หลังจากที่ปฏิเสธพารินไปวันนั้น คะนึงนิจก็กลับมาตั้งตาตั้งตาทำงานเช่นเดิม แถมยังคงปฏิบัติตัวเป็นภรรยาที่ดี ดูแลญาณิญและลูกสาวดีกว่าเก่าราวกับต้องการจะลบล้างความผิดของตนเอง แถมก็เพื่อปกป้องพาริน
"รับอะไรดีคะคุณผู้หญิง" เสียงพนักงานขายประจำร้านเอ่ยทักทายคะนึงนิจ ที่กำลังจดจ้องอยู่หน้าตู้เค้ก
"พี่เอาเค้กสตรอเบอร์รี่ค่ะ" บอกก่อนจะจิ้มอยู่หน้าตู้ คะนึงนิจตั้งใจจะซื้อมันไปเพื่อญาณิญ
"เอ๊ะ! ถ้าเป็นตัวนี้.."
"พี่สาวคะ" ไม่ทันที่พนักงานขายจะพูดจนจบ คะนึงนิดก็ต้องหันไปทางเสียงของคนมาใหม่ไม่ได้สนใจเสียงคัดค้านของพนักงาน
"ริน"
"รินมีเรื่องจะคุยกับพี่สาวค่ะ"
"ถ้าตอนนี้ พี่ไม่สะดวก" บอกก่อนจะหันไปหาพนักงานคนเดิม
"ใส่กล่องให้ด้วยนะคะ พี่จะซื้อไปฝากสามี"
คำพูดของคะนึงนิจเหมือนกับจงใจจะเน้นคำว่าสามี จนคนฟังอย่างพารินถึงกับชะงักไป เรื่องราวคืนนั้น คำจากปากคนตรงหน้าที่บอกว่ากำลังจะเลิกกับสามีมันคงเป็นแค่คำที่ล่อลวงเด็กอย่างเธอ
"รินอยากจะกินอะไรหรือเปล่าล่ะ พี่ซื้อให้ได้นะ" ไม่วายคะนึงนิจยังทำเป็นแสดงความใจดีด้วยคำพูด
เพราะรู้สึกว่าตนเองไร้ตัวตน คะนึงนิจดูเย็นชาจนรู้สึกได้
"ไม่เป็นไรค่ะ รินว่ารินไม่รบกวนพี่สาวดีกว่า ขอตัวนะคะ" พูดก่อนจะรีบเดินห่างออกมา
ฟากคะนึงนิจก็ดูจะไม่ได้สนใจพารินเลยสักนิด เพราะพารินก็แอบหันมาชำเลืองมองหล่อนผ่านประตูกระจก คะนึงนิจดูจตั้งอกตั้งใจกับการเลือกซื้อเค้กให้สามีเสียเหลือเกิน
"น้องคนนั้นไปแล้วนะคะ" เสียงพนักงานขายแจ้งกับคะนึงนิจหลังจากพารินขับมอเตอร์ไซค์ออกจากหน้าร้านไปแล้ว คะนึงนิจจึงหันไปมองตาม เห็นแผ่นหลังพารินที่เคลื่อนห่างออกไปก็รู้สึกใจหาย แต่หากเธอไม่ทำแบบนี้ ก็คงจะตัดพารินไม่ได้ขาด
คะนึงนิจต้องทำเป็นใจแข็ง แสร้งไม่สนใจพารินเพื่อให้สาวน้อยเลิกลาไปเอง
ญาณิญยืนรอใครบางคนอยู่ภายในห้องรับรอง วันนี้เป็นวันที่เธอรอคอยมาตลอดจึงนั่งไม่ติด
"สวัสดีค่ะ คุณญาณิญใช่หรือเปล่าคะ" เสียงนุ่มๆ จากทางด้านหลังทำให้ญาณิญต้องหันไปสนใจ
ก่อนจะตอบเธอก็แอบสำรวจการแต่งกายของคนตรงหน้าตั้งแต่หัวจรดเท้า "ใช่ค่ะ"
"ยินดีที่ได้เจอค่ะ ดิฉันเป็นหมอที่ดูแลคุณคีตา"
"ค่ะ ฉันทราบ"
ทั้งคู่นั่งคุยกันเรื่องคนไข้ตามลำพังแบบเคร่งเครียด เพราะมีหนึ่งคนที่ดูจะไม่เห็นด้วย
"หมอคิดว่าคุณคีตายังไม่พร้อมจะออกไปใช้ชีวิตด้านนอกค่ะ"
"เหรอคะ แต่ฉันคิดว่าเพื่อนฉันพร้อมแล้วค่ะ"
"ถ้าคุณแค่ประเมินจากการมาเยี่ยมคนไข้แค่เดือนละไม่กี่ครั้ง นั่นไม่เพียงพอจะยืนยันพฤติกรรมและอาการของคนไข้ไม่ได้หรอกนะคะ"
"ฉันเป็นญาติค่ะ และยืนยันว่าจะรับคนไข้ไปดูแลด้วยตนเอง"
สีหน้าคุณหมอเจ้าของไข้ดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เธอเองอยู่กับคีตามาเกือบปี สังเกตเห็นพฤติกรรมที่น่ากลัวและอาการที่ใครๆ ต่างคิดว่าหล่อนดีขึ้น แต่มันกลับตรงข้ามทั้งหมด
"ถ้าเกิดอะไร ฉันรับผิดชอบเองค่ะ" ญาณิญจึงจำต้องย้ำบอก
"งั้น ก็ได้ค่ะ"
เอกสารมากมายถูกส่งมาทางญาณิญเพื่อให้เธอได้จรดปลายปากกายืนยันรับคีตากลับไปดูแลเองที่บ้าน พร้อมกับการกำชับเรื่องยาหลายขนานสำหรับผู้ป่วยจิตเวช
วันนี้คือวันแห่งอิสระภาพของคีตา วันที่ได้ออกจากโรงพยาบาลจิตเวช ที่นี่เป็นเหมือนกับบ้านหลังที่สองของคีตา หลังจากเหตุการสะเทือนใจในวันนั้น เธอก็เปลี่ยนไป เพราะสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ คนในครอบครัวไม่ยอมรับที่ลูกสาวเพียงคนเดียวถูกปู้ยำปู้ยำ คีตาจึงถูกทิ้งขว้างไร้คนเหลียวแล มีเพียงโรงพยาบาลจิตเวชที่รองรับคนอย่างเธอ เวลาเกือบยี่สิบปีในสถานที่แห่งนี้ ราวกับเป็นที่จองจำ นี่คงเป็นครั้งแรกที่คีตาได้ออกมาเห็นโลกภายนอก
"อร่อยมั้ยเค้ก" เสียงญาณิญเอ่ยถามอย่างลุ้นๆ กับอาหารหลากหลายที่วางอยู่เบื้องหน้าเพื่อนสาวคนเคยสนิท
คนฟังอย่างคีตาไม่ได้ตอบออกไปในทันที แต่เธอเปลี่ยนเป็นหยุดมื้ออาหารของตนเองแทนโดยทิ้งช้อนและส้อมลงในจานตนเองจนเสียงดัง พร้อมกับก้มหน้างุด นี่คงเป็นอาการแรกของคีตาที่ญาณิญรู้สึกถึงความไม่ปกติ
"ไม่เป็นไร กินต่อเถอะ" บอกพร้อมเลื่อนมือไปสัมผัสไหล่คนตรงข้ามอย่างเบามือ
"อยู่ในนั้นคงไม่ได้กินของดีๆ แบบนี้ใช่มั้ย"
คีตาพยักหน้ารับหงึกๆ แต่ยังไม่เงยหน้ามาสบตาญาณิญง่ายๆ
"งั้นก็กินเยอะๆ นะ ต่อจากนี้ใหญ่จะหาของดีๆ มาให้เค้ก"
การหาของดีๆ มาให้คีตา รวมถึงการพักอาศัย ญาณิญพาคีตามาอยู่รวมชายคาที่เป็นเรือนหอของตนเองและคะนึงนิจ ซื้อเสื้อผ้า และของใช้ราคาแพงให้อย่างไม่นึกเสียดาย
"ดูแลคุณเค้กให้ดี ถ้าเธอต้องการอะไร ก็รีบจัดหามาให้ทันที เข้าใจมั้ย" แถมยังกำชับเด็กรับใช้ในบ้านทุกคน ก่อนจำทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านพาทัวร์บ้านตนเองแทบจะทุกซอกทุกมุม
การที่ญาณิญพาคีตาเข้าบ้านทำให้คนรับใช้ต่างซุบซิบนินทาไปต่างๆ นาๆ พร้อมกับแสดงความสงสารคะนึงนิจที่ถูกคนรักอย่างญาณิญสวมเขา ซึ่งไม่ใช่เพียงเท่านี้ เพราะก่อนหน้าการที่ทั้งคู่มีเรื่องระหองระแหงและมีปากเสียงกันก็ไม่พ้นขี้ปากของคนในบ้าน รวมถึงเรื่องแบบนี้ก็เข้าหูญาณิศา แม่ของญาณิญเช่นกัน
ญาณิญพาคีตาเดินเข้าห้องขนาดเล็ก แต่ภายในตกแต่งอย่างหรูหรา พร้อมเครื่องมืออำนวยความสะดวกครบครัน
"เค้กนอนห้องนี้นะ"
ท่าทางคีตาดูกล้าๆ กลัวๆ ยืนนิ่งหน้าประตูจนญาณิญนึกเอ็นดู ต้องเดินไปดึงตัวคีตาให้เดินตามเข้ามาและหยุดยืนอยู่ปลายเตียง
"เดินทางมาเหนื่อยๆ นอนพักสักหน่อยมั้ย" บอกก่อนจะหันไปสนใจกับกระเป๋าในมือตัวเอง หยิบซองยามากมายออกมา และเตรียมจัดให้คนป่วย เมื่อเรียบร้อยดีจึงรีบส่งให้คีตาตามตั้งใจ
"กินยาก่อนนะ เค้กจะได้หลับสบาย" ญาณิญพยายามปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในฐานะผู้ดูแลโดยไม่บกพร่อง
แต่เมื่อเห็นสีหน้าไม่สู้ดีและสายตาขวางๆ ของคนตรงหน้าที่พอพูดถึงยาครั้งใดก็จะมีปฏิกิริยาจนญาณิญเองต้องพยายามเลี่ยง
"ถ้าเค้กกินทั้งหมดนี่ ใหญ่จะพาไปเที่ยว" คำพูดของญาณิญทำให้คีตาเริ่มปรับสีหน้ามายิ้มแย้มให้ และคว้าเม็ดยาจากมือญาณิญไปกำไว้ทันที
"อย่าหลอกกันนะ" ถามออกมาพร้อมสีหน้าและแววตาที่ดูเปล่งประกาย
"จ้ะ"
สิ้นเสียงรับปากของญาณิญ คีตาจึงนำยาที่มีกรอกเข้าปากตัวเองทั้งหมด พร้อมกับญาณิญรีบส่งน้ำให้ ก็กลัวว่าเพื่อนจะติดคอเพราะยาเกือบสิบเม็ด
"นอนนะ พักผ่อน"
คีตายอมทำตามอย่างว่าง่ายราวกับเด็ก โดยมีญาณิญช่วยห่มผ้าและดูแลไม่ห่าง เมื่อเห็นว่าเพื่อนหลับสนิทไปแล้ว ญาณิญจึงเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้และจุมพิศที่หน้าฝากด้วยความเชื่องช้า และขยับออกมา ญาณิญไม่สนว่าคีตาจะสติครบถ้วนหรือป่วยเป็นอะไร เธอเพียงแค่อยากอยู่ใกล้ เพื่อดูแล และปกป้อง
แต่ญาณิญคงจะไว้ใจคีตา และเลินเล่อเกินไป เม็ดยาที่เจ้าบ้านเจ้าใจว่าคนป่วยกลืนลงคอไปแล้วนั้น ถูกยัดไว้ใต้หมอน
คีตาเป็นแบบนี้เมื่อรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาล อาการจึงกำเริบ เธอถูกย้ายไปเป็นผู้ป่วยใกล้ชิด คือต้องมีคุณหมอเจ้าของไข้ดูแลไม่ห่าง และพยาบาลหลายคนคอยตรวจสอบพฤติกรรมอย่างเคร่งครัด แตกต่างจากตอนนี้ที่ญาณิญกำลังจะละเลยเรื่องสำคัญ
หลังจากที่คิดว่าจัดการเรื่องคีตาแล้วเรียบร้อย ญาณิญจึงกลับเข้ามาที่สำนักงานทนายความในเวลาเกือบจะเลิกงาน
"นี่เป็นรายงานเรื่องพื้นที่หลังตลาดที่คุณญาณิญต้องการครับ" เสียงของภวัตร เลขาคนใหม่ของญาณิญ แม้เขาจะมารับตำแหน่งนี้ได้ไม่นานแต่เธอก็ค่อนข้างจะพอใจกับการทำงานที่เก่งกาจกว่าคนก่อนๆ
"ขอบใจ" เธอเพียงส่งเสียงตอบกลับไปเท่านั้นไม่ได้เงยหน้าไปมองเขาด้วยซ้ำ รอจนประตูห้องทำงานของตนเองปิดลง ญาณิญจึงยื่นมือไปหยิบแฟ้มนั้นมาเปิดอ่านอย่างละเอียด ใช้เวลาครู่ใหญ่ก็ปิดแฟ้มนั้นลง เพราะตอนนี้ในหัวสมองของญาณิญกำลังเชื่อมโยงหลากหลายเรื่องราวเพื่อใช้ทำลายเป้าหมาย
ญาณิญเป็นแบบนี้ตลอดหลังจากรับทราบข้อมูลขอเป้าหมายแล้ว เธอจะใช้เวลานั่งนิ่งเพื่อทบทวนแผนการต่างๆ ในหัวสมองเกือบชั่วโมง และก็เผยยิ้มออกมา เพราะการเชื่อมโยงต่างๆ นั้นเป็นไปตามความต้องการของตนเอง
ที่ดินหลังตลาด เป็นพื้นที่ของทางการ มันควรจะเป็นพื้นที่ว่างเปล่า แต่เมื่อปล่อยไว้นานดันมีชาวบ้านทยอยเข้ามาปลูกสร้างบ้านเรือน และทำมาหากินกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ทางการส่งจดหมายเตือนหลายต่อหลายครั้งให้ชุมชนเล็กๆ ที่ตอนนี้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวออกจากพื้นที่แต่คนพวกนั้นยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน อ้างความยากจนเพื่อให้ตนเองอยู่ต่อแบบที่กฎหมายไม่กล้าเอาผิด แถมยังใช้ความจนมาเรียกร้องความสงสารต่อสายตาคนภายนอก จึงไม่มีใครกล้าเหยียดเท้าเข้ามายุ่ง แต่ครั้งนี้ญาณิญไม่มีทางปล่อยผ่าน เพราะหนึ่งในสมาชิกที่บุกรุกสถานที่ของทางการคือครอบครัวของพาริน ก็ดันมายุ่งกับคะนึงนิจ ของของเธอ คนของเธอ จะยอมปล่อยให้อยู่แบบสุขสบายได้อย่างไร
คะนึงนิจกลับเข้าบ้านด้วยสภาพที่อิดโรย เธอตรงขึ้นห้องนอนตนเองทันที ยังดีหน่อยที่สัปดาห์นี้คนเป็นแม่ช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องลูกสาว เธอจึงไม่ต้องรีบกลับมาดูแล จะมีก็เพียงญาณิญเท่านั้นที่เธอต้องใส่ใจเพื่อลบล้างเรื่องราวที่เธอเผลอตัวเผลอใจไปกับพาริน
"นี่มันอะไรเนี่ย! " ก็ตั้งใจจะแช่ตัวในอ่างน้ำให้สบายกายเสียหน่อย แต่ดันมาเจอกับสภาพห้องเสื้อผ้าของตนเอง
เสื้อผ้าราคาแพงจากตู้ที่เคยแขวนและพับไว้อย่างเป็นระเบียบดันถูกทิ้งเกลื่อนกราดบนพื้น ราวกับมีคนมารื้อค้น แถมเสื้อผ้าบางตัวยังขาดวิ่นอีก
เพราะความเหนื่อยจากงานมาทั้งวัน ทำให้เธอทั้งโกรธและโมโห คะนึงนิจก้าวฉับๆ ลงจากห้องของตนเอง มาหาเหล่าเด็กรับใช้
"นี่มันอะไร! " คนเป็นนายส่งเสียงเอาเรื่องพร้อมกับส่งเสื้อที่เสียหายให้ทุกคนได้ดู
ก็แค่ต้องการถามหาที่มาที่ไปของความเสียหาย เรื่องนี้เกิดในบ้าน โดยมีคนรับใช้อยู่ทั้งวัน ดังนั้น ก็ต้องให้คำตอบเธอได้
"ค คุณนิด"
"ตอบฉันมา ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องของฉัน! "
"เอ่อ.." เด็กรับใช้สามสี่คนในห้องครัวได้แต่อ้ำอึ้งกับสิ่งที่เห็น
"ขอโทษค่ะคุณนิด พวกหนูไม่รู้จริงๆ ค่ะ"
"พวกเธออยู่บ้านกันทั้งวันรึเปล่า ทำอะไรกันอยู่ ฉันสั่งแล้วใช่มั้ยว่าอย่าเข้ามายุ่งในห้องแต่งตัวของฉัน"
"คือว่า.. วันนี้คุณใหญ่มาแขกมาบ้านค่ะ หนูคิดว่าผู้หญิงคนนั้นอาจจะทำก็ได้ค่ะ"
"เธอว่าอะไรนะ"
"คุณใหญ่พาผู้หญิงเข้าบ้านค่ะ เธอดูไม่ค่อยปกติ"
"แต่คุณใหญ่ดูจะสนิทสนมและสั่งให้ดูแลผู้หญิงคนนั้นเป็นพิเศษ"
เสียงของเหล่าคนรับใช้ที่รายงานคะนึงนิจดูจะสะกิดใจไม่น้อย
คะนึงนิจยืนหน้าชา พร้อมกับกำมือแน่น เธอไม่รู้ว่าที่ญาณิญทำตอนนี้เพื่ออะไร แบบนี้มันหยามกันชัดๆ
ก่อนหน้า เธอหมดกำลังจะไปตามญาณิญข้างนอก หากหล่อนคิดจะมีผู้หญิงในฮาเร็มจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนนี้คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่ชีวิตดันเอาผู้หญิงพวกนั้นเข้าบ้าน
"งั้นเดี๋ยวให้พวกหนูขึ้นไปเก็บห้องและทำความสะอาดให้นะคะ"
"ผู้หญิงคนนั้น อยู่ที่ไหน"
คะนึงนิจกลั้นใจเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนแขก ห้องที่เหล่าคนรับใช้บอก
มองเห็นแผ่นหลังผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หน้ากระจก เพียงแค่เห็นแค่นั้นก็จดจำได้ทันทีว่าชุดที่หล่อนใส่คือชุดของเธอ ชุดที่ครั้งหนึ่งญาณิญเคยซื้อให้
คะนึงนิจพยายามกดอารมณ์โกรธของตนเอง กอดอกถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
"เธอเองสินะ ที่ทำแบบนั้นในห้องของฉัน"
"ฉันถาม ไม่ได้ยินเหรอ" ไม่เพียงไม่โต้ตอบ แต่หล่อนคนนั้นยังนั่งนิ่งทำราวไม่เห็นเธออยู่ด้วย
"ไม่สวย" เสียงคีตาบอกออกมาอย่างแผ่วเบา นั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้คะนึงนิจ
"อะไรนะ! เมื่อกี้เธอว่ายังไง"
"แก่ ไม่สวย"
"อ อะไร นะ นี่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านฉัน มาทำลายข้าวของของฉัน แล้วยังมีหน้ามาด่าฉันอีกเหรอเนี่ย"
แถมตอนนี้แขกที่ไม่ได้รับเชิญยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัว มีเพียงปากที่ขยับพูดเท่านั้น
"หันมาคุยกับฉันให้รู้เรื่อง ถ้าเธออยากจะอยู่ที่นี่"
"ไม่ ไม่เอา ไม่ทำ ไม่อยากทำ" เสียงของคีตาเริ่มเอ่ยดังขึ้น จนคนฟังต้องขมวดคิ้ว
"อย่า อย่าทำ อย่าทำ อย่าตีเค้กนะ เค้กกลัว" ไม่พูดเปล่ายังใช้สองมือของตนเองปิดหูทั้งสองข้างและก้มหน้าลงราวกับคนเสียสติ แถมปากยังพร่ำพูดประโยคนั้นไม่หยุด
คนฟังได้แต่งุนงงกับสิ่งที่ตาเห็นและได้ยิน "นี่.. เธอ เธอเป็นอะไร เป็นบ้าอะไรเนี่ย"
"ไม่บ้า! " รอบนี้เพียงได้ยินคำว่าบ้า คีตาก็หันมาหาคะนึงนิจทันที พร้อมกับใบหน้าที่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"ฉันไม่ได้บ้า! "
คะนึงนิจขยับเท้าถอยห่างทันทีอย่างหวาดๆ
"ฉันไม่ได้บ้า ฉัน ฉัน หายแล้วจริงๆ นะ ฉันไม่ได้บ้า" พูดพร้อมกับยืนขึ้นและตรงหาคะนึงนิจ
"เค้กไม่ได้บ้านะคะคุณหมอ เค้กไม่ได้บ้า"
"หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามานะ" คะนึงนิจต้องเอ่ยห้าม เพราะกลัวกับท่าทางแบบนั้น จากที่ตั้งใจมาเอาเรื่อง แต่ดันต้องมาพ่ายด้วยอาการที่ดูจะไม่ปกติของคนตรงหน้า ตกลงแล้วญาณิญพาคนแบบไหนเข้ามาในบ้านกันแน่
แต่ไม่ทันจะได้คิดนาน คะนึงนิจถูกคีตาดึงร่างเข้าไปกอดแน่น พร้อมกับพร่ำบอกไม่หยุด
"เค้กไม่ได้บ้า เค้กหายแล้ว เค้กจะอยู่ที่นี่"
"ปล่อยนะ ปล่อยฉัน" ได้แต่เอ่ยห้ามพร้อมกับผลักดันตัวคนตรงหน้าให้ห่างจากตัวเอง แต่ดูเหมือนจะยากเย็นเพราะคนที่กอดรัดเธอไว้มือช่างเหนียวแน่นเหลือเกิน
จนเฮือกสุดท้าย คะนึงนิจดันไหล่ของคีตาสุดแรงที่มี จนหล่อนผละออกจากตัวและล้มพับอยู่ที่พื้น
"แค่ของนอกกายเสียหาย คุณต้องทำร้ายเพื่อนฉันขนาดนี้เลยเหรอ! " เสียงของญาณิญทักขึ้นจากทางหน้าประตู
คะนึงนิจมองดูญาณิญที่เดินตรงไปยังคีตาที่ล้มพับอยู่บนพื้น พร้อมกับพูดจาปลอบโยน พาคีตาลุกขึ้นเพื่อไปล้มตัวลงนอนที่เตียง
"ยังตกใจอยู่ใช่มั้ย"
"ไม่เป็นไรนะ ใหญ่จะให้คนมาอยู่เป็นเพื่อน" พูดประโยคนี้จบ ก็มีผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนข้างเตียง
"อยู่กับคุณขวัญนะ"
คะนึงนิจ ที่ยืนดูเหตุการณ์แบบที่ในหัวมีแต่ความสงสัย และหงุดหงิดใจ เพราะทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตาแต่เธอราวกับไร้ตัวตน ไม่รู้ที่มาที่ไปเลยสักนิด ญาณิญข้ามหน้าเธอแบบที่ไม่คิดจะอธิบายใดๆ
"มานี่!" สิ้นเสียงของญาณิญ คะนึงนิจก็ถูกกระชากแขนให้ตามออกจากห้อง
ประตูห้องนอนของคะนึงนิจและญาณิญปิดลงเสียงดัง
คะนึงนิจถูกเหวี่ยงลงบนเตียง
"อย่าไปหาเรื่องเพื่อนฉันอีก!"
"เหอะ.." คะนึงนิจที่นั่งล้มพับอยู่บนเตียงเพียงเค้นเสียงออกมา ก่อนจะหันไปหาญาณิญ
"เอาผู้หญิงบ้ามาอยู่ในบ้าน เดี๋ยวนี้เปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอ"
ญาณิญเมื่อได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกดูถูกแถมยังนึกโกรธคะนึงนิจที่จงใจต่อว่าคีตา
"โอ้ย ฉันเจ็บนะ" แขนทั้งสองข้างของคะนึงนิจถูกกระชากดึงแถมยังถูกบีบเสียจดเจ็บร้าว
"จะพูดอะไรก็ระวังปากด้วย! อย่ามาว่าฉันและเพื่อนฉัน"
"ทำไมฉันจะพูดไม่ได้ ทีคุณยังเอาผู้หญิงหน้าไหนไม่รู้เข้ามาอยู่ในบ้าน ถ้าชาวบ้านชาวช่องรู้และเอาไปพูดกัน จะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน"
"คุณจะไปมีผู้หญิงกี่คนฉันไม่ว่า แต่อย่าเอาเข้ามาในบ้านไม่ได้รึไง"
"อ่อ.. ที่แท้ก็หึงนี่เอง" ญาณิญกระหยิ่มยิ้มย่องยอมคลายมือจากแขนของคะนึงนิจ
"ไม่ต้องห่วงนะ" พูดพร้อมขยับไปใกล้กว่าเก่า ยกนิ้วขึ้นเกลี่ยที่ใบหน้าของคะนึงนิจ
คะนึงนิจเบี่ยงหลบนิ้วที่ก่อกวนนั่น เพราะไม่อยากจะใกล้ชิดกับคนตรงหน้าที่แสนจะเกลียด แต่ดูเหมือนจะยากเย็น ญาณิญคว้าปลายคางของคะนึงนิจไว้ เพราะรู้สึกขัดใจที่หล่อนเอาแต่หลบ ยังคับให้คะนึงนิจจ้องมองใบหน้าตนเอง
"ปล่อย!" ไม่วายคะนึงนิจยังต่อปากต่อคำ แถมยังยกมือขึ้นมาปัดป้อง จนเผลอฟาดมือไปที่ใบหน้าของญาณิญ
"ว้าย!" คะนึงนิจร้องออกมา เพราะไม่คิดจะทำแบบนั้นกับคนตรงหน้า
"เหอะ.. หึงหวงฉันขนาดต้องทำร้ายร่างกายเลยเหรอเนี่ย"
"บ้าไปแล้วเหรอ! ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ฉันไม่ได้หึง ไม่ได้หวงแบบที่คุณคิด"
"แล้วคิดอะไรอยู่!"
"บ้านเรามีเด็กนะ! ฉันไม่ยอมให้คุณเอาคนบ้ามาร่วมชายคาหรอก"
"นี่ก็บ้านฉันเหมือนกัน ฉันเป็นคนซื้อ ฉันควรมีสิทธิมากกว่าที่จะอนุญาตให้ใครอยู่หรือไม่อยู่"
คะนึงนิจอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินคำนี้จากปากญาณิญ ไม่คิดว่าคนที่เป็นคู่ชีวิตจะอ้างเรื่องทรัพย์สมบัติที่หามาได้ เพื่อเรียกร้องความต้องการของตนเอง
"บ้านนี้เป็นของฉัน! และฉันจะให้เค้กอยู่ที่นี่"
"งั้นฉันกับลูกจะไปอยู่ที่อื่น"
"ฝันไปเถอะ!" พูดพร้อมดันไหล่คะนึงนิจให้นอนราบลงกับเตียงและคร่อมตัวหล่อนไว้ พร้อมกับจับข้อมือคะนึงนิจกดไว้ข้างหมอน
"อย่าทำแบบนี้! หยุด หยุดเดี๋ยวนี้" คะนึงนิจรู้ดีกับสิ่งที่ญาณิญกำลังจะทำอะไร
"ก็เลิกคิดจะไปจากฉัน!"
คะนึงนิจเงียบกริบ ก่อนจะบอกออกมา
"วันนี้ฉันเหนื่อย"
"งั้นฉันก็จะทำแบบนุ่มนวล"
ไม่มีอะไรหยุดญาณิญได้ กระดุมเสื้อของคะนึงนิจถูกแกะออกทีละเม็ดจนหมด
คืนนี้คะนึงนิจถูกทำร้ายทั้งจิตใจและร่างกายจนไม่อาจต่อสู้ เธอถูกบีบบังคับให้ยินยอมทุกทางด้วยความไม่เต็มใจ