลือยอกแกร่งอยู่ท่ามกลางแสงแดดยามอู่[1] ตะโกนโวยวายเสียงดังสั่งงานชาวประมงจนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน ท่าทางของเขาเกรี้ยวกราดคล้ายกับโจรสลัดหาใช่ชาวประมง ดวงตาไม่เป็นมิตรราวกับสัตว์ร้าย ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรัง ผมยาวหยิกถูกมัดไว้อย่างลวกๆ คล้ายไม่ยี่หระ
นับจากนี้นางต้องเป็น ‘ภรรยา’ ของชายกักขฬะผู้นี้ ชายที่เกิดและเติบโตขึ้นบนเกาะหมิงหนวนที่แสนห่างไกลและกันดาร มารยาท วัฒนธรรม ประเพณีดีงามนั้นอย่าได้ถามหา ทุกคนที่นี่ดำเนินชีวิตเพื่อปากท้องราวกับอยู่ในบ้านป่าเมืองเถื่อนก็ไม่ปาน
หากว่า...
บิดาของนางไม่ถูกขุนนางกังฉินใส่ร้ายจนต้องระเห็จมาอยู่บนเกาะห่างไกลแห่งนี้ นางคงไม่ต้องมีชีวิตที่อดสู อย่างร้ายที่สุดนางก็คงแต่งงานไปกับคุณชายปลายแถวหรือบัณฑิตใฝ่รู้เคร่งตำรา หาใช่ชาวประมงกักขฬะเช่นนี้
ตึ้ง!
เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่กำลังก้าวไปทั่วห้องทำให้จูซ่านลี่ตื่นจากภวังค์ความคิด นางนั่งนิ่งราวกับตุ๊กตาไม่มีชีวิต เงี่ยหูฟังเสียงปลายเท้าของคนตัวโตที่กำลังเดินไปมาราวกับหนูติดจั่น
ปั้ง!
ซ่านลี่สะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เส้าเหิงก็ทุบกำปั้นลงบนโต๊ะไม้เสียงดังสนั่น นางได้ยินเสียงเขาสบถในลำคอว่า
บัดซบ!
เพียงเท่านั้นเองหยาดน้ำตาแห่งความอ่อนแอก็เอ่อขึ้นกลบหน่วยตา ความร้อนผ่าวทวีไปทั่วร่างด้วยความอับอาย ดูเอาเถอะ แม้แต่ชาวประมงป่าเถื่อนก็ยังรังเกียจคุณหนูตกอับอย่างนาง
แน่ละ ก็นางเป็นเจ้าสาวที่มาจากการซื้อขาย หาใช่จากการสู่ขอหรือรักใคร่ชอบพอแต่อย่างใด
ยามนี้บิดาของนางที่เคยเป็นขุนนางน้ำดีกลายเป็นชายแก่ขี้แพ้สิ้นหวังเอาแต่ดื่มสุราเมามาย อีกทั้งยังปล่อยให้เกาอิ๋งอิ๋งผู้เป็นมารดาเลี้ยงขายนางให้กับตระกูลหลิว เพื่อแลกกับเงินก้อนโตที่จะนำไปใช้จ่ายในตระกูล
บุตรสาวของภรรยาเอกที่ตายไปแล้ว ไม่มีใครคอยคุ้มครองปกป้อง ถูกเมิน ถูกทำเหมือนเป็นอากาศธาตุมาถึงสิบแปดหนาว แต่อย่างน้อยร่างกายของนางก็ยังพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง
ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้หยาดน้ำตาร่วงเผาะ หยดลงบนหลังมือที่ผสานกันไว้บนหน้าตัก
“ว้าย!”
จูซ่านลี่ถึงกับหวีดร้องอย่างเสียขวัญเมื่อจู่ๆ หลิวเส้าเหิงก็ย่ำฝีเท้าเข้าประชิดแล้วกระชากผ้าคลุมหน้าสีแดงออกอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นใบหน้างดงามที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยาดน้ำตา ทว่านั่นกลับทำให้นางยิ่งงดงามชวนหลงใหลจนคนตัวโตแทบหยุดหายใจ
เงียบไปหลายอึดใจเมื่อต่างฝ่ายต่างตกตะลึง
เมื่อสติกลับคืน คนตัวโตก็สะบัดผ้าคลุมหน้าในมือทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี แล้วใช้นิ้วสากกร้านบีบที่ปลายคางของนางจนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ดันปลายคางแรงจนใบหน้าแหงนเงยแทบจะตั้งฉาก
“เจ้ารังเกียจข้า! จนถึงกับต้องหลั่งน้ำตาเลยรึ!”
“อื้อ!”
ซ่านลี่เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ไม่อาจตอบโต้ได้แม้เพียงครึ่งคำด้วยถูกบีบแรงจนไม่อาจอ้าปากพูด แล้วโดยที่นางยังไม่ทันตั้งตัว เส้าเหิงก็โน้มกายลงมาจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจเจือกลิ่นสุรา จังหวะนั้นเองริมฝีปากสากกระด้างกดทับลงมายังริมฝีปากนุ่มสีชาดอย่างไม่ออมแรง
หัวใจเจ้าเอยไยจึงไหววูบไปกับจูบไร้อารยะ มันร่วงหล่นลงไปอยู่ที่ปลายเท้า ก่อนจะกระโจนกลับมาเต้นระรัวราวกับเสียงกลองรบ เลือดในกายพลันเหือดหาย คล้ายมีกระแสปราณแล่นปราดไปทั่วร่างจนนางรู้สึกระทวยอ่อนไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน
จูบรสสุรา
ขมปร่าทว่าหวานลึก มอมเมาให้มืดมัวใหลหลงยากจะถอดถอน อีกทั้งบางสิ่งบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในกายนางได้ประทุออกมาราวกับดอกไม้เพลิง ซ่านกระเส็นไปทั้งสรรพางค์กาย ในท้องหมุนมวนราวกับมีฝูงผีเสื้อนับร้อยพันกระพือปีกไปพร้อมๆ กัน
ริมฝีปากกระด้างจูบจ้วงดุดัน ปลายลิ้นร้อนบีบบังคับให้นางเปิดริมฝีปากที่ปิดสนิทให้เผยอออก แล้วดุนดันปลายลิ้นเข้าไปควานหาความหอมหวานราวกับน้ำผึ้งหายากแห่งเทือกเขาคุนเหม่ย
หวานจับใจ หวานจนแทบละลายหัวใจกระด้างของคนตัวโต ทว่าจู่ๆ เส้าเหิงก็ดึงริมฝีปากออกจากการจูบจ้วงอย่างแรง แล้วกระชากร่างบางให้ยืนขึ้นก่อนจะกระหวัดเข้ามาไว้ในอ้อมกอดแข็งแกร่ง
“นับจากนี้ตัวเจ้าเป็นของข้า แต่ใจของเจ้าจะเป็นของใครข้าหาได้ไยดี!”
[1] ยามอู่ คือ ช่วงเวลา 11.00-12.59 นาฬิกา