ม่านเวยอิงเดินเลาะมาอีกฝั่งของเมือง A ที่นี่เป็นย่านชุมชนคนเดินผู้คนเดินขวักไขว่รีบเร่ง ผสมกับเสียงรถ เสียงหว่อของรถพยาบาล ดังสลับกันไปมาดูวุ่นวาย
ทว่าอากาศยามเย็นลมที่พัดโบกทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลาย ยิ่งเมื่อเดินมาถึงบริเวณคอสะพานข้ามแม่น้ำ ทอดสายตามองไปเห็นแผ่นท้องฟ้าสีครามกับสายน้ำยาวสุดลูกลูกตายิ่งทำให้เธอรู้สึกโล่งโปร่ง
ปัง!!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ผู้คนตื่นตระหนกแล้ววิ่งกรูเข้าไป รวมทั้งม่านเวยอิงหันออกวิ่งไปดูทันทีที่ได้ยินเสียงดังกึกก้อง ทว่าฝีเท้าก็หยุดชะงักครุ่นคิด
เหตุใดข้าถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองเยี่ยงจอมยุทธ์หญิงพิทักษ์คุณธรรมเสียได้
ช่วยด้วย!! มีรถตกลงไปในน้ำ
เสียงร้องดังขึ้นอีกครั้งทำให้ม่านเวยอิงเร่งฝีเท้าวิ่งต่อไป
เด็กสาวทั้งสามก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน
“ทำไมวิ่งเร็วแบบนี้”
“นั่นสิหายไปไหนแล้ว”
เฉียวเจียวเบิกตากว้างชี้นิ้วสั่นระริก ไปยังเบื้องหน้า
“นั่น!! อย่าบอกว่าว่าจะกระโดดลงไปช่วยง่ะ”
ม่านเวยอิงกระโดดลงน้ำตรงสะพานท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกใจของผู้คน
“นังนั่นต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ” อี้หมิงเอ่ยพูดเสียงสั่น
เมื่อเด็กสาวทั้งสามไปถึงบริเวณที่ม่านเวยอิงกระโดด รถคันนั้นก็จมลงไปในน้ำเกือบครึ่งคันแล้ว
ไม่ทันสังเกต กระจกบางหนึ่งก็แตกละเอียดม่านเวยอิงเพื่อเข้าไปช่วยคนในรถออกมาได้เพียงหนึ่งคน เธอยังจำเป็นต้องเข้าไปช่วยคนในรถอีก
ม่านเวยอิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังสะพานก็มีคนโยนขวดน้ำลงมา
เธอว่ายไปไปหยิบขวดน้ำแล้วส่งให้คนที่ช่วยออกมาแล้วพูดขึ้น
“พยายามประครองตัวเองไปก่อน”
เด็กสาวคนนั้นอายุเพียงสิบกว่าขวบ น่าจะพอว่ายน้ำเป็นอยู่บ้าง แต่ด้วยความตกใจไร้สติ มีแต่ร้องไห้แขนขาอ่อนแรง เธอพูดด้วยน้ำเสียงสั่นสะอื้น
“ในรถยังมีคุณพ่อกับน้องของฉัน”
เสียงกรี๊ดร้องดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อม่านเวยอิงหันมองกลับไปรถก็จมหายไปเสียแล้ว เธอรีบดำน้ำลงไป แม้พลังลมปราณยังไม่ฟื้นฟูเต็มพลัง ทว่าประสาทสัมผัสทั้งหกยังเฉียบขาด เมื่อเข้าไปใกล้รถเธอก็มองเห็นการกระทำของบุรุษผู้นั้นอย่างชัดเจน เด็กน้อยแน่นิ่งอยู่ในอ้อมกอด
เธอไม่เสียเวลาหันไปดูสีหน้าของอีกฝ่าย เธอตั้งใจจะดึงคนทั้งคู่ขึ้นมาทว่าชายคนนั้นยังมีสติจึงเกิดการยื้อแย่งเด็กกลับ สัญญาณชีพของเด็กที่แผ่วเบาทำให้เฉียวเวยอิงรู้สึกโมโห กลัวจะไม่สามารถช่วยเด็กได้แล้วการกระโดดน้ำครั้งนี้อาจจะเสียเปล่าไม่ได้พลังลมปราณตอบแทน
หากจำไม่ผิดผู้ชายคนนี้ไม่คิดแม้กระทั่งจะหนีออกจากรถหรือจะเป็นการฆ่าตัวตาย ม่านเวยอิงจึงไม่เสียเวลาถีบชายคนนั้นออกแล้วรีบพาเด็กว่ายน้ำขึ้น
ม่านเวยอิงหายลงไปในน้ำเพียงนาทีกว่า กระนั้นก็ทำให้กลุ่มคนที่ที่เฝ้ามองผิวน้ำจิตใจหนักหน่วงกระวนกระวาย เสียงรถตำรวจ รถพยาบาลดังขึ้นเรื่อย ๆ และก็มองเห็นเรือของหน่วยกู้ชีพกำลังมาด้วยความเร็ว ใจของพวกเขาคล้ายมีเริ่มมีความหวัง
“นี่!! ไม่ใช่ว่ายัยคนนั้นจมน้ำไปแล้วนะ” ลู่ปิงเอ่ยกระซิบถามเพื่อน
“กล้ากระโดดลงไปขนาดนั้นถ้าจมน้ำตาย ...จะงี่เง่าไปหน่อยมั้ง”
อี้หมิงพยักหน้าเห็นด้วยกับเฉียวเจียว
“นั่น!! เด็กผู้หญิงคนนั้นโผล่ขึ้นมาแล้ว”
ทั้งสามหันมองตามเสียง เห็นม่านเวยอิงจับชูเด็กขึ้นจากน้ำไม่มีใครสังเกตเห็นเธอใช้ลมปราณกระตุ้นให้เด็กหายใจ
แค่ก แค่ก
เมื่อเห็นเด็กสำลักน้ำสีผิวเริ่มมีสีเลือด ทุกคนก็หายใจโล่งอกพร้อมเรือกู้ชีพก็เข้ามาถึงตัวม่านเวยอิง เจ้าหน้าที่รีบช่วยเหลือคนทั้งสามขึ้นเรือ
“พี่สาวแล้วพ่อของหนูล่ะ”
เด็กสาวคนนั้นเอ่ยถาม ม่านเวยอิงจึงตอบ
“ฉันช่วยได้แค่คนเดียว”
เด็กสาวผงะไป เธอร้องไห้ตะโกนเสียงดัง
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยพ่อฉันด้วย พ่อฉันยังติดอยู่ในรถ”
เมื่อได้ยินว่ายังมีคนติดอยู่ในรถ เจ้าหน้าที่ก็จัดค**ำน้ำลงไปช่วยทันที เฉียวเวยอิงไม่เปิดเผยสิ่งที่อยู่ใต้น้ำ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอใส่ใจเธอกำลังสำรวจพลังลมปราณที่เพิ่มขึ้นมันมากกว่าครั้งตอนโจรปล้นธนาคาร
หรือยิ่งลงแรง ลงพลัง ยิ่งได้ตอบแทนมากขึ้น
เธอถูกพาส่งท่าเรือที่อยู่ใกล้ที่สุด ตรงนั้นมีรถพยาบาลรอรับคนบาดเจ็บ เด็กทั้งสองถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลทันทีที่ขึ้นฝั่ง ม่านเวยอิงแม้อยากจะปฏิเสธก็ยังยอมขึ้นรถพยาบาลไป
ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่นำร่างของคนขับรถขึ้นมาจากนั้นก็เริ่มกู้ซากรถ คนที่ดูเหตุการณ์ต่างก็กระซิบคุยกัน
“นี่ฉันได้ยินเจ้าหน้าที่ ที่ตรวจกล้องวงจรปิดบอกว่า ผู้ชายคนนั้นตั้งใจขับรถลงน้ำ”
“ตายจริง ฆ่าตัวตายหรือ โถว่น่าสงสารเด็ก ๆ”
ขนาดที่คุยกันพวกเขาก็มองเห็นเด็กสาวทั้งสาม
“นี่ไม่ใช่ชุดนักเรียนเดียวกันกับเด็กที่กระโดดลงไปช่วยหรือ”
สายตาอีกคู่ก็มองไปยังมือของอี้หนิงที่ถือรองเท้าและกระเป๋าของม่านเวยอิง
“พวกหนูคงเป็นเพื่อนกันสินะจ๊ะ”
น้ำเสียงและแววตาของคุณป้าดูอ่อนโยนและเอ็นดู ทั้งสามก็ไม่กล้าปฏิเสธจึงรับคำจึงพูดขึ้น
“ค่ะ พวกเราเรียนอยู่ห้องเดียวกัน”
“ดีจริง ดีจริง พวกหนูได้ให้ข้อมูลเจ้าหน้าที่หรือยัง”
“ยังค่ะ”
“โอ้ย ต้องไปบอกตำรวจนะ นั่นสิ แล้วเพื่อนหนูชื่ออะไร”
หลังจากนั้นผู้คนที่อยู่ตรงสะพานก็ต่างรู้ชื่อและโรงเรียนของ ม่านเวยอิงจนหมดสิ้นจากการบอกเล่าของเพื่อนสนิททั้งสาม
หลายคนเริ่มนำเรื่องราวไปโพสเวยป๋อบอกเล่าเรื่องราวอย่างตื่นเต้นและน่าประทับใจ ไม่นานม่านเวยอิงก็ขึ้นติดอันดับการค้นหา ในขณะนั้นเจ้าตัวยังไม่รู้ตัวเพราะกระเป๋าเธอทิ้งไว้ตรงสะพาน
หลังจากตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อย คุณหมออนุญาตให้เธอกลับบ้านได้เมื่อได้กระเป๋าและรองเท้าคืนม่านเวยอิงก็เตรียมตัวกลับ
ตัดฉากไปยังรถสีดำหรูหรา
หลังจากวางสายโทรศัพท์
ฉีเจ๋อก็หันมาคุยกับหรงจือหยาง
“ไม่น่าเชื่อว่าเด็กคนนั้นจะกระโดดลงไปช่วยคนจากสะพานได้”
“อืม ใจกล้าไม่เบา”
ฉีเจ๋อปรายสายตามองดูสหายด้วยสายตาเคลือบแคลง
หรงจือหยางจึงพูดขึ้น
“นายต้องการจะพูดอะไร”
ฉีเจ๋อยกไหล่ขึ้นพูด
“ช่างเถอะ แต่ข้าจะแวะไปโรงพยาบาลเสียหน่อย”
“นายเป็นหมอเด็กหรือยังไง”
“ไปทำหน้าที่โว้ย ต้องไปกำชับการสอบสวน เด็กต้องการจิตแพทย์แกก็รู้ว่าคนอย่างฉันค่อนข้างอ่อนโยน”
หรงจือหยางส่ายหน้าโต้ตอบ
“ไม่รู้”
ฉีเจ๋อถลึงตามองอย่างแค้น ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้เขาจึงเหยียบคันเร่งระบายอารมณ์
รถคันสีดำวิ่งโฉบเข้าจอดนิ่งไปในโรงพยาบาล
เมื่อคนทั้งสองกำลังจะเดินเข้าไปก็สวนทางกับม่านเวยอิงที่กำลังจะเดินออกไป เสียงพูดคุยกันของทั้งสองกระตุ้นประสาทสัมผัสของหญิงสาว เธอชะงักแล้วหาจุดหลบซ่อน
ภาพบุคคลตรงหน้า
ทำให้ม่านเวยอิงเหมือนถูกสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงกลางหัว
รู้สึกมึนงงไร้สติ
ลมหายใจของเธอขาดช่วงหายใจลำบาก
สายตาจ้องมองหรงจือหยางตกตะลึงเนิ่นนาน
..
เสียงพูดคุยเริ่มห่างออกไป
ม่านเวยอิงรีบดึงสติเดินตามไป