ตอนที่ 1
'โครม' เสียงชนดังสนั่น ตามด้วยรถจักยานยนต์คันเก่าล้มลง เพราะคนขับเบรกไม่ทัน เนื่องจากรถหรูคันดำสี่ประตูที่พารินเพิ่งจะพุ่งชนดันเบรกแบบกะทันหัน
"โอ๊ะ" สาวน้อยชื่อพารินร้องเสียงหลง ด้วยความตกใจแต่เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อเงยหน้าขึ้นมองท้ายรถของคู่กรณี เธอกับต้องตาเบิกโพลง
นั่นเพราะรถที่เธอชนท้ายดันหรูหรา แอบสำรวจด้วยสายตาแล้วคนขับคงจะร่ำรวยน่าดู และคงจะตามมาด้วยค่าเสียหายที่เด็กสาวต้องชดใช้ คิดเพียงเท่านั้นก็ใบหน้าซีดเผือกอยากจะแกล้งตายมันเสียตรงนี้เพื่อหนีความผิด
"เป็นไงบ้างน้อง" เสียงนี้จากปากคนขับที่เพิ่งจะเปิดประตูลงมาทักทายคนเจ็บ
"ไปโรงพยาบาลมั้ย"
เขาดูจะไม่สนใจท้ายรถตัวเองนัก เพราะเอาแต่ถามอาการ
"หนูขอโทษค่ะ" พารินยกมือไหว้ท่วมหัว
"หนูเบรกไม่ทันจริงๆ หนูจะชดใช้ค่าเสียหายให้ค่ะ แต่.." สาวน้อยเอาแต่หลับหูหลับตาพ่นคำพูดออกมาอย่างน่าสงสาร
แม้ไม่รู้ว่าจะหาเงินจากที่ไหนมาชดใช้ เพราะด้วยลำพังตัวเองที่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายของคนในครอบครัวยังยากเย็น กว่าจะผ่านไปได้แต่ละเดือน
"ไม่เป็นไร ห่วงตัวเองก่อน ลุกขึ้นเถอะ"
คำพูดชายคนนั้นทำให้พารินคลายกังวลได้เพียงนิด ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น แถมเขายังใจดีช่วยยกจักรยานยนต์คู่ใจขึ้นตั้งให้ด้วย
"โห.." ทันทีที่เห็นสภาพเครื่องมือทำมาหากินของตนเอง พารินก็ร้องออกมาด้วยความหนักใจ พร้อมคิดไปต่างๆ นาๆ เรื่องซ่อม เรื่องงาน เรื่องเงิน ล้วนแล้วแต่สร้างผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของตัวเธอและคนในครอบครัว
"น้องเป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย ที่แขนมีเลือดออกด้วยนี่"
"ไม่เป็นไรค่ะ" เพราะตอนนี้เธอเอาแต่ห่วงอนาคตทางการเงินของตัวเองมากกว่าร่างกายที่บาดเจ็บ เอาแต่ลูบคลำจักรยานยนต์ตัวเองสลับกับมองท้ายรถของชายคนนั้นที่มีแค่สีถลอกเพียงนิด แค่สองเซ็นด้วยซ้ำ พารินคิดแบบนั้น ต่างจากรถของตนเองที่ไม่แม้แต่จะเข็นให้ตรงทาง
"รถเจ้านายพี่มีประกันชั้นหนึ่ง ไม่ต้องห่วงเรื่องซ่อมหรอก ห่วงร่างกายตัวเองก่อน" เพราะเห็นท่าทางคู่กรณีดูจะหนักอกหนักใจ เขาจึงเอ่ยออกมาให้พารินสบายใจ
อยากจะร้องไห้ ที่เจ้านายของผู้ชายคนนี้มีน้ำใจไม่เอาเรื่องเอาราว และพารินไม่ต้องเสียเงินค่าซ่อมรถหรูให้เขา แต่ต้องมาเศร้าเพราะรถของตนเองที่พังยับเยิน
"ยังไม่เรียบร้อยอีกเหรอ" เสียงดุๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น จนพารินต้องหันไปสนใจ พร้อมกับชายที่ลงมาถามไถ่เธอที่ดูจะเกร็งขึ้นมาในทันที
"น้องมีอาการบาดเจ็บน่ะครับ" เขารีบรายงาน
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุของเมืองไทย แถมเหตุนี้ดันเกิดบนท้องถนนที่การจราจรติดขัด คะนึงนิจที่นั่งรออยู่ในรถมาครู่ใหญ่จึงจำต้องลงจากรถ ด้วยเพราะรำคาญเสียงบีบแตรจากด้านนอก
"งั้นนายจัดการเรื่องนี้ต่อทีแล้วกัน ส่วนคนเจ็บก็มากับฉัน"
คนขับรถจัดการเรียกรถแท็กซี่ให้เจ้านายกับคนเจ็บ ปลายทางคือโรงพยาบาลตามที่คะนึงนิจต้องการ
"จริงๆ แล้ว พี่สาวไม่ต้องรับผิดชอบก็ได้นะคะ หนูไม่ได้เจ็บมากเท่าไหร่" พารินหันมาสบตากับคนสวยในมาดนักธุรกิจ ที่นั่งไขว่ห้างกอดอกอยู่ข้างกัน
"ทำไมล่ะ หรือน้องอยากจะเรียกค่าเสียหายด้วย" พูดออกไปเพียงแค่นั้นก็เปิดกระเป๋าของตนเอง ตั้งใจจะหยิบธนบัตร
เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อย เรื่องมาหยุดให้ชนแล้วเรียกค่าเสียหายจากรถหรู
"ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่แบบนั้น" พารินรีบปฏิเสธเสียงหลง นั่นจึงทำให้คะนึงนิจต้องหยุดมือ และหันไปหาคนข้างๆ ก็อยากจะฟังความต้องการ
"หนูผิดเองแหละค่ะ ทั้งๆ ที่คิดมาตลอดแบบจำใส่สมองว่าจะไม่มีวันขี่ไปใกล้รถหรูแบบของพี่สาว เพราะกลัวจะไปเผลอชน ครั้งก่อนนะคะ แค่รถเก๋งธรรมดาหนูยังต้องจ่ายค่าเสียหายให้เขาตั้งหลายบาท" พารินเริ่มเล่าเรื่องของตนเองแบบเป็นฉากๆ คะนึงนิจเองก็ตั้งใจฟังแบบไม่วางตา
"แค่พี่สาวไม่คิดค่าเสียหายก็เป็นบุญแล้วค่ะ ไม่ต้องพาหนูไปหาหมอหรอกค่ะ เปลืองเงินเปล่าๆ " ทั้งยังทำไม้ทำมือโบกไปมาเป็นการปฏิเสธอีก
รอบนี้คะนึงนิจจึงเปลี่ยนเป็นสำรวจการแต่งกายของคนข้างๆ แทน ดูจากเสื้อผ้าก็รู้ดีว่าคงจะเป็นคนส่งอาหารตามแอพพลิเคชั่นที่กำลังฮิต แต่ยังไงเธอก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี
"ยังไงพี่ก็ต้องให้ค่าทำขวัญ ถ้าน้องไม่อยากไปโรงพยาบาล"
"ไม่ต้องเลยค่ะ ไม่ต้อง! "
"ไม่เคยเจอ คนที่ไม่อยากได้เงิน"
"อยากสิคะ แต่หนูเป็นคนชนท้าย ทำรถพี่สาวเป็นรอย ยังไงก็ผิดอยู่ดี แม้รถหนูจะพังก็ตาม" ประโยคหลังพารินพูดด้วยเสียงอ่อน
"เข้าใจแล้ว"
ปลายทางจากโรงพยาบาลเปลี่ยนเป็นร้านกาแฟสุดหรูแทนทันที
พารินเดินเข้าร้านอย่างเก้ๆ กังๆ เนื่องจากไม่ชิน เพราะทุกครั้งที่เหยียบเข้ามาในนี้ เธอมาในฐานะเด็กส่งอาหาร แต่รอบนี้ พารินมาในฐานะลูกค้า
"ไม่มีออเดอร์นะ" เสียงนี้ออกจากปากพนักงานประจำเคาท์เตอร์สั่งอาหาร ที่หล่อนต้องทักทายแบบนี้คงเพราะเห็นชุดที่พารินใส่
พารินเกาต้นคอแกรกๆ อย่างเก้อเขิน ก่อนจะตอบออกไป "คือ คือ พี่จะมาซื้อน่ะ"
"อ๋อ ค่ะ รับอะไรดีคะ"
ลูกค้าหน้าใหม่ไม่ได้เอ่ยตอบออกไปในทันที พารินเอาแต่อ่านเมนู ที่ราคาแสนแพง หากไม่เพราะลูกค้าที่กดสั่ง ก่อนหน้านี้เธอคงไม่เหยียบมาแน่ และหากตอนนี้ไม่มีเจ้ามือ เธอคงไม่เข้ามาเป็นลูกค้าแน่นอน
ราคาอาหารและเครื่องดื่มเริ่มต้นที่หลักร้อยทั้งนั้น พารินเริ่มเหงื่อแตกเพราะความเกรงใจเจ้ามือ หล่อนยังไม่เข้ามาในร้านนี้ เพราะยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ด้านนอก พารินจึงต้องเข้ามาก่อนตามคำสั่ง
"สั่งหรือยัง" เหมือนเสียงนี้มาช่วยชีวิต
"ย ยังค่ะ" ตอบพร้อมยิ้มตาหยีให้
"พี่เอาสตรอเบอร์รี่โยเกิร์ตแก้วนึง และก็ซีซาร์สลัดจานใหญ่"
"ค่ะ คุณลูกค้า"
เมื่อสั่งเมนูประจำของตนเองเรียร้อยแล้วจึงหันมาหาพารินบ้าง
"เอา.. แบบเดียวกันค่ะ" นี่คงไม่แพงไปกว่าเมนูที่คนข้างๆ สั่ง เพราะสั่งเหมือนกัน พารินคิดแค่นี้
แม้ก่อนหน้านี้จะคิดมาตลอด หากตัวเองรวยหรือมีโอกาสได้เข้าร้านนี้ในฐานะลูกค้า จะสั่งเมนูที่แพงที่สุด แต่ก็ทำได้แค่คิด เพราะคำว่าเกรงใจ
"พี่ให้คนขับรถเอารถของน้องไปซ่อมแล้วนะ อีกสามวันไปรับที่อู่นี้" คะนึงนิจบอกก่อนจะส่งนามบัตรของอู่รถเจ้าประจำให้
"ขอบคุณค่ะ" พารินยื่นมือไปรับด้วยท่าทางนอบน้อม
ก่อนจะมาที่ร้านนี้ คนฝั่งตรงข้ามจัดแจงทุกอย่างให้เธอเรื่องรถจักรยานยนต์ที่เสียหาย แม้จะเกรงใจ แต่ก็ยอมรับไว้แต่โดยดี เพราะไม่มีเงินซ่อม
ฝั่งคะนึงนิจ เธอไม่ใช่คนใจดี แต่เพราะรู้นิสัยของคนขับรถตนเองดีว่าเขาค่อนข้างจะประมาทในการขับ จะเปลี่ยนก็ทำไม่ได้เพราะเป็นคำสั่งของคนที่บ้าน เธอจึงจำต้องมีคนขับรถ และส่วนใหญ่คะนึงนิจจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหาย โดยใช้เงินเพื่อจบปัญหา แต่รอบนี้ เธอรู้สึกถูกชะตากับเด็กสาวตรงหน้า
คะนึงนิจสังเกตเห็นสีหน้าหนักอกหนักใจของพารินทั้งๆ ที่ตนเองไม่ใช่ฝ่ายผิดผ่านกระจกในขณะที่กำลังนั่งรอในรถ เด็กสาวช่างแตกต่างจากหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะคู่กรณีมักจะโวยวายและเอาแต่เรียกค่าเสียหาย จนน่าหงุดหงิด
"หนูชื่อพารินนะคะ เรียกรินก็ได้ แล้ว.. พี่สาวชื่ออะไรคะ" อยู่ๆ พารินก็เริ่มชวนคุย
แต่เพราะคนตรงหน้าเอาแต่เหม่อมองมาทางตนเอง จึงต้องเรียกซ้ำ "พี่สาว พี่สาวคะ"
"อุ้ย! " คะนึงนิจเผลอส่งเสียงอุทานออกมา
"เมื่อกี้ว่าไงนะ"
"หนูชื่อพารินค่ะ ชื่อเล่นชื่อริน พี่สาวชื่ออะไรคะ"
"พี่ชื่อนิด แต่.. เรียกพี่สาวแบบที่เรียกก่อนหน้านี้ก็ได้"
"ได้ค่ะ ได้" พารินยิ้มแป้นทันทีที่ได้ยิน ก่อนที่อาหารจะมาเสิร์ฟ ทำให้บทสนทนาต้องหยุดลงเพียงครู่
"เคยมาร้านนี้มั้ย" คะนึงนิจเริ่มชวนคุย ก่อนจะตักอาหารเข้าปากตนเอง
"เคยค่ะ แต่ไม่เคยกินหรอกนะคะ"
คนถามเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย
"คือ.. หนูมารับอาหาร แล้วเอาไปส่งให้ลูกค้าน่ะค่ะ"
"อ๋อ" คะนึงนิจพยักหน้าเข้าใจ
"แต่หนูก็อยากจะลองกินนะคะ เพราะคนสั่งกันเยอะ"
"แล้วทำไมไม่มากินล่ะ"
"มันแพงไงคะ ราคาอาหารจานนึงน่ะ หนูต้องส่งอาหารตั้งหลายรอบกว่าจะได้ค่าจ้าง เก็บเงินไว้ให้น้องสาวเรียนดีกว่าค่ะ"
"แต่.. โชคดีมากเลยนะคะ ที่พี่สาวใจดีพาหนูมาที่นี่ ไม่งั้นไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้กินหรือเปล่า"
"พี่เลี้ยงทั้งที ทำไมกินแค่สลัดล่ะ เค้กที่ร้านก็อร่อยนะ สั่งมาลองสิ"
"ก็อยากจะสั่งค่ะ แต่เกรงใจ"
"สั่งมาเถอะ สั่งมากินด้วยกัน ไม่ต้องเกรงใจ เพราะพี่ก็อยากกินเหมือนกันแต่ไม่เคยกินหมดสักครั้ง "
"งั้น หนูเอาที่แพงที่สุดนะคะ"
"ได้สิ"
ทั้งคู่ใช้เวลาพูดคุยและรับประทานอาหารในร้านจนเย็นย่ำ
สำหรับพาริน ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเธอพบเจอผู้คนแปลกหน้ามากมายในแต่ละวันด้วยเพราะสายงานบริการ จึงไม่รู้สึกขัดเขินที่ได้พูดคุยกับเจ้ามือในวันนี้
ส่วนคะนึงนิจคือเรื่องใหม่ ไม่บ่อยนักที่เธอจะทำตัวสนิทสนมกับคนแปลกหน้า เพราะตำแหน่งงานที่ยากจะเข้าถึง แถมระดับผู้บริหาร ไม่มีทางที่จะมาสนิทกับเด็กส่งอาหารแน่นอน คงจะพูดได้ว่าถูกชะตา
"ถ้าอยากได้งานที่ไม่ต้องลำบากขี่มอเตอร์ไซค์ ก็ติดต่อพี่ได้นะ โทรหาเลขาพี่ได้ตลอด"
"หนูคงไม่เหมาะกับงานแบบนั้นหรอกค่ะ เรียนจบแค่ป.หก ทำงานนี้ดีแล้ว" ยิ้มแป้นบอกออกมาอย่างเกรงใจ เข้าใจว่าคะนึงนิจคงอยากจะรับผิดชอบเรื่องวันนี้
"อย่าดูถูกตัวเองแบบนั้น ถ้าจะเลี้ยงดูครอบครัวก็ต้องหางานประจำที่มั่นคง ไม่ใช่ตระเวนขี่รถมอเตอร์ไซค์แบบนั้น มันอันตราย แถมเป็นผู้หญิงอีก"
"ขอบคุณนะคะ" พารินยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ไม่รู้ว่านี่รอบที่เท่าไหร่แล้วที่ไหว้คนตรงหน้า
คะนึงนิจเองก็รู้สึกว่าสาวน้อยตรงหน้าใช้การไหว้สิ้นเปลืองจนต้องยื่นมือไปรับไหว้ แต่เหมือนเกิดกระแสไฟช็อตทันทีที่สัมผัส ต่างคนต่างผละออกจากกันทันที
"จะกลับยังไง ให้พี่ไปส่งมั้ย" และคนอายุมากกว่าก็ชวนเปลี่ยนเรื่องคุย ไม่สนใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่
"เดี๋ยวหนูนั่งรถเมล์ค่ะ ราคาถูก ปลอดภัย"
"งั้นเอานี่ไป" บอกพร้อมส่งเงินให้จำนวนหนึ่ง คะนึงนิจคงจะใช้เงินในการจบปัญหาทุกอย่างจนเคยชิน
"ไม่เอาค่ะ เงินนี้ถ้าจ่ายคงโดนกระเป๋ารถเมล์ด่า" ก็เพราะเป็นธนบัตรสีเทา
"แต่ขอแค่ยี่สิบก็พอค่ะ" อย่างน้อยก็คงจะไม่ทำลายความตั้งใจอยากให้เงินของคนตรงหน้า
คะนึงนิจได้แต่ส่ายหัวให้ก่อนจะส่งธนบัตรใบละยี่สิบให้พารินตามคำขอ
ประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยท่าทางอิดโรยของคนที่เพิ่งจะมาถึงในเวลาค่ำ
"ไปไหนมา! " น้ำเสียงหาเรื่องดังขึ้นจากญาณิญ
คะนึงนิจจึงเลือกที่จะเดินเลี่ยงไปอีกทาง ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับคนที่ขึ้นชื่อว่าสามี
แต่เหมือนคนที่ชอบหาเรื่องจะไม่ยอมง่ายๆ หล่อนลุกขึ้นจากโซฟา เดินจ้ำๆ ตามหลังคะนึงนิจ และกระชากแขนให้หันมาเผชิญหน้า
"โอ้ย! ฉันเจ็บนะ"
"ผัวคุยด้วย ก็ต้องฟังสิวะ จะได้ไม่ต้องเจ็บตัว"
ทันทีที่ได้เผชิญหน้าคะนึงนิจก็รู้ได้ทันที ว่าญาณิญไม่ปกติ
"คุณเมามากแล้วนะ ขึ้นไปนอนเถอะ" และเธอก็เลือกที่จะใช้วิธีที่นุ่มนวล ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงหรือทะเลาะวิวาทกับคนไร้สติ
"ฉันจะนอนได้ยังไง ในเมื่อเมียฉันยังไม่กลับบ้าน"
"ก็กลับมาแล้วไง ทีนี้ก็ไปนอนได้แล้ว"
"เดี๋ยวนี้ปากเก่งนะ ไปเจอใครมาล่ะ ได้กันมารึยัง"
'เพี้ยะ' ใบหน้าญาณิญหันตามแรงตบของคะนึงนิจทันทีอย่างเหลืออด
"ทุเรศ! ฉันไม่ใช่คุณนะ ที่กินไปทั่ว"
"ก็เพราะเมียที่บ้านไม่ทำหน้าที่ไง ฉันเลยต้องไปหาเอาข้างนอก" ญาณิญเริ่มส่งเสียงดังจนคะนึงนิจสะดุ้งเฮือก ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน คะนึงนิจไม่เคยเถียงคนตรงหน้าได้เลย
"แต่ถ้าวันนี้คุณยอม ฉันก็จะไม่ไปไหน" สีหน้าดุดันของญาณิญเริ่มแปรเปลี่ยน จนคะนึงนิจต้องถอยกรู
"อย่านะ! ไม่อายลูกรึไง" นี่คือข้ออ้างที่เธอมักเอามาใช้กับญาณิญ
"ฉันเอาไปฝากไว้กับแม่คุณแล้ว ดังนั้น ไม่ต้องอาย" พูดพร้อมกับย่างกายเข้าใกล้คะนึงนิจเรื่อยๆ
"และ.. ถ้าคุณยอมฉันแต่โดยดี ฉันก็จะไม่รุนแรง จะทำให้ประทับใจ เหมือนครั้งแรกของเรา"
'เพี้ยะ'
"สกปรก! ฉันเกลียดคุณ เมื่อไหร่จะปล่อยฉันไปสักที โอ้ย! .." คะนึงนิจร้องเสียงหลงอีกครั้ง เพราะถูกรวบจับข้อมือเอาไว้ และถูกดันจนแผ่นหลังชิดติดผนังอย่างแรง
"อ้อนวอนฉันสิ เผื่อฉันจะยอม" ใบหน้าของคนทั้งคู่อยู่ใกล้กันไม่ถึงคืบ คะนึงนิจหันหน้าหนีทันที นั่นเพราะเธอรู้ดีว่าญาณิญเพียงต้องการจะยียวน
ก่อนหน้านี้คะนึงนิจเคยอ้อนวอนและขออิสระจากญาณิญแล้ว แต่ไม่เป็นผลเพราะญาณิณไม่คิดทำตามสัญญาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
"ยอมสินะ" ญาณิณยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือไปลูบไล้อยู่ที่บั้นท้ายของคะนึงนิจ
"คุณสวยแบบนี้แล้วฉันจะปล่อยไปได้ยังไง" น้ำเสียงกระซิบนี้คลอเคลียอยู่ข้างลำคอระหงของคะนึงนิจ
"ปล่อย ปล่อยฉัน" เมื่อมือข้างหนึ่งถูกปล่อยให้เป็นอิสระ คะนึงนิจจึงเริ่มพยศ
"อยู่เฉยๆ! ถ้าไม่อยากเจ็บตัว"
คะนึงนิจถูกเหวี่ยงลงกลางเตียงด้วยเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ย ตามด้วยญาณิญที่ตามไปคร่อมร่างนั้นไว้ คะนึงนิจไม่ต้องการจะเป็นที่ระบายของคนตรงหน้า เธอดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับดันไหล่ญาณิณไว้
"ฉันเหนื่อย ฉันอยากพัก" พยายามจะหยุดความต่องการที่ท่วมท้นของญาณิณ
ก่อนจะขึ้นมาถึงบนห้องนอน เธอก็ถูกคนตรงหน้ายัดเยียดเซ็กส์ให้จนร่างกายอ่อนระทวย แทบจะไร้เรี่ยวแรง
"ฉันคือคู่ชีวิตในฝันของคุณไม่ใช่เหรอ"
"อื้อ.." เสียงครางนี้หลุดจากในคอของคะนึงนิจ ไม่ว่าจะห้ามปรามอย่างไร ก็หยุดญาณิญไม่เคยได้
คะนึงนิจถูกจู่โจมด้วยการจูบพรมที่ซอกคอ กระดุมเสื้อที่ถูกปลดออกทุกเม็ด เผยให้เห็นเนินอกล้นทะลักที่โผล่พ้นบราลายลูกไม้สีขาวราคาแพง มือข้างหนึ่งของญาณิญจงใจดึงรั้งมันลงเพียงเพื่ออยากจะดูดชิมความหอมหวานจากยอดปทุมถัน
"อึ้ก.." ทันทีที่ถูกดึงชุดชั้นในให้ร่นลง คะนึงนิจก็ส่งเสียงร้องอีก "อื้ออ.." และยิ่งร้องออกมาไม่อาย เมื่อริมฝีปากของคนตรงหน้าที่กำลังดูดกลืนราวกับหิวกระหาย
"ฉันเจ็บ อื้ออ" เพราะทั้งดูดและบีบเคล้น จึงต้องส่งเสียงปราม แต่ก็ยังคงมีความรู้สึกไหวหวามกับสัมผัสอันรุกเร้าของญาณิญ
แม้จะเกลียดคนตรงหน้ามากเพียงใด แต่ก็ไม่เคยจะหยุดการกระทำของญาณิณได้เต็มปากเต็มคำ
ห่างหายเซ็กส์ ระหว่างคนทั้งคู่ ญาณิญถูกคะนึงนิจปฏิเสธมาตลอด ด้วยการเอาลูกมาอ้าง จนญาณิญต้องออกไปหาความสุขนอกบ้าน
แต่ครั้งนี้ คะนึงนิจจำต้องยอม แบบไม่ได้เต็มใจ ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าญาณิญแสนเลวมาเพียงใด แต่เพื่ออยากจะจบการทะเลาะวิวิาท เธอจึงต้องปล่อยให้หล่อนได้สิ่งที่ต้องการ
พารินก้าวลงจากรถเมล์ตอนฟ้ามืด ก่อนจะโบกวินมอเตอร์ไซค์ เพื่อเข้าบ้านในตรอกซอยเล็กๆ หลังตลาด
ทันทีที่ลงจากรถ ก็รีบตรงไปหายายเนียม คนสูงอายุที่นั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้านทันที
"บอกแล้วไงว่าให้รอหนูก่อน" ส่งเสียงดุๆ บอกยายเนียม พร้อมกับช่วยหยิบข้าวต้มมัดที่เพิ่งจะห่อเสร็จเรียงลงซึ้งนึ่งอย่างปราณีต
"มันดึกแล้ว ยายกลัวทำไม่ทัน"
"โธ่.. แต่นั่งอยู่หน้าบ้านคนเดียวมันอันตราย" พูดพลางชะเง้อเข้าไปในบ้าน
"นี่รันยังไม่กลับมาใช่มั้ยยาย"
"น้องมันบอกว่าวันนี้ต้องซ้อมเต้น"
"ถ้ารันกลับดึก และถ้าหนูยังไม่กลับให้.."
"ให้เข้าไปทำในบ้าน เหอะๆ" ไม่ทันที่พารินจะพูดจบประโยค ยายเนียมก็พูดประโยคที่หลานสาวคนโตชอบพูดออกมาอย่างหยอกล้อ
"ยายอ่า" พารินหน้าตูมทันที
"เอาน่า แถวนี้ก็คนกันเองทั้งนั้น ไม่มีอะไรให้ห่วงหรอกลูก"
"ห่วงสิยาย บ้านหน้าซอยเพิ่งจะถูกจี้นะ ถึงยายไม่กลัว แต่หนูกลัว"
"เราไม่มีของมีค่าให้ใครปล้นจี้หรอกลูก"
"เห้อ.. หนูเถียงยายไม่เคยชนะสักที" พูดพลางเริ่มก่อไฟที่เตาถ่านอย่างชำนาญ
"แล้วมอไซค์ไปไหนล่ะ ยายเห็นนั่งวินมา"
"อยู่อู่น่ะยาย" บอกก่อนจะวางมือจากเตาถ่าน ระหว่างรอให้ร้อนได้ที จึงเดินไปนั่งข้างคนเป็นยาย
"ทำไมล่ะ เสียอีกแล้วเหรอลูก"
"เปล่าหรอกจ้ะ หนูขับไปชนรถชาวบ้านเค้า แต่เค้าช่วยซ่อมให้ ไม่เรียกค่าเสียหายด้วย"
"จริงเหรอลูก ทำไมเค้าใจดีจังเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้เอาขนมไปให้เค้านะลูก ตอบแทนที่เค้ามีพระคุณกับเรา"
"คือ... เอ่อ ได้สิจ๊ะ แต่ไม่รู้ว่าเค้าจะว่างรึเปล่านะ แล้วก็ไม่รู้ว่าเค้าจะชอบขนมบ้านๆ ของเราหรือเปล่า"
"อย่าคิดแบบนั้นลูก ถึงเค้าจะไม่ชอบ แต่เราก็ต้องแสดงน้ำใจเท่าที่เราทำได้เพื่อตอบแทนเค้า และถ้าเค้าไม่ชอบ จะทิ้งจะขว้างของๆ เรา ก็สุดแท้แต่เค้า"
"จ้ะยาย หนูจะลองดู"
สมาชิกในครอยครัวของพาริน มีอีกสองคน นั่นคือยายเนียม และดารัน น้องสาว
ตั้งแต่เล็กจนถึงตอนนี้ ยายเนียมเลี้ยงดูพารินและดารันมาด้วยการทำขนมขาย จนกระทั่งยายล้มป่วย พารินจึงต้องลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาช่วยยายทำงาน และเสียสละให้น้องสาวได้เรียนหนังสือ จนตอนนี้ เธอกลายเป็นเสาหลักของครอบครัว
พารินไม่เกี่ยงงานด้วยเพราะการศึกษาที่ด้อยกว่าใครจึงไม่มีสิทธิเลือกมากนัก หนักเอาเบาสู้เพื่อยายและน้องสาวที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัย
"สองพัน" พารินเอ่ยกับคนเองหลังจากนั่งนับเงินที่เหลือของตนเอง
อีกสี่วันจะสิ้นเดือน ทั้งค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ หากสถานการณ์ปกติ เธอคงจะพอถูไถได้ แต่ตอนนี้เครื่องมือทำมาหากินดันมาใช้การไม่ได้ อีกตั้งสามวันกว่าจะเรียบร้อย นั่นหมายถึงการขาดรายได้
'ก๊อก ก๊อก'
"พี่ริน รันเข้าไปนะ" เสียงจากคนด้านนอกตะโกนเข้ามาด้านใน
พารินรีบรวบเงินของตนเองลงกล่องเดิม "อื้อ เข้ามาสิ"
"ยายบอกว่ารถเสียอยู่ที่อู่เหรอ" น้องสาวคนสวยที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษานั่งลงตรงหน้าพาริน
"อืม พี่ไม่ระวังเองแหละ"
"ขับเร็วอีกแล้วล่ะสิ"
"รู้ทันตลอด"
"แล้วทำยังไงอะ รอบนี้เค้าไม่เอาเรื่องใช่มั้ย"
"ใช่ โคตรโชคดีเลย" พูดพลางยิ้มกว้างให้น้องสาว
ต่างจากดารันที่ทำหน้าละห้อย เพราะสงสารคนตรงหน้า
"ไม่เป็นไร พี่หาเงินได้น่า พี่สาวดารันเก่งจะตายไม่รู้เหรอ" พูดพลางยื่นมือไปขยี้หัวน้องสาวอย่างเอ็นดู
"วันนี้มีประกาศรับสมัครงานพาร์ทไทม์ร้านเบอร์เกอร์"
"ไม่.. พี่บอกแล้วไง มีหน้าที่เรียนก็เรียนไป"
"แต่รันอยากจะช่วยพี่ริน อย่างน้อยถ้าเราช่วยกัน รันจะได้แบ่งเบาภาระพี่บ้าง"
"ถ้าอยากแบ่งเบาภาระพี่ หลังเลิกเรียนก็รีบกลับบ้านมาอยู่เป็นเพื่อนยาย"
น้องสาวยังคงทำหน้างอไม่เลิก
"แล้วค่าชุดเท่าไหร่" พารินเริ่มชวนเปลี่ยนเรื่อง
"สองพัน ต้องจ่ายสิ้นเดือน แต่ถ้าพี่รินไม่มี รันเข้าใจ รันจะลาออกจากชมรม"
"พี่เตรียมไว้ให้แล้ว รันไม่ต้องลาออกหรอก"
"จริงเหรอ!"
"จริงสิ"
คนน้องขยับไปกอดพารินแนบแน่นด้วยความดีใจ "รักพี่รินที่สุดเลย"
พารินได้แต่ยิ้มกว้าง ไม่มีคำบรรยาย เธอชอบเห็นเวลาที่น้องสาวมีความสุข ก็ดารันน่ารักขนาดนี้ แล้วเธอจะขัดใจได้อย่างไร แถมเธอยังสนับสนุนทุกอย่างที่ดารันชอบ เพราะไม่อยากให้น้องสาวมีชีวิตเหมือนตนเอง
แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วภาระนี้ช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน พารินเหลือเงินติดตัวไม่เท่าไหร่ ทำให้หวนนึกถึงเหตุการณ์ในวันนี้ เธอน่าจะทิ้งศักดิ์ศรีที่มีและคว้าเงินจากมือพี่สาวคนสวยคนนั้นซะ นึกถึงแล้วก็เสียดายเมื่อมารู้ว่าตนเองจะต้องใช้เงินมากในการจับจ่ายใช้สอย ไม่น่าทำตัวเป็นคนดีเลย แต่นั่นก็ได้แค่คิด