4
หน้าฝนปี 2023
และถ้าถามว่าบล็อกเขาไปแล้วสามารถทำใจได้เลยไหม ตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า...ไม่เลย! ฉันยังนอนน้ำตาซึมทุกคืนตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมจนกระทั่งปลายเดือนมีนาคม หลังจากนั้นตอนได้สติกลับมาก็เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า...ฉันทำอะไรลงไป และบังเอิญว่าวันที่29 มีนาคม เป็นวันเกิดของเขา ตอนแรกก็คิดแล้วคิดอีกว่าปลดบล็อกแล้วหน้าด้านทักไปอวยพรวันเกิดเขาดีไหมนะ และในที่สุดฉันก็หน้าด้านทำแบบนั้นจริง ๆ นั่นแหละ ฉันปลดบล็อกแล้วแฮปปี้เบิร์ดเดย์เขาไป ในใจตอนนั้นคิดเตรียมคำตอบว่าเขาอาจจะมีคำถามอยากถามหลายอย่างเรื่องฉันเคยบอกชอบเขาแล้วก็กดบล็อก...แต่ในความเป็นจริงมีแค่คำว่า " ขอบคุณครับ" ตอบมาสั้น ๆ
ตอนนั้นฉันคิดว่าเขาน่าจะงงกับฉันและมองฉันเป็นเหมือนตัวตลกไปแล้ว คิดย้อนกลับไปทีไรฉันยังรู้สึกอายจนแทบจะเอาหน้าโขกกับโทรศัพท์ในความอิหยังวะของตัวเองตอนนั้นทุกครั้ง และหลังจากฉันปลดบล็อกและทักไปคุยกับเขาอีกครั้งทุกอย่างมันก็ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ความห่างเหินก่อนจะบอกชอบว่าห่างเหินแล้ว แต่หลังจากกลับมาทักเขาไปอีกรอบหลังจากปลดบล็อกยิ่งห่างเหินกว่า ไอ้ความเฮิร์ทที่นอนน้ำตาซึมอยู่แล้วก็ยิ่งเฮิร์ทหนักมากเข้าไปอีก เริ่มคิดย้อนกลับไปว่าถ้าไม่บอกชอบเขาวันนั้นบางทีฉันกับเขาก็อาจจะยังคุยกันได้อยู่ เขาอาจจะนาน ๆ ตอบทีแต่อย่างน้อย ๆ ก็ยังได้คุยและไม่ต้องอาย ไม่ต้องอึดอัดเหมือนหลังปลดบล็อกแล้วทักไปทำตัวตามปกติราวกับว่าในก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ฉันจำได้ว่าปี 2018 ฉันนอนน้ำตาซึมเพราะคิดถึงเขาทั้งปี และจำได้ดีที่สุดก็ในวันที่ฉันพยายามเปิดใจคุยกับผู้ชายคนหนึ่งทางออนไลน์ในช่วงกลางปี 2018 เพราะต้องการลืมเขา แต่คุยมาสองเดือนกว่า ๆ เมื่อฉันรู้ว่าใจฉันมันรู้สึกมากกว่านั้นกับเขาไม่ได้ คุยกันไปก็มีแต่จะทำให้รู้สึกอึดอัดและทำร้ายกันไปเปล่า ๆ สุดท้ายฉันจึงบอกเลิกพร้อมบอกเหตุผลเหมือนที่ฉันเคยบอกเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มจีบ...วันนั้นฉันบอกเลิกเขาเองและฉันก็ร้องไห้เอง
มันเป็นตอนที่ฉันปิดเทอมแล้วกลับไปอยู่ที่บ้าน ฉันไปหาหญ้ามาให้วัวกับแม่และในตอนที่ฉันกำลังนั่งเกี่ยวหญ้าอยู่ฉันก็เกี่ยวหญ้าไปและร้องไห้ไป ฉันสงสารและรู้สึกผิดต่อเขาที่ต้องมาเสียใจเพราะฉัน และฉันก็เสียใจที่ฉันยังเอาแต่คิดถึงและตัดใจจากพี่ครามไม่ได้เสียที ผู้ชายที่ฉันคุยตอนนั้นดีกับฉันและจริงจังกับฉันมาก แต่ยิ่งเขาจริงจังมากเท่าไรฉันก็ยิ่งกดดันตัวเองแล้วก็อึดอัดที่ฉันรู้สึกอะไรแบบนั้นกับเขาไม่ได้ ฉันกลัวว่าถ้าฝืนคุยต่อไปเขาก็จะยิ่งคาดหวัง ถ้าคาดหวังมาก เวลาที่ฉันทำให้ผิดหวังก็จะเจ็บมาก ส่วนฉันก็จะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก สำหรับฉันแล้วไม่รักก็คือไม่รัก เมื่อมั่นใจว่ารักไม่ได้ก็เลยคิดว่าควรเคลียร์ตัวเองให้อยู่คนเดียวโดยไม่ต้องให้ใครมาหวังกับเราไปเลยดีกว่า เขาอาจจะเจ็บปวดและเสียความรู้สึก แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ไม่ต้องมาเสียเวลามากไปกว่านี้
บอกตามตรงว่าฉันไม่ชอบความรู้สึกตอนที่คุยกับผู้ชายคนนึงแต่ใจกลับเอาแต่คิดถึงผู้ชายอีกคน มันเหมือนฉันไปหลอกเขาหรือไม่จริงใจกับเขา ตลอดระยะเวลาที่คุยกับเขาฉันรู้สึกผิดกับเขาทุกวัน...เพราะฉะนั้นหลังจากเลิกคุยกับเขาคนนั้นฉันจึงไม่ได้คุยกับใครอีกเลย มีคนทักมาจีบบ้างในโลกออนไลน์ ส่วนในชีวิตจริงก็พอมีอยู่ แต่ตราบใดที่ใจฉันยังเอาแต่คิดถึงพี่ครามฉันก็ยังไม่คิดที่จะเปิดโอกาสให้ใครเข้ามาเพราะรู้ดีว่าถึงยังไงมันก็จะจบเหมือนคนก่อนอีก
หลังจากนั้นผ่านมาอีกหลายเดือน หลายเดือนที่ฉันยังคิดถึงและตามส่องเฟสบุ๊กพี่ครามอยู่ตลอด ลืมบอกไปว่านับตั้งแต่วันที่ฉันรู้ว่าเขาเป็นทหาร เฟสบุ๊กของเขาก็มีความเคลื่อนไหวโพสต์ภาพอะไรต่าง ๆ ให้เห็นมากขึ้น ช่วงแรกส่องวันละหลายสิบครั้ง หลัง ๆ มาก็วันละครั้ง จนกระทั่งวันที่ 29 มีนาคม ปี 2019 วันเกิดของเขาอีกรอบ วันเกิดเขาปีนั้นฉันก็ทักไปอวยพรเขาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมันเป็นวันแรกที่ฉันเริ่มเขียนนิยายด้วย...แต่นิยายที่เริ่มเขียนตอนนั้นไม่ใช่เรื่องของเขาหรอกนะ
พอเริ่มเข้าสู่วงการนักเขียนที่เขียนนิยายไปด้วยเรียนไปด้วย คราวนี้เรื่องที่ฉันต้องคิดก็มีมากขึ้น ฉันไม่ได้คิดแค่เรื่องเรียนและเรื่องพี่ครามอีกแล้ว ฉันต้องคิดถึงเรื่องนิยาย ต้องคิดเรื่องหาเงินและคิดเรื่องค่าใช้จ่ายที่ต้องส่งกลับไปให้ทางบ้านเพราะเมื่อเริ่มมีรายได้มากขึ้นฉันก็อยากโอนไปให้ทางบ้านได้เก็บและมีโครงการให้ทำนั่นทำนี่ด้วย
ฉันเริ่มต้นเขียนนิยายได้สามเดือนก็เริ่มมีรายได้ มันเป็นรายได้ที่ค่อนข้างเกินคาดและในเดือนต่อ ๆ มาก็ทำได้ดีขึ้น นิยายที่เขียนติดอันดับ มีคนรออ่านเยอะขึ้น หลังจากนั้นฉันก็เริ่มจะเบนความสำคัญมาที่นิยายมากกว่าเดิมเพราะเห็นแล้วว่ามันสามารถสร้างรายได้ให้ฉันได้จริง คราวนี้ฉันต้องจัดสรรเวลามาเขียนวันละสองถึงสามตอนเพื่อจะได้ลงงานอย่างสม่ำเสมอ ต้องแบ่งเวลาทั้งเวลาเรียน ทั้งเวลาทำงานพาร์ทไทม์และเวลาที่จะเอามาใช้ในการเขียนนิยาย...ตั้งแต่เริ่มเป็นนักเขียนตอนเรียนปี 2 ในปี 2019 จนกระทั่งเรียนจบฉันเริ่มมีเวลาน้อยลง เพราะฉะนั้นจึงไม่ค่อยได้มีเวลาได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเหมือนที่เคยคิดมากสักเท่าไร ไม่ได้ร้องไห้อีกเลยนับตั้งแต่ปี 2019 ที่ผ่านมา...พอเดินผ่านจุดนั้นมาแล้วคิดย้อนกลับไปก็ได้แต่ขำให้กับความคลั่งไคล้เขาของตัวเองในตอนนั้น ทั้งขำทั้งอยากอาย โอ๊ยเนาะ! ฉันทำอะไรลงไป
ฉันเรียนจบปริญญาโดยใช้เวลาเรียนทั้งสิ้นสี่ปี ในช่วงกลางปีของปี 2021 หลังจากเรียนจบและอยู่ทำงานพาร์ทไทม์ที่กรุงเทพฯ ต่ออีกสามเดือนฉันก็ลาออกและกลับบ้านที่อีสานมาตั้งใจเขียนนิยายเป็นอาชีพหลักเพียงแค่อย่างเดียว
รายได้จากการเขียนนิยายของฉันทำให้สถานะครอบครัวฉันเปลี่ยนไปมาก จากครอบครัวยากจนมาก ๆ ทั้งบ้านมีมอเตอร์ไซค์คันแก่ ๆ หนึ่งคันและบ้านครึ่งปูนครึ่งไม้สองชั้นที่ชั้นล่างปล่อยโล่งเพราะไม่มีเงินทำหนึ่งหลัง เปลี่ยนมาเป็นบ้านไม้สองชั้นที่รีโนเวทให้ดูน่าอยู่และใหญ่มากขึ้น แถมยังมีรถยนต์ที่ปิดงวดหมดแล้วจอดไว้หนึ่งคัน...และเพราะทำให้ทางครอบครัวเห็นว่างานเขียนนิยายเป็นงานที่สร้างรายได้ได้จริง แถมยังเป็นอาชีพในฝันของฉันมาตั้งแต่เด็ก ครอบครัวฉันที่ตั้งใจจะให้ฉันเรียนจบและหาสอบข้าราชการที่ตรงกับสายที่ฉันเรียนมาทันทีจึงไม่มีใครห้ามเมื่อฉันบอกว่าฉันขอลองเป็นนักเขียนอย่างเดียวก่อนสักสามปี ถ้าในสามปีฉันรู้สึกเหนื่อยฉันท้อกับอาชีพนี้หรือหาเงินจากอาชีพนี้ไม่ได้อีกแล้วฉันจึงจะลองหาสอบทำงานอย่างอื่น
และนับตั้งแต่เรียนจบย้ายมาอยู่บ้านจนกระทั่งปัจจุบัน ตอนนี้เดือนสิงหาคม ปี 2023 ก็สองปีแล้ว
และในตอนนี้ฉันก็กำลังเดินทางไปน่าน...
ไปหาพี่คราม...
ไม่ใช่และ!
ไปหาแรงบันดาลใจมาเขียนนิยายในเรื่องต่อไปต่างหาก...ตอนนี้ฉันคิดว่าฉันไม่ได้อะไรกับเขาแล้วแหละ เรายังเป็นเพื่อนกันในเฟสบุ๊ก แต่หลังจากวันที่ฉันอวยพรเขาในวันเกิดปี 2019 เราก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ส่วนฉันก็บ้างานอย่างเดียว ไม่ค่อยได้ยุ่งหรือคุยกับใคร ส่วนเฟสบุ๊กเขาฉันก็ไม่ได้ส่อง เอ้อ มีส่องอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว วันนั้นฉันกลับมาจากเที่ยวที่ชลบุรีและแวะซื้อกาแฟที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในปักธงชัย ตอนอยู่ในคาเฟ่บังเอิญเห็นผู้ชายคนหนึ่งที่คล้าย ๆ เขา ฉันคิดว่าเป็นเขาแต่ตอนอยู่ในร้านก็ไม่กล้าทัก เพราะฉะนั้นตอนกลับมาขึ้นรถจึงได้ลองส่องเฟสและทักถามดู ข้อความที่ฉันทักไปมีอยู่ว่า...
"ตอนนี้พี่อยู่น่านหรือเปล่าคะ"
และ
พอเขาตอบกลับมาว่า...
"พี่อยู่น่านครับ"
บทสนทนาก็จบแค่นั้น ฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังข้อความอะไรที่ยาวกว่านั้นหรือตื่นเต้นที่จะได้คุยกับเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ความรู้สึกฉันตอนนี้ค่อนข้างเฉื่อยชา เฉื่อยชาเหมือนคนที่ไร้หัวใจไปแล้วไม่ว่ากับเขาหรือว่ากับใคร ในหัวของฉันมีแต่พล็อตนิยายอยู่เต็มไปหมด...