3
บอกชอบแล้วบล็อก
ฉันทักไปถามเขาว่า
"พี่เป็นทหารเหรอ..."
ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม เขามาตอบอีกทีก็วันที่ 3 กันยายน
ตอบสั้น ๆ แค่คำว่า
"ครับ..."
ฉันจำได้ว่าคำตอบสุภาพ สั้น ๆ คำเดียวที่เขาตอบกลับมาวันนั้นเป็นคำ ๆ เดียวที่เรียกน้ำตาของฉันได้เป็นกะละมัง... (กะละมังเล็ก ๆ)
ที่ครามที่คุยกับฉันมาสามเดือนก่อนจะเปลี่ยนไปไม่เคยตอบฉันด้วยข้อความสั้น ๆ และสุภาพสุด ๆ แบบนี้ เขาไม่เหมือนผู้ชายที่ฉันเคยคุยอีกแล้ว และหลังจากได้คำตอบ ฉันที่มีคำถามอยากถามกับเขามากมาย ถามเหมือนที่ฉันเคยคุยกับเขาเหมือนที่ผ่านมาก็คือถามต่อไม่ได้อีกเลย มันอึดอัดแบบอึดอัดสุด ๆ รู้สึกเหมือนจะพิมพ์ข้อความอะไรไปถามเขามันก็เกร็ง ๆ เพราะฉะนั้นบทสนทนาวันนั้นจึงได้จบลงด้วยสติกเกอร์ที่ฉันส่งไป...
จริง ๆ ตอนส่งสติกเกอร์ไปก็แอบคาดหวังด้วยแหละว่าเขาจะแซวอะไรกลับมาเหมือนที่เคยทำ ถ้าเป็นแต่ก่อนแค่ฉันส่งสติกเกอร์ไปเขาก็จะถามนั่นถามนี่กลับมาตลอด
เช่น สติกเกอร์นั่งเท้าคาง เขาก็จะถามว่า..."นั่งคิดถึงผู้บ่าวอยู่เหรอ"
สติกเกอร์ผู้หญิงสวย ๆ เขาก็จะแซวกลับมาว่า "เจ้าแม่นบ่นั่น สวยคือเจ้าเลย..."
ถ้าเป็นสติกเกอร์ชายหญิงนั่งด้วยกันสองคน เขาก็จะค่อนแคะมาอีกว่า "นั่งกับผู้บ่าวเหรอ ผู้บ่าวที่นั่งรถไปด้วยวันนั้นหรือเปล่า ดีจังนะมีผู้บ่าวให้นั่งด้วย"
มันเคยเป็นคำถามและคำแซวที่ทำให้ฉันได้รู้สึกดี ทำให้ฉันรู้สึกว่าบางทีเขาก็อาจจะชอบฉันด้วย แต่ในความเป็นจริงกลับดูเหมือนเขาจะแค่แซวเล่น ดูเหมือนเขาจะไม่ได้อะไรกับมันขนาดนั้น แต่กลับเป็นฉันที่ไปหวั่นไหวและคิดไปเอง
และคำถามต่อท้ายสติกเกอร์แบบนั้นก็คงจะไม่มีอีกแล้ว...รวมถึงบทสนทนาที่เคยมีก็คงจะไม่มีแล้วด้วย
หลังจากนั้น ตั้งแต่ต้นเดือนกันยายนถึงปลายเดือนกันยายนฉันก็ไม่กล้าทักเขาไปอีกเลยเพราะฉันรู้สึกเหมือนเขาไม่ใช่พี่ครามที่เคยรู้จัก แต่ที่ฉันไม่ทักไปฉันก็ยังคาดหวังว่าเขาจะทักมาบ้างเหมือนในเมื่อก่อน ฉันหวังมากจึงผิดหวังมากในแต่ละวัน ก่อนนอนฉันเปิดหน้าแชทกับเขาเอาไว้แล้วก็หลับไป หวังว่าตื่นมาจะมีข้อความอะไรจากเขาแชทมาแต่ก็ว่างเปล่าไร้ความเคลื่อนไหว...ในระหว่างนั้นก็คิดไปต่าง ๆ นานา คิดว่าเขาอาจจะมีเมียมีลูกแล้ว เมียกับลูกอาจจะอยู่ที่น่านพอเขากลับไปอยู่น่านจึงคุยไม่ได้ ที่เขาบอกว่ายังไม่มีที่จริงเขาอาจจะแค่เรื่องโกหกเพราะโกหกเรื่องอาชีพยังทำมาแล้ว คิดว่าเขามีหน้าที่การงานที่ดีคงแค่คุยเล่นแต่ไม่ได้จะจริงจังกับเด็กกะโปโลจน ๆ อย่างฉัน และที่ผ่านมาจริง ๆ อาจจะแค่หวังฟัน แต่ถ้าคิดในทางที่ดีก็คือเขาไม่ได้มีใครแต่ยุ่งกับงานในที่ทำงานใหม่ที่ยังไม่ค่อยลงตัว...ฉันคิดเรื่องเขาเยอะแบบเยอะมาก ๆ ความรู้สึกคือกลัวและหวาดระแวงไปหมดแต่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากร้องไห้เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเรื่องดี ๆ ที่เพิ่งผ่านมา
และเพราะทนคิดถึงเขาไม่ได้ แม้จะพยายามเลิกคิด พยายามตัดใจจากเขาแค่ไหน สุดท้ายช่วงกลางเดือนตุลาคมฉันจึงลองทักเขาไปอีกครั้ง ทักไปด้วยถ้อยคำกวน ๆ เรียกเขาว่าลุงเหมือนที่เคยเรียก และครั้งนี้ดูเหมือนเขาคนเดิมจะกลับมาแล้ว
ฉันทักและบอกว่าเขาหายไปนานเลย หลังจากนั้นเขาก็ตอบกลับมาว่า... "เรานั่นแหละที่อยู่ ๆ ก็หายไป"
แค่เขาตอบกลับมาอย่างนั้น ใจที่เคยเหี่ยวเฉาก็เหมือนจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง และหลังจากนั้นเราก็กลับมาคุยกันในฟีลเดิมอีกสามสี่วันก่อนที่เขาจะหายไปแบบนาน ๆ ตอบทีเหมือนเคย พอเขาเป็นแบบนี้ฉันก็เริ่มคิดมากอีกครา ประกอบกับความรู้สึกอึดอัดจากความชอบเขาที่เริ่มปะทุมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉันชอบและเฝ้ารอแชทจากเขาอย่างกับคนบ้า ไม่คิดว่าตอนอายุสิบเก้าจะคลั่งไคล้ผู้ชายได้ขนาดนั้น ทุกวันผ่านพ้นไปโดยการที่ฉันรอคุยกับเขา บางวันอาจจะได้คุยแค่ประโยคเดียวแต่ก็ยังรอ จนกระทั่งกลางเดือนพฤศจิกายนวันเกิดของฉัน ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ตอบแชทฉันมาหนึ่งวันและฉันก็คาดหวังว่าในวันเกิดของฉันเขาจะส่งข้อความมาอวยพรให้...แต่รอจนแล้วจนรอด รอตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่สิบสามจนกระทั่งผ่านไปถึงเที่ยงคืนวันที่สิบสี่ก็ไม่มีคำอวยพรจากเขาทั้งในแชทและในไทม์ไลน์ ตอนนั้นคือน้ำตาซึม เขาออนไลน์อยู่ตลอดแต่เขาไม่มาอวยพร จริง ๆ ฉันก็อยากจะสตรองไม่สนใจเขา แต่เพราะฉันชอบเขามากสุดท้ายจึงต้องเป็นฝ่ายทักไปขอคำอวยพรจากเขาเอาเอง...คิดย้อนกลับไปถึงตอนนั้นฉันก็อึ้งกับตัวเองไม่น้อย ความชอบที่เราชอบใครสักคนมาก ๆ มันทำให้เราลดศักดิ์ศรีตัวเองและทำให้ตัวเองเป็นไม่รู้จักอายได้ขนาดนั้นเลย และสุดท้ายแม้จะได้คำอวยพรมา มันก็เป็นคำอวยพรที่ค่อนข้างห่างเหินเหมือนคนไม่สนิทกันมาอวยพรให้...มันเป็นคำอวยพรที่ไม่เหมือนกับที่อยากได้ สุดท้ายเลยต้องมานอนร้องไห้เศร้าซึมกว่าเดิม
ชีวิตฉันตอนนั้นหนักหน่วงเพราะผู้ชายชื่อครามมากจริง ๆ หนักหน่วงเพราะคิดไปเองฝ่ายเดียวล้วน ๆ เขาไม่รู้อะไรด้วยเลย ฉันบ้าชอบเขาอยู่คนเดียว ฉันคิดว่าครั้งนั้นเป็นประสบการณ์ที่เป็นเอามากสำหรับฉันสุด ๆ แล้วแหละ แต่จะว่าสุด ๆ ไหม? มันยังไม่สุดหรอก มันยังมีอีก ฮ่าๆ
และหลังจากวันเกิดของฉัน ฉันกับพี่ครามก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย ฉันพยายามจะไม่ทักไปทั้งที่คิดถึงและอยากคุยกับเขาแทบจะเป็นบ้า อดทนมาได้จนกระทั่งถึงวันสิ้นปี ฉันรอแฮปปี้นิวเยียร์เขาเป็นคนแรก มันเป็นข้ออ้างในการที่ฉันจะใช้ทักเขาไปด้วย แต่จริง ๆ ก็ยังแอบหวังเหมือนเดิมว่าหลังจากได้คุยกันประโยคแรกทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก...แต่หลังจากที่ฉันทักไปกลับกลายเป็นว่า...เขาออนไลน์อยู่แต่เขาไม่ตอบ ฉันรอเขาตอบตั้งแต่เที่ยงคืนจนกระทั่งตีสอง สุดท้ายเมื่อเห็นเขาเลิกออนไลน์ฉันจึงต้องเก็บโทรศัพท์แล้วตัดใจนอนไปพร้อมทั้งน้ำตา และหลังจากวันสิ้นปีมาอีกสองวันฉันก็นอนน้ำตาซึมไปกับเสียงเพลงที่คนบ้านอื่นเปิดเพื่อความสนุกสนานในช่วงกินเลี้ยงปีใหม่ มันควรเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนควรมีความสุขกับพ.ศ.ใหม่แท้ ๆ แต่ฉันกลับต้องมานอนร้องไห้ในห้องคนเดียว ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า...ปี2017 ที่ฉันใช้ชีวิตมาตลอดทั้งปีได้เดินจากไปอย่างไม่หวนกลับ และพี่ครามที่ฉันรู้จักมากว่าครึ่งปีก็เดินจากฉันไปด้วยเหมือนกัน
ทุกอย่างมันควรจะจบตั้งแต่ตอนนั้น แต่เปล่าหรอก ในวันที่ 2 มกราคม 2018 พี่ครามตอบข้อความฉันมา มันเป็นข้อความสั้น ๆ แค่ว่า
"สวัสดีปีใหม่ครับ..."
และไม่มีข้อความต่อท้ายอะไรมาเลย...และด้วยความที่ฉันทนอึดอัด เก็บกักทุกอย่างในใจมานานหลายเดือน สุดท้ายในช่วงหัวค่ำของวันที่ 3 มกราคม 2018 ฉันเก็บความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหวจึงได้พรั่งพรูความรู้สึกออกไปให้เขาได้รู้ พรั่งพรูออกมาเป็นข้อความที่พิมพ์ไปน้ำตาไหลไป ในแชทมันมีเนื้อหายาวประมาณสามบรรทัด เท่าที่จำได้ฉันพิมพ์ความในใจไปบอกเขาว่า
"พี่คราม หนูชอบพี่ พี่รู้ใช่ไหมคะ ชอบมานานมากแล้ว ขอโทษที่บอกได้แค่นี้ ขอโทษนะคะ..."
ฉันบอกเขาแล้วฉันก็บล็อก...
ใช่ ฉันบล็อกเขาทั้งที่เขายังไม่ได้ตอบอะไรกลับมา แถมยังไม่ได้กดอ่านข้อความด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่ตลกร้ายมากใช่ไหมล่ะ ความรู้สึกของฉันตอนนั้นเหมือนฉันจะกลัวคำตอบ กลัวว่าจะยอมรับคำตอบจากเขาไม่ได้เพราะฉันมั่นใจเหลือเกินว่าเขาคงไม่ได้ตอบกลับมาว่า..."พี่เองก็ชอบเรา" แน่ ๆ
เพราะฉะนั้นวันที่ 3 มกราคม ปี 2018 ฉันจึงจำได้ขึ้นใจเลยว่า...ฉันเคยบอกชอบผู้ชายคนหนึ่งผ่านแชทแล้วกดบล็อกเขา