Chapter 21 แผนลวงนางมารร้าย
หม่อมพิศพิไลเป็นสตรีสูงวัยเลยเลข 6 ไปหลายปี แต่ใบหน้ายังคงทิ้งเค้าโครงของความสวยงามเอาไว้ เพียงแค่ได้สบตาฉันก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่อีกฝ่ายมอบให้
แม้ต้องเดินทางไกลไปถึงเขาใหญ่ แต่หม่อมก็สวมชุดผ้าไหมเรียบหรูพร้อมเครื่องเพชรชุดอลังการส่งแสงวิบวับแยงตา ฉันแอบอมยิ้มขำในคำว่าผู้ดีที่ต้องจัดเต็มเพื่อหน้าตาทางสังคม ทั้งที่ตัวเองจนกรอบกำลังจ่อคิวจะโดนฟ้องล้มละลายอยู่รอมร่อ คนที่ไม่เคยตกอยู่ในสังคมแบบนั้นอย่างฉันได้แต่ถามในใจ พวกคุณหญิงคุณนายที่ต้องแต่งตัวประโคมเพชรอย่างนี้ทุกวันรู้สึกอึดอัดบ้างไหม
“สวัสดีค่ะหม่อม” ฉันพนมมือไหว้อย่างนอบน้อม
สองมือเหี่ยวย่นยกขึ้นประคองใบหน้าของฉันพร้อมกับรอยยิ้มละมุน “ไหว้พระเถอะหนูดาว ตัวจริงสวยกว่าในรูปมากเลยลูก”
“ดาวกราบขอบพระคุณค่ะหม่อม”
“เรียกว่าหม่อมแม่เถอะ”
ฉันยิ้มแหยทำหน้าไม่ถูก พอเดาได้ว่าพ่อต้องไปตกลงอะไรกับหม่อมพิศพิไลเรียบร้อย ท่านถึงใช้แววตาและคำพูดกับฉันแบบนี้ ถึงแม้ความรู้สึกจะกระดากอาย แต่ก็ยอมเรียกเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย
“ค่ะ หม่อมแม่”
คิดอยู่ในใจว่าแม่พิมพ์แบบนี้จะเลี้ยงลูกให้เป็นเพลย์บอยและดูถูกผู้หญิงได้ขนาดนั้น ตาหม่อมหลวงนั่นคงเลวเพราะนิสัยตัวเองล้วนๆ
“ตัวจริงหนูดาวสวยกว่าที่คุณพิมานเอารูปให้แม่ดูอีกนะ” คำชมซึ่งๆ หน้าทำให้แก้มของฉันแดงระเรื่อ
“กราบขอบพระคุณหม่อมแม่ที่เอ็นดูดาวค่ะ” ฉันพนมมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อมก่อนจะผายมือเชิญหม่อมพิศพิไลขึ้นในรถตู้ แม้เวลาตอนนี้จะแค่ 9 โมงเช้า แต่แดดของเมืองไทยก็ค่อนข้างจ้าและเริ่มร้อนจนเหงื่อไหลซึม
“เชิญขึ้นรถเถอะค่ะ เดี๋ยวสายกว่านี้จะยิ่งร้อนมาก” ฉันผายมือเชิญ
“โอเคจ้า ไปคุยกันต่อในรถนะ” หม่อมพิศพิไลบอกและก้าวเข้าไปในรถก่อน จากนั้นฉันจึงก้าวตามขึ้นไป
ฉันรู้สึกโล่งอกขึ้นมามากเมื่อหม่อมพิศพิไลให้ความเอ็นดู หม่อมไม่ได้เป็นผู้หญิงเจ้ายศเจ้าอย่างเหมือนอย่างที่คิดและนึกกลัวเอาไว้ตั้งแต่ต้น
เมื่อได้รู้จักและสนทนากับหม่อมทำให้ฉันรู้สึกชื่นชม ท่านเป็นผู้หญิงทำงานไม่ต่างจากฉัน แม้จะอายุมากจนเลยวัยปลดเกษียณแต่ก็ต้องดูแลบริษัท ในขณะที่ลูกชายกลับไม่มาเหลียวแลดูดำดูดีกิจการของครอบครัวแม้แต่นิด
‘ผู้ชายอะไร เห็นแก่ตัวและไร้ความรับผิดชอบที่สุด’ ตอนนี้ฉันสรุปออกมาได้แบบนี้ ได้แต่ภาวนากับตัวเอง...หวังว่าเขาจะไม่มีเรื่องอื่นที่เลวร้ายมากไปกว่าที่รู้จักนะ
ในตอนเช้าของวันทำงานปกติ แสงอาทิตย์อบอุ่นส่องผ่านกระจกบานใสมาถึงเตียงนอน แอร์คอนดิชั่นเนอร์เย็นฉ่ำยังทำความเย็นได้เต็มที่ คนบนเตียงหงุดหงิดเล็กน้อยที่แสงแดดแยงตาเพราะเด็กฟ้าใสลืมปิดม่านให้ แต่ก็ไม่เป็นปัญหาเมื่อผ้าห่มผืนหนาถูกพันรอบตัวและพลิกหน้าซุกหน้าลงบนหมอนอีกครั้งหลบแสงแดด
“ห่ะ แดดส่อง สายแล้วยัยดาว”
แต่ในวินาทีนั้นฉันก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีธุระด่วนที่ต้องไปจัดการ ผ้าห่มผืนหนาถูกสลัดออกจากตัว รีบกระโจนลงจากเตียงและวิ่งปรี่เข้าไปในห้องน้ำ
ฉันใช้เวลาอาบน้ำแต่งตัวเร็วที่สุดในชีวิต หนีบกระเป๋าสะพายและเอียงคอใส่ตุ้มหูพร้อมกับเดินออกมานอกห้องด้วยความเร่งรีบ
“จะทันไหมยัยดาว หล่อนมัวแต่นอน” ฉันบ่นกับตัวเองรีบวิ่งลงบันไดมาในขณะที่ยังใส่ตุ้มหูอีกข้างไม่เสร็จ
“นั่นแกจะรีบไปไหน” เสียงทักทายไม่คุ้นเคยในตอนเช้าเรียกสายตาของฉันให้หันกลับไปมอง ถ้าจะนับเวลาจริงๆ ฉันไม่เจอพ่อบนโต๊ะอาหารเช้าแบบนี้มานับปี
“ดาวมีธุระค่ะ”
“วันนี้ไม่มีประชุมสำคัญไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะพ่อ แต่ดาวนัดเพื่อนเอาไว้”
“นัดเพื่อนคนไหน แกถึงจะได้รีบไปแบบเร่งด่วนขนาดนั้น มาเล่าเรื่องเมื่อวานให้ฟังก่อนแล้วค่อยไป” น้ำเสียงทรงพลังบอกเป็นเชิงสั่ง ฉันต้องทำหน้าหงอยเดินไปที่ห้องอาหารของบ้าน
การย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำของตัวเอง เด็กในบ้านขยับตัวเพื่อที่จะเติมกาแฟให้ ฉันต้องรีบยกมือห้ามเอาไว้
“ไม่เป็นไร”
“จะไม่กินเช้าก่อนเหรอ เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแค่ไหนแล้ว” เสียงดังแทรกขึ้นมาทำให้ฉันอ่อนอกอ่อนใจ เหมือนพ่อจงใจจะแกล้งให้ฉันสายเสียอย่างนั้น
“ค่ะพ่อ” ฉันตอบ ลอบพ่นลมหายใจผ่านปลายจมูก ก่อนจะหันไปส่งสัญญาณให้เด็กจัดอาหารเช้าให้
“เมื่อวานเป็นยังไงบ้าง”
“เรียบร้อยดีค่ะ หม่อมพิศพิไลชอบที่และโครงสร้างบ้านมาก”
“อืม” พ่อตอบรับในลำคอสั้นๆ และเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางอ่านโดยไม่สนใจที่จะสนทนากับฉันสักนิด หรือแม้แต่จะละสายตาจากหนังสือพิมพ์ธุรกิจขึ้นมามองก็ไม่มี
ฉันงงกับอาการของพ่อมาก เรียกฉันมารับประทานอาหารเช้าด้วย แต่ฉันกลับรู้สึกเหมือนเป็นอากาศธาตุ ฉันยกกาแฟขึ้นจิบและสะพายกระเป๋าเป้พร้อมกับลุกขึ้น ขออนุญาตกับพ่อ
“พ่อคะ ดาวขอตัวก่อนนะคะ”
พ่อละสายตาจากหนังสือพิมพ์ขึ้นมามองฉันอีกครั้ง “อ้าว ไม่กินข้าวแล้วเหรอ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ดาวรีบ”
“อือ” พ่อบอกพร้อมกับทำมือส่งสัญญาณให้ฉันออกไปได้
‘โฮะ! แบบนี้ก็ได้เหรอ พ่อนะพ่อ...สายจนได้นะยัยดาว เธอต้องสวมตีนผีซิ่งให้ถึงที่ทันเวลาอย่างเดียว’
“เฮ้อ! ในที่สุดก็มาทันนะยัยดาว” ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นรถเป้าหมายจอดอยู่ในลานจอดรถ เพราะรับปากกับคุณป้าทาริกาเอาไว้ว่าจะช่วย แม้จะกลายเป็นนางมารร้ายในสายตาของคนอื่นก็ตาม
ฉันรอเป้าหมายอยู่ในรถ ไม่นานก็เห็นเขาเดินออกมา สังเกตเห็นว่าเขาสลัดศีรษะอยู่บ่อยๆ และใช้มือนวดขมับของตัวเอง
ทวิชเดินออกมาอย่างเซ็งๆ หลังจากประชุมกับพี่ชายเสร็จ ตอนนี้สมองของเขามันตื้อจนไม่สามารถประมวลผลอะไรได้ ตอนนี้เขาต้องการเตียงนอนนุ่มๆ กับยาลดไข้สักสองเม็ด
ทวิชก้าวเข้าไปในรถ แต่พอจะเอื้อมมือไปปิดประตูก็ถูกมือเล็กของฉันจับประตูเอาไว้ ฉันเห็นว่าใบหน้าเขามีอาการตกใจเล็กน้อยที่เห็นฉันอยู่ที่นี่ เชื่อว่าเขาคงจะจำฉันได้
“สวัสดีค่ะ ไปดื่มกาแฟเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” ฉันส่งยิ้มหวานและเอ่ยชวนเขา
“มีธุระอะไรกับผมหรือเปล่า” เขาเลิกคิ้วถามฉันอย่างแปลกใจ