ตอนที่ 11 แสงในที่มืด
สายตาของม่านเวยอิง ที่จ้องมองหรงจือหยางเต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้น ความรู้สึกเจ็บเสียดปะทุขึ้นมา นางเอากุมบริเวณหน้าอกจุดที่ถูกแทงหัวใจคล้ายมันยังคงเจ็บอยู่
เมื่อฉีเจ๋อปลีกตัวออกไป เห็นหรงจือหยางยืนเพียงลำพัง เธอจึงหยิบก้อนหินจากกระถางต้นไม้ดีดออกไป
“โอ๊ย!!”
ทว่าเสียงร้องที่ดังขึ้นไม่ใช่แค่เสียงของหรงจือหย่าง ยังมีเสียงของม่านเวยอิงแฝงอยู่ด้วย
หญิงสาวเอามือกุมที่หัวแล้วจ้องมองไปยังหรงจือหยาง
ก้อนหินไม่พลาดเป้าหมาย มันกระแทกศีรษะของชายหนุ่มจนกระทั่งมีเลือดออกมา
แม้ที่หัวจะไม่มีบาดแผนทว่า เธอก็รับรู้สึกถึงความเจ็บนั่น แผ่นหลังของหญิงสาวเย็นวาบ ความรู้สึกเจ็บที่หัวสูญสิ้นไปเหลือเพียงความรู้สึกอัปยศท่วมท้นอยู่ภายในใจ ยิ่งคิดยิ่งดาลเดือด เธอกัดริมฝีปากจนเลือดซึม
สวรรค์ท่านต้องการอะไรอันแน่
ข้าก็ตายแล้ว เหตุใดอาถรรพ์นั่น ยังติดตามข้ามาอีก
หญิงสาวหันหลังเดินออกมา
สิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิด ทำให้เธอตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี
ไม่สิ ตอนนี้วิญญาณของเธอไม่ได้ไปเกิดใหม่ ทุกอย่างยังคงสภาพเดิมมีเพียงการสูญเสียพลังลมปราณเท่านั้น
หรือเพราะเหตุนี้ อาถรรพ์นั่นถึงได้ติดตามจิตวิญญาณของนางมา
หากฆ่าตัวตายอีกครั้ง
ไม่ใช่ว่าทุกภพชาติก็จะต้องเจอกับหรงจือหยางไปตลอดหรืออย่างไร
เฮ้อ!! ม่านเวยอิงปลงตกกับชาตะชีวิต
เธอจะต้องหาทางปลดโซ่บ่วงกรรมนี้ให้ได้
เมื่อไป๋หลันเดินทางมาถึงโรงพยาบาล ได้เจอกับสภาพที่ไม่สู้ดีของม่านเวยอิง หญิงสาวขมวดคิ้ว
“หยุดพักผ่อนนอนที่โรงพยาบาลสักคืนดีหรือไม่”
หญิงสาวส่ายหน้า
“ฉันแค่รู้สึกเหนื่อย ขอพักแค่สักวันก็พอค่ะ”
สีหน้าสิ้นหวังของม่านเวยอิง ไป๋หลันกลับเข้าใจว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้า
“เช่นนั้น พรุ่งนี้พี่จะโทรไปลาพักที่โรงเรียนให้”
ม่านเวยอิงไม่สนใจรับรู้เหตุการณ์เกี่ยวกับหรงจือหยางหลังจากที่ก้าวเดินออกมา เธอหวังว่าจะไม่ได้พบได้เจอะเจอกันอีก
ทว่าชีวิตของม่านเวยอิงไม่สามารถเรียบง่ายขนาดนั้น
ม่านเวยอิงสะดุ้งตื่นกลางดึก
“โอ้ย!!”
ความรู้สึกเจ็บแปลบกระแทรกเข้าตรงบริเวณต้นขาขวา จากนั้นยังมีความรู้สึกเจ็บปวดวิ่งไปทั่วร่างกาย
ม่านเวยอิงหรี่ตามองบางอย่างด้วยความโมโหโกรธแค้น
หรงจือหยาง ไอ้คนต่ำช้าทำไมได้งี่เง่าขนาดนี้
เมื่อความเจ็บทุเลาลง ม่านเวยอิงก็พาตัวเองลงไปนั่งบนโต๊ะอาหารยกน้ำดื่มด้วยความอ่อนเพลีย ในใจก็ครุ่นคิดหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปชีวิตไม่มีทางสงบสุขเป็นแน่
ตอนนี้อาการบาดเจ็บทุเลาลงมาก ดูเหมือนว่า หรงจือหยาได้รับการช่วยเหลือแล้ว
จิตใจของม่านเวยอิงจึงได้สงบลงบ้าง วันหยุดนี้เธอจะต้องไปรับโล่พลเมืองดีเด่น วันนั้นเธอจะต้องพยายามหาข้อมูลของหรงจือหยางมาให้มากที่สุด
แม้จะได้หยุด ทว่าก็เหมือนไม่ได้หยุด
ความเจ็บปวดทำให้ม่านเวยอิงเลือกที่จะนอนอยู่บนที่นอนนิ่ง ๆ ข่าวความโด่งดังของตัวเองก็ไม่รู้
เด็กสาวตื่นค่อนข้างสาย จึงแต่งกายชุดนักเรียนมัดผมลวก ๆ แม้จะดูไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง ทว่าด้วยดวงตาโตใบหน้าขาวเรียวเล็กจิ้มลิ้มทำให้เธอดูเป็นธรรมชาติน่ารัก
เมื่อก้าวเดินออกจากคอนโด หลายคนก็เริ่มสังเกตเห็นเธอ
บ้างก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป
บ้างก็เดินเข้ามาทักขอลายเซ็น
บ้างก็เดินเข้ามาชื่นชม ความเก่งกาจ
ใบหน้าเดิมที่ตึง ๆ ก็เริ่มโปรยยิ้ม ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
ม่านเวยอิงเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน ถ่อมตน
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ฮ่า ฮ่า”
กว่าเธอจะเดินไปถึงโรงเรียนก็สายเสียแล้ว
ยามที่อยู่หน้าประตูก็พูดขึ้น
“คุณหนูยอดเยี่ยมอีกแล้วนะครับ ผมเห็นคลิปที่คุณดำลงไปช่วยคน จิตใจของคุณหนูช่างน่านับถือมากนะครับ ตอนนี้น่าจะยังไม่ถึงคาบเรียนคุณหนูรีบเข้าไปเถอะนะครับ”
ม่านเวยอิงโค้งตัวขออภัย
“ขอโทษด้วยนะคะ”
“เรื่องเล็กน้อย เรื่องเล็กน้อย เทียบกับคุณหนูไม่ได้หรอกครับ”
พอม่านเวยอิงเดินเข้าไปในโรงเรียน ก็ได้ยินเสียงคุยกันของเหล่านักเรียนในชั้นแต่ละตึก พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นเหล่านักเรียน ชะโงกหน้าออกมาจากหน้าต่างแทบจะทุกบาน แล้วพูดคุยกัน
“คนนั้นหรือแก ตัวเล็ก ๆ แบบนั้นหรอที่ลงไปช่วยคนตกน้ำ”
“ใช่นะสิ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่กุขึ้นมาแน่นอน เพราะมีหลายคนเห็น”
“น้องสาวฉันก็เห็นมากับตา”
“น่ารักมากเลยอ่ะ ไม่น่าเชื่อจะกล้าขนาดนั้น”
“ดูเธอดูบอบบางนะ”
ฯลฯ เสียงชื่นชมดังแว่วไม่หยุด
บางคนตะโกนเรียก ม่านเวยอิงก็เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ ทว่ามีคำพูดหนึ่งที่ทำให้ เด็กสาวยิ้มที่มุมปากความเจ้าเล่ห์เป็นประกายอยู่ในดวงตา
“ชมรมว่ายน้ำต้องได้ตัวมา!!”
จริงสิการเป็นนักกีฬาจะทำให้เราโด่งดังกว่านี้
ความอัดอั้นภายในใจม่านเวยอิงสลายไปจนหมดสิ้นคล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตลอดเส้นทางเดินไปห้องเรียนต่างมีนักเรียนมายืนรอเพื่อได้พูดคุยทักทายกับเธอ
เสียงกริ่งแจ้งคาบเรียนดังขึ้น พอดีกับม่านเวยอิงมาถึงห้องเรียน เพื่อนในห้องต่างทักทายยิ้มแย้มคล้ายไม่เคยเมินเฉยกันมาก่อน
ม่านเวยอิงนั่งลงแล้วปรายสายตามองไปยังกลุ่มสามวายร้าย
ตั้งแต่ที่เดินเข้ามาก็เห็นว่าทั้งสามกำลังหลบสายตา ความอวดเก่งไม่มีเหลือ เมื่ออาจารย์เข้าห้องมาก็เหมือนบทเดิมๆ ชมเชยม่านเวยอิงแล้วนำสู่การยกย่องให้ทุกคนดูเป็นตัวอย่าง เด็กสาวกระหยิ่มยิ้มพอใจการเป็นคนดี คนเด่น อย่างน้อยในคาบเรียนเธอก็ถูกกดดันน้อยลง
เวลาพักเที่ยง
ม่านเวยอิงยกถาดอาหารวางลงบนโต๊ะของสามสาว พูดขึ้น
“นั่งด้วยคนสิ”
ลู่ปิ่งหันขวัญมอง พูดขึ้นทันที
“กล้าดีอย่างไร”
“แต่เมื่อวานมีคนบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทฉันนิ กินข้าวกับเพื่อนสนิทเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ”
เฉียวเจียวเลยพูดออกไปน้ำเสียงกระอักกระอ่วน
“เหตุการณ์บังคับต่างหาก ใครอยากเป็นเพื่อนกับไก่อ่อน”
ม่านเวยอิงยิ้มขำ
“ไก่อ่อนที่ว่า พวกเธอเปล่า”
อี้หนิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโมโห
“นี่แก กำลังท้าทายใช่ไหม เห็นว่าพวกฉันล่ะเลยไปหน่อยก็จองหองลืมไปหรือเปล่าที่ผ่านมาแกต้องเจอกับอะไรบ้าง”
ม่านเวยอิงทบทวนความทรงจำ ถูกขังไว้ในห้องน้ำ ถูกบังคับให้ทำความสะอาดแทน ถูกขโมยรองเท้า ถูกขู่เอาเงิน ฯ
อ่า...ช่างเป็นการกลั่นแกล้งของเด็ก ๆ จริง ๆ และที่กำลังส่งเสียงขู่นี่ก็แค่แสร้งทำเป็นเก่งเท่านั้น
“ต่อไปพวกเธอจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว”
ทั้งสามจ้องมองม่านเวยอิงตาขวาง แต่อยู่ต่อหน้าคนอื่นในขณะที่อีกฝ่ายกำลังได้รับความนิยมไม่อาจจะทำรุนแรงได้
ลู่ปิงพูดเสียงลอดออกมาตามไรฟัน
“แกคิดว่า จะหลบพวกฉันได้ตลอดหรืออย่างไร”
ม่านเวยอิงตักอาหารเข้าปากพร้อมหยักไหล่ขึ้นพูด
“ไม่เคยคิดจะหลบอยู่แล้ว ไก่อ่อนแบบพวกเธอฉันค้านจะสนใจ พาฉันไปหาหัวหน้าแก๊งเลยดีกว่า จัดการทีเดียว”
เฉียวเจียวยกนิ้วชี้สั่นระริก
“แกอยากตายหรือ”
ม่านเวยอิงยิ้มที่มุมปาก
“พวกเธอแค่พาฉันไปก็พอ ไม่ต้องแสดงความเป็นห่วงหรอก”
เฉียวเจียวโมโห
“ใครบอกแกว่าฉันเป็นห่วง”
ม่านเวยอิงพยักหน้าเข้าใจ
“เช่นนั้นคงพาไปสินะ เอาล่ะฉันอิ่มแล้ว ฉันพร้อมไปทุกวัน รีบหน่อยนะฉันใจร้อน”
เด็กสาวลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมสายตาตกตะลึงของคนทั้งสาม
“นังคนนี้ใช่ม่านเวยอิงหรือเปล่า”
“นั่นสิ ไม่ใช่แนวนิยายฝาแฝดมาช่วยแก้แค้นนะ”
“ไม่ใช่มั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้นจะรู้จักทุกคนได้อย่างไร”
แน่นอนว่าเธอไม่ใช่ม่านเวยอิงตัวจริง แต่เรื่องนั้นใครจะบอก
หลังจากที่โด่งดังจากการกระโดดสะพานช่วยคน ม่านเวยอิงก็ตระหนักว่าเธอสามารถเรียกแสงได้จากข่าว ไม่จำเป็นต้องเป็นนักแสดงก็สามารถมีชื่อเสียงได้ และการเป็นแสงในที่มืดจะโดดเด่นกว่าเสียอีก
ในขณะที่กำลังเก็บจาน ม่านเวยอิงก็ได้ยินเสียงข่าวในทีวี
“เมื่อคืน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าขอตรวจค้นเรือของผู้ต้องสงสัย ทว่าผู้ต้องสงสัยให้การปฏิเสธ จึงเกิดการปะทะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ....”
พอมานั่งคิดทบทวนที่หรงจือหยางไม่หลบก้อนหินเมื่อวานกับเหตุการณ์บาดเจ็บของอีกฝ่าย ม่านเวยอิงก็รู้สึกสะใจขึ้นมา
หรงจือหยาง ในชาตินี้
ช่างอ่อนหัดเหลือเกินคงเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาสินะ
หึ หึ สะใจเหลือเกิน