ใบหน้ากร้านริ้วรอยที่แทบจะไม่เคยมีใครได้เห็นรอยยิ้ม ฉันไม่มีทางเลือกมากมาย บอกตัวเองว่าต้องรีบจัดการธุระให้เสร็จ แล้วจะรีบกลับขึ้นไปนอนให้เร็วที่สุด
“พ่อมีอะไรกับดาวเหรอคะ”
ผู้ชายคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลเดียวที่ฉันให้ความยำเกรงและหวาดกลัว ทุกคำสั่งที่หลุดออกมาจากปากต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พ่อวางหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะและเงยหน้ามองฉัน ด้วยแววตาที่ฉันก็เดาไม่ออกว่าหมายถึงอะไร
‘บางทีฉันอาจจะเมาค้าง ทำให้สมองคิดและประมวลได้ช้ากว่าปกติ’
ฉันสะบัดศีรษะขับไล่อาการมึนออกจากหัว อาการปวดตุบๆ เริ่มเข้ามาเล่นงาน ตอนนี้ฉันอยากซุกศีรษะลงบนหมอนในห้องแอร์เย็นๆ มากที่สุด
แม่บ้านนำกาแฟดำมาเสิร์ฟอย่างรู้งาน เพราะต้องการสลัดอาการสะลึมสะลือนอนไม่เต็มอิ่ม ฉันไม่รอช้าที่ฉันจะยกมันขึ้นมาดื่ม ร่างกายโหยหาคาเฟอีนเต็มที
“ฉันได้ยินข่าวว่าแกกำลังจะแต่งงาน ไม่คิดจะพาลูกเขยมาเจอฉันบ้างเลยหรอ”
“แค็กๆ” กาแฟดำขมปี๋แทบจะถูกพ่นออกมาจากปาก แต่ฉันก็ฝืนกลืนลงไปเพราะสายตาของอีกคนที่จ้องถมึงทึงอยู่ตรงหน้า
แม้น้ำเสียงที่ถามจะเรียบนิ่ง แต่คำพูดไม่กี่ประโยคก็ทำให้หัวใจฉันสั่นและหายง่วงทันที โดยที่คาเฟอีนในกาแฟดำยังไม่ซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ
‘นั่นปะไร บรรลัยแล้วยัยดาว’
ฉันทำหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะยิ้มหรือร้องไห้ดี “อย่าบอกนะว่าพ่อจะเรียกดาวลงมาถามเรื่องแค่นี้ ดาวก็พูดไปเพราะความคะนองปากเท่านั้นเอง”
“เปล่า” พ่อตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์เหมือนเดิม
“แล้วพ่อมีเรื่องอะไรอีกคะ พอดีว่าเมื่อคืนดาวกลับดึก ยังง่วงๆ อยู่เลย” ฉันยกมือขึ้นปิดปากหาวหวอดๆ น้ำเสียงที่ติดงัวเงียเหมือนยังตื่นไม่เต็มตา จนพ่อต้องถลึงตามองดุ ฉันจึงยิ้มแหยและโค้งศีรษะเป็นเชิงขอโทษ
“ฉันจะให้แกแต่งงาน”
“หะ! อะไรนะคะพ่อ” ตาของฉันเบิกโตอย่างตกใจพร้อมกับลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ เพียงประโยคสั้นๆ ก็ทำให้อาการเมาค้างและนอนไม่เต็มอิ่มของฉันตื่นเต็มตาอย่างอัตโนมัติ
ฉันรีบตั้งสติและถามกลับ เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อ 3 ปีก่อน
“พ่อหนุ่มนักเรียนนอกลูกชายคุณป้าทาริกาคนนั้นกลับมาเมืองไทยแล้วเหรอคะ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน” ผู้ชายที่ฉันพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดและไม่เคยจำชื่อของเขาได้
วันนี้ฉันเกิดอยากทำความรู้จักกับเขาขึ้นมาดื้อๆ จำได้จากข้อมูลที่พ่อเคยบอกว่าเขาเป็นลูกชายคนเล็กของคุณป้าทาริกากับเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์ชื่อดังของเมืองไทย แน่นอนว่าฉันไม่เคยเห็นหน้าและก็ไม่คิดจะอยากรู้จักมาก่อน
“ฉันมีตัวเลือกเพิ่มให้แกอีกหนึ่งต่างหากล่ะ”
โฮะ! เหมือนฟ้ามาโปรด เทพเจ้าประทานพร จู่ๆ ก็มีผู้ชายมารอให้เลือกถึง 2 คน สวรรค์ของนังเกร็ดดาวชัดๆ ไม่เสียหน้าแล้วชั้น! แม้จะยังไม่รู้จักชื่อก็ตาม
ทั้งที่ในใจเหมือนกำลังเปิดเพลงเต้นอยู่ในผับเพราะความดีใจ แต่ฉันนั่งอย่างสงบเสงี่ยมและค่อยๆ หันไปยิ้มให้บิดาและถามออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบรักษามารยาท
...จะบอกว่าฉันเป็นไบโพล่าในตัวเองก็ไม่ผิด
“ตกลงว่าพ่อจะให้ดาวทำยังไงคะ”
“ฉันคิดว่าแกควรจะตอบมากกว่าถามนะ แกจะแต่งงานกับใครถึงได้มั่นใจประกาศออกมาท่ามกลางสื่อมวลชนขนาดนั้น”
“พ่อรู้” ฉันถามโง่ๆ ออกไป ลืมไปชั่วขณะว่าสถานที่เกิดเหตุคือโรงแรมของตัวเอง
“ฉันแค่อยากเห็นหน้าลูกเขยก่อนงานแต่ง ไม่อยากเห็นลูกเขยในวันงานเหมือนที่เพื่อนแกทำ”
เอาล่ะสิ...เหน็บแนมป่านฝันผ่านฉันมาซะอย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องยากที่ท่านจะรู้เรื่องนี้ เพราะงานจัดอยู่ในโรงแรมของตัวเอง
ประมุขของบ้านยื่นหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ตรงหน้าของท่านให้ฉัน เพียงแค่เห็นกรอบข่าวฉันก็แทบจะเป็นลม ไม่คิดว่าความคึกคะนองของตัวเองจะสร้างเรื่องอื้อฉาวให้พ่อและวงศ์ตระกูลได้อับอาย และฉันก็เพิ่งได้เห็นมันตอนที่บิดาส่งให้ดู
“แกประกาศต่อหน้าสื่อมวลชนในโรงแรมของตัวเอง ลูกน้องก็ได้ยินกันหมด ขืนแกไม่ทำตามที่พูดจะปกครองคนต่อได้ไง แกเป็นนักบริหาร อายุก็ปูนนี้แล้ว จะพูดอะไรควรจะคิดก่อน”
เป็นคำตำหนิที่ฉันยอมรับอย่างศิโรราบทุกข้อกล่าวหา สองมือพนมเข้าหากันและโน้มตัวลงไหว้คนตรงหน้าอย่างนอบน้อม “ดาวขอโทษค่ะคุณพ่อ ดาวจะไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก”
“มันก็แหงอยู่แล้วล่ะ แกคงไม่บ้าประกาศแต่งงานอีกรอบ”
ลำคอของฉันตีบตันดื้อๆ ใบหน้าเริ่มซีด กลัวว่าพ่อจะโกรธมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
“ดาวขอโทษอีกครั้งค่ะพ่อ” ฉันบอกเสียงเบา แต่คนฟังกลับบอกอย่างอารมณ์ดี
“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรแกสักหน่อย ดีใจเสียอีกที่แกจะได้แต่งงาน แค่จะบอกว่าพูดไปแล้วก็ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดออกไป” น้ำเสียงของพ่ออย่างเนิบนาบ แววตาไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ ให้ฉันเดาออกเช่นเคย
ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าพ่อต้องการดัดหลังฉัน ท่านอยากให้ฉันแต่งงานกับคนที่ท่านหาให้ แต่ไอ้วิธีการคลุมถุงชนมันล้าสมัยไปหลายสิบปีแล้ว ฉันเป็นผู้หญิงยุค 4G จะไม่มีวันให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับตัวเองเด็ดขาด
‘มันต้องมีทางออกสำหรับฉันสิ’
‘แต่มันทางไหนล่ะ’ ความรู้สึกของฉันขัดแย้งกันเอง และมันก็ตรงกับความคิดหลัง ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือก
ตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกกลัว กลัวน้ำเสียงแบบนี้ของพ่อ กลัวสายตาแบบนี้ของพ่อแทบไม่กล้าสบตา ทั้งที่มันก็แค่คำพูดไม่กี่ประโยคเท่านั้น
เรื่องของเมื่อคืนนั้นมีอยู่ว่า...
ในงานแต่งงานที่สุดแสนอลวนของเพื่อนสาวอย่างป่านฝันกับนักการบินหนุ่มหล่อชาติตระกูลดี แต่มีไฮไลต์ของงานที่ทุกคนคาดไม่ถึง เจ้าบ่าวถูกเปลี่ยนตัว ฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่มีวันเชื่อว่าวิวาห์ในค่ำคืนที่ผ่านมาจะเป็นเรื่องจริง แม้ว่าทุกอย่างจะดูแนบเนียนจนชวนเชื่อก็ตาม
ฉันจับจ้องเจ้าบ่าวเจ้าสาวทุกวินาที จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของรายการบนเวที เจ้าสาวบรรจงจูบช่อกุหลาบเบาๆ และแนบช่อบูเก้ไว้ที่อกหลับตาอธิษฐาน
‘ขอพรอันเกิดจากช่อบูเก้ช่อนี้ ส่งถึงมือใครก็ขอให้เป็นดั่งพรและเกิดพิธีแต่งงานแด่ผู้นั้นด้วยเถิด’
ไม่รู้ว่าเพื่อนสาวของฉันอธิษฐานว่ายังไง เห็นเพียงแต่เจ้าบ่าวกระซิบกระซาบ หลังจากนั้นเจ้าสาวหันออกไปมองหน้าเวที เพื่อนเจ้าสาวยืนสลอนรอรับช่อบูเก้อยู่เต็มหน้าเวที พร้อมกับส่งเสียงเรียกเจ้าสาวบอกตำแหน่งยืนของตัวเอง
“โยนเลยๆ”
“ทางนี้ป่าน”
“ฉันอยู่ตรงนี้”
ป่านฝันยิ้มน้อยๆ ฉันเห็นว่าเธอเล็งเป้าหมายไปที่พราวลดาซึ่งยืนอยู่คนละฟากกับฉัน ก่อนจะหมุนตัวหันหลังให้เวทีและเตรียมพร้อมที่จะโยน
พิธีกรส่งสัญญาณให้แขกที่อยู่ด้านล่างนับถอยหลังพร้อมกัน
“สาม... สอง... หนึ่ง!!”
ช่อบูเก้ถูกส่งออกจากมือของเจ้าสาวไปตามทิศทางที่เจ้าสาวคาดเอาไว้ แต่เพื่อนเจ้าสาวคนหนึ่งกระโดดจับทำให้บูเก้ช่อนั้นแฉลบไปอีกข้าง และร่วงลงมาตกอยู่ในมือของฉัน โดยที่ฉันก็ยังงง