Chapter 1 เธอคือดวงดาว
Chapter 1 เธอคือดวงดาว
“อีก 88 วันฉันจะแต่งงาน” คำคะนองปากเพื่อความสะใจและเอาชนะ แต่มันกลับเป็นมีดคมกริบที่แว้งกลับมาจี้คอตัวเอง ฉันควรจะหัวเราะ ร้องไห้หรือสมน้ำหน้าให้กับความคะนองดี
“อีก 88 วันฉันจะตายหรือรอด คนโสดบ้างานไม่มีแฟนอย่างฉันจะไปหาผัวที่ไหนได้ทัน ตอนนี้จะเรียกว่ากรรมตามทันก็ไม่ผิดสินะ”
เกร็ดดาว หรือ ดารกา คือชื่อของฉันเอง เพื่อนๆ มักเรียกว่าดาวมากกว่าจะชื่อเล่นเต็มยศอย่างเกร็ดดาว ส่วนพ่อจะเรียกเกร็ดดาวก็ต่อเมื่อท่านกำลังโกรธ ฉันก็ไม่เข้าใจว่าพ่อจะตั้งชื่อเล่นให้ฉันเวอร์วังขนาดนี้ทำไม
ใครๆ ก็ว่าฉันร้าย ใครๆ ก็ว่าฉันแรงและแพ้ไม่เป็น แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่าเนื้อแท้ของฉันเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ว่าฉันโหยหาความรักไม่แตกต่างจากคนอื่น ฉันเองก็เจ็บปวดและมีหัวใจเหมือนกัน
เพื่อนสนิทในกลุ่มของฉันมีนรานิล ป่านฝัน พราวลดา และรินนี่ แต่ฉันจะสนิทกับโซดาที่สุด เหมือนกับที่พราวลดาสนิทกับยัยป่านจนออกรับแทนกันทุกเรื่อง
โซดา หรือ นรานิล เจ้าแม่กูรูในเรื่องความรัก เจ้าของบริษัท “HUG บริษัทจำกัดรัก” ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนที่โชคดีที่สุดในเรื่องของความรักก็ว่าได้ ผู้หญิงเสน่ห์แรงที่สุดแห่งปีแถมดีกรีคู่ควงของเธอแต่ละคนล้วนเป็นหนุ่มแถวหน้าของทุกวงการ
เพื่อนร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยค่อยๆ ทยอยแต่งงานไปทีละคน แต่ห้าสาวในกลุ่มเพิ่งจะมียัยป่านที่สละโสดไปเมื่อคืน แบบไม่โปร่งใสและลับลมคมในครบถ้วน
ในงานแต่งงานที่ชุลมุนของป่านฝัน วิวาห์จัดฉากที่ฉันได้กลิ่นตุๆ แปลกๆ ฉันเริ่มจับผิดเพื่อนสาวตั้งแต่เริ่มต้นเข้างานจนกระทั่ง
“เยส!” ฉันร้องออกมาอย่างดีใจเมื่อช่อบูเก้ตกมาอยู่ในมือของฉัน พิธีกรเชิญฉันขึ้นไปอยู่บนเวที และถามความรู้สึก
ความคึกคะนองและอยากเอาชนะที่เพื่อนจัดฉากขึ้นมาตบตา ฉันประกาศท่ามกลางแขกนับพันในงาน ล้อมรอบไปด้วยสื่อมวลชนว่า “ฉันไม่แปลกใจที่ได้บูเก้ช่อนี้ค่ะ เพราะอีก 88 วันก็ฉันจะแต่งงาน เรียนเชิญทุกคนล่วงหน้าด้วยนะคะ”
แสงชัตเตอร์รัวภาพแย่งซีนเจ้าสาวหลังจากฉันประกาศออกไป
แต่ความหนักหน่วงหัวใจย้ายกลับมาอยู่ที่ฉัน หลังจากประกาศ
‘ทำบ้าอะไรวะเนี่ย ดาว!’
ก็แหงสิ! ผ่านมาสามสิบปีไม่มีวี่แววว่าจะได้แต่งงาน เพราะฉันเป็นผู้หญิงบ้างานเจ้าของดีกรีนักธุรกิจหญิงดาวรุ่งไฟแรง Top 5 แห่งปี ที่รู้จักกันดีในนามทายาทเพียงคนเดียวของพิมาน มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์และโรงแรมลำดับต้นๆ ของประเทศ แต่ยังคงสถานะโสดสนิท
หลังจากสร้างวีรกรรมในงานเลี้ยงแต่งงานของป่านฝันและไปต่อที่ผับกับรินนี่ กว่าจะกลับมาบ้านก็ปาไปเกือบรุ่งสาง วันนี้หยุดกะจะนอนยันเที่ยง ไม่ฝืนสังขารถ่างลูกตาขึ้นมาเด็ดขาด และถ้าใครรบกวนเวลานอนในวันหยุดของฉัน จะวีนให้บ้านแตกเลยคอยดู
“ก๊อกๆ”
นั่นไง! เสียงเคาะประตูขัดจังหวะห้วงเวลาความสุขของฉันมาจริงๆ ฉันพยายามระงับสติอารมณ์โมโห ใช้หมอนอุดหูและพันตัวด้วยผ้าห่มพลิกตัวหันกลับไปอีกด้านอย่างหงุดหงิด
“ก๊อกๆ คุณดาวคะ” เสียงสาววัยแรกรุ่นเรียกเจ้านายสาวเสียงเบาอีกคน เปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ฉันนับหนึ่งถึงสิบในใจ ตอนนี้อยากจะเหวี่ยงสาวใช้และตะเพิดออกจากห้องที่สุด ทุกคนในบ้านรู้วีรกรรมของฉันเป็นอย่างดีว่าไม่ชอบให้ใครเข้ามารบกวนและวุ่นวายในเวลานอน ทั้งที่คนทางบ้านรู้ว่าฉันเพิ่งกลับตอนพวกเธอตื่นขึ้นมาทำงาน และเพิ่งได้นอนไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง
“ท่านให้ตามคุณดาวไปพบค่ะ”
“ท่าน” ที่สาวใช้พูดถึงคือนายพิมานพ่อของฉันเอง เจ้าของโรงแรมพิมานและยังเป็นเจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์อีกหลายตึกทั่วกรุงเทพฯ ท่านหมายมั่นปั้นมือที่จะให้ฉันแต่งงานกับคนที่เหมาะสมและคู่ควรมาหลายปี แต่ฉันก็ปฏิเสธทุกครั้ง ถ้าเรื่องเมื่อคืนถึงหู รับรองว่าฉันมีโอกาสที่จะได้เป็นเจ้าสาวจริงๆ ของใครสักคนในไม่ช้าแน่นอน
‘ไม่สิ! พ่อต้องไม่รู้ เมื่อวานตอนเย็นท่านมีประชุมที่ภูเก็ต น่าจะเพิ่งกลับมาตอนเที่ยวบินเช้ามืด’
“คุณดาวคะ ตื่นเถอะค่ะ”
แม้ว่าเด็กสาวจะกลัวเจ้านายจะเหวี่ยง แต่เธอก็ขัดคำสั่งประมุขของบ้านไม่ได้ ก่อนหน้านี้สาวใช้เกี่ยงกันเดินขึ้นมาปลุกเจ้านายสาว สุดท้าย ก็กลายเป็นเด็กฟ้าใสที่ต้องเสี่ยงชะตากรรมเดินขึ้นมาปลุกในเวลาเช้าตรู่แบบนี้ เพราะเธออายุน้อยที่สุด
“เธออยากโดนฉันไล่ออกใช่ไหม” ฉันถามอย่างหงุดหงิด ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงและพลิกตัวไปอีกด้านเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียง
“ท่านมีธุระด่วนให้คุณดาวลงไปพบ ฟังจากน้ำเสียงของท่านคุณดาวไม่ควรสายนะคะ เห็นใจหนูด้วยนะคะ...ไม่อย่างนั้นหนูก็โดนไล่ออกเหมือนกัน” เด็กฟ้าใสยังบอกเสียงเบา
เฮ้อ! ฉันพ่นลมหายใจออกมา เด้งตัวลุกขึ้นมานั่งตาขวางอยู่บนเตียง รู้ว่าสิ่งที่พ่อต้องการคุยกับฉันคงหนีไม่พ้นเรื่องงานที่ไปประชุมมาเมื่อคืน ท่านมักเป็นแบบนี้กับฉันอยู่เสมอ
ฟ้าใสพนมมือไหว้ “หนูไม่อยากโดนไล่ออกจากงานนะคะคุณดาว”
“เออ!” ฉันยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเซ็งๆ ใจอยากจะงับคอสาวใช้ให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องลุกขึ้นจากเตียงและเดินเข้าห้องน้ำอย่างไม่มีทางเลือก
ฉันรู้ว่าพ่อของฉันเป็นคนอย่างไร นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จรอบด้านและเลี้ยงลูกสาวเพียงลำพังมาตั้งแต่เธออายุ 8 ขวบ พ่อใช้ความเข้มงวดปกครองลูกในแบบฉบับของผู้ชาย และสอนชั้นเชิงธุรกิจให้เธอมาตั้งแต่เล็ก
นั่นทำให้ฉันมีนิสัยเด็ดขาดและกล้าได้กล้าเสียเหมือนผู้ชาย ฉันไม่ได้รับการเลี้ยงดูแบบอ่อนโยนเหมือนอย่างในครอบครัวที่มีพ่อแม่ครบ บางทีฉันก็ไม่เข้าใจถึงความผูกพัน ไม่เคยรับรู้ถึงอ้อมกอดว่ามันอบอุ่นเพียงไร แม้กระทั่งรอยยิ้มจากพ่อ...ฉันก็ไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยๆ
“เธอลงไปเรียนคุณพ่อก่อน ฉันขออาบน้ำแล้วจะตามลงไป” ฉันบอกเด็กในบ้าน แม้ตาเจ้ากรรมแทบจะปรือไม่ขึ้น แต่ก็จำต้องลุกไปอาบน้ำและลงไปพบพ่อตามคำสั่ง
คำสั่งของประมุขของบ้านทำให้ฉันไม่สามารถปล่อยอารมณ์ แช่น้ำอุ่นได้เหมือนปกติ แต่ก็นั่นแหละ...ต้องทำเวลาใช่ไหม
ฉันหยุดก้าวขา ยืนมองคนสั่งให้เด็กในบ้านไปปลุกฉันลุกมาพบแบบเร่งด่วนเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตาย แต่กลับนั่งจิบกาแฟนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออย่างอารมณ์ดี
“ตกลงว่าด่วนจริงๆ ไหมเนี่ย” ฉันอดบ่นไม่ได้ แต่ก็เดินเข้าไปหา