อดีตสู่ปัจจุบัน
อดีต
นางมารม่านเวยอิง ว่ากันว่านางมีนิสัยแปลกประหลาด นางชอบให้ผู้คนการขานถึงนาง จะเล่าลือว่าชั่วก็ช่าง จะเล่าลือว่าดีก็ช่าง ขอให้เพียงให้พูดถึงให้มากโจษจันให้มากนางก็พอใจ
หรงจือหยาง แม่ทัพแคว้นเหลียงผู้ที่ได้ชื่อว่าไม่เคยปราชัยให้แก่ผู้ใด เก่งกาจสามารถทั้งบู้และบุ๋นอีกสร้างความเลื่อมใสให้เหล่าทหาร ขุนนางและ ราษฏร ทว่าการได้รับความศรัทธาเช่นนี้ทำให้บังลังก์มังกรเริ่มสั่นสะเทือน
นางมารว่านเวยอิงก็ได้รับจ้างเป็นนักฆ่าจากคนลึกลับผู้หนึ่ง
คนที่ถูกหมายชีวิตครั้งนี้ก็คือ หรงจือหยาง นั่นเอง
ใช่แล้ว...
สิ่งที่ดึงดูดให้นางลงมือในครั้งนี้
ย่อมเป็นเพราะผู้ลึกลับคนนั้นกล่าวยุแยง
หากแม่ทัพหรงจือหยางผู้เกรียงไกรตายในคมดาบของนาง นางจะได้รับการกล่าวขานอย่างแน่นอน
ราษฏรทั่วแคว้นเหลียงล้วนพากันสาปแช่งนาง
เหล่าทหารออกตามล่าด้วยความโกรธแค้น
แคว้นทั่วชายแดนต่างยกย่อสรรเสริญ
และที่สำคัญนางจะได้รับค่าจ้างร้อยล้านตำลึง
ได้รับเงินมานางก็ทำงานทันที หลังจากการปะทะกัน หรงจือหยางได้รับการปกป้องจากเหล่าองค์รักษ์เงาพวกเขาพลีชีพไปจำนวนมากเพื่อให้ชายหนุ่มหนีรอดไปได้
ในสถานที่ลับแห่งหนึ่ง
“ท่านลงมือเสียเถิด”
ราชครูถังก้มมองผ้าเปื้อนเลือดผืนหนึ่งที่กำสั่นเทาด้วยความโกรธแค้น เขาเอ่ยถามด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
“ไม่มีวิธีอื่นหรือ”
หรงจือหยางส่ายศรีษะเบา ๆ
“ฝีมือข้าด้วยกว่านางหนึ่งขั้นหลังจากที่นางให้เวลาข้ารักษากาย คาดว่าไม่นานนางก็จะปรากฏกาย”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” ราชครูถังเอ่ยพูดขึ้นพลางหยิบผ้าเปื้อนเลือดผืนนั้นออกไปนั่งไปแท่งพิธี
เขายกปากยิ้ม หากเดาไม่ผิดเขาย่อมกระจ่างใจว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลัง
นางมารม่านเวยอิงไม่มีเหตุไม่มีผล ไร้ไมตรี ไร้หัวจิตหัวใจ ไม่อาจจะเอ่ยวาจาต่อรองได้ เมื่อนางตัดสินใจแล้ว สิ่งเดียวที่นางให้ได้คือให้เขารักษากายและไปต่อสู้กับนางอีกครั้งเท่านั้น
หรงจือหยางชำเลืองมองดูราชครูถังทำพิธีด้วยจิตใจสงบนิ่ง
ผ้าผืนนั้นมีเลือดทั้งเขาและนาง
เมื่อทำพันธะสัญญาเป็นตาย
หากนางฆ่าเขาให้สิ้นใจ
นั่นก็หมายถึงชีวิตของนางเช่นกัน
หลายราตรีผ่านไป
ในค่ำคืนแห่งฤดูหนาว สายลมพัดเย็นยะเยือก หรงจือหยางยืนนิ่งเป็นสง่าท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย
“ดูท่า เจ้าจะหายดีแล้ว”
เสียงเพราะเสนาะหูดังแว่วขึ้น ชายหนุ่มไม่แปลกที่เจออีกฝ่าย เขาคลี่ยิ้มใบหน้าหล่อเหลายังคงไร้กังวลพูดด้วยน้ำเสียงสงบ
“ข้ารอท่านมาหลายราตรีแล้ว”
“ฮ่า ฮ่า นี่เจ้าคงไม่กลัวตายจนเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร”
พูดเสร็จม่านเวยอิงก็พุ่งกระบี่ไปตรงหน้าทันที ชายหนุ่มใช้กระบี่ปัดป้องได้อย่างท่วงที ฝ่ายหนึ่งรับ ฝ่ายหนึ่งรุก ได้การประชันฝีมือกับอีกฝ่ายทำให้ม่านเวยอิงรู้สึกเสียดายหากบุรุษมากฝีมือคนนี้ต้องจบชีวิตลง
“ฝีมือของเจ้าดียิ่ง หากไม่มีข้าเจ้าได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าอย่างแน่นอน”
เสียงหัวเราทุ้มนุ่มลอยออกมารับคำชมนั้น ม่านเวยอิงขมวดคิ้วนางเหตุใดวันนี้หรงจือหยางดูท่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“ข้าหาต้องการเป็นหนึ่งในใต้หล้า”
น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงความเย้ยหยันกระทบม่ายเวยอิงทำให้นางรู้สึกขุ่นเคือง จึงพุ่งกระบี่ออกไปคล้ายโทสะ
“เจ้าย่อมได้ตามปรารถนา”
ทุกครั้งที่นางฟาดกระบี่ออกไปย่อมหมายถึงต้องการชีวิต ทว่าทุกครั้งบุรุษตรงหน้าก็สามารถพัดและหลบหลีกได้ แต่ครั้งนี้ปลายกระบี่กลับแทงเข้าไปที่หน้าอกตรงเข้าไปถึงหัวใจ ความเจ็บปวดเสียดแทงเข้ามาคล้ายกับตัวนางเป็นผู้ถูกแทงเสียเอง
นางเงยหน้ามองหรงจือหยาง เขายังคงมีรอยยิ้มสุภาพอ่อนโยน ทว่ารอยยิ้มในครั้งนี้บาดตานางยิ่งนัก ความเจ็บที่เฉียดแทงเข้ามาทำให้นางเค้นคำพูดออกมาจากลำคออย่างยากลำบาก
“จือหยาง!!! เจ้าคนต่ำช้า
ข้าจะจองล้างจองผลาญเจ้าไปทุกภพชาติ”
วาจาเต็มไปด้วยโทสะและแรงแค้นกลับมิทำแม่ทัพหรงจือหยางขุ่นเคือง
ทว่ากลับทำให้รอยยิ้มที่มุมปากลึกกว่าเดิม
“ข้ายินดีที่ตายพร้อมท่านไปทุกภพชาติเช่นกัน”
“จือหยาง!! เจ้าคนสารเลว”
ม่านเวยอิงรวบพลังสุดท้ายพุ่งเข้าหาหรงจือหยาง
ทว่าไม่ทันได้ทำร้ายอีกฝ่ายก็หมดแรงซบลงบนอกของชายหนุ่ม
แม้จะความยากลำบากไร้ซึ่งเรี่ยวแรงหรงจือหยาง
ก็พยายามยกมือขึ้นมาจับบ่าม่านเวยอิงด้วย
เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ชาติหน้าท่านก็จะ-ฆ่า- ข้า- อีก- หรือ”
เว่ยอิงไม่ตอบ
นางทิ้งร่างบนกายของชายหนุ่มอย่างคนไร้กระดูก
คล้ายโอบกอดอีกฝ่ายด้วยความรัก
ก่อนที่ทั้งสองจะหมดลมหายใจเสียงเวยอิงก็ดังขึ้นคล้ายมนต์สะกด
“ไม่แล้ว ... แบบนี้ ...ไม่ใช่แบบนี้”
ปัจจุบัน
หลังจากที่ฟื้นมา ม่านเวยอิงก็ใช้เวลาส่วนมากไปกับการทำความเข้าใจโลกใบใหม่ เจ้าของร่างนี้เกิดอุบัติเหตุอาการสาหัสจนเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณของนางจึงได้เข้ามาแทนที่ กำลังทบทวนบางอย่าง ทว่าเสียงฝีเท้าหยุดที่หน้าประตู ทำให้นางหยุดคิดแล้วประตูก็เปิดออกมาพร้อมเสียงเอ่ยทัก
“วันนี้ก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วนะ”
ม่านเวยอิงหันไปมอง นางส่งสายตาพินิจอีกฝ่าย ภายในความทรงจำ สตรีผู้นี้เป็นผู้จัดการของนางและยังเป็นผู้ปกครองของเธอด้วย โดยรวมไม่ดีไม่เลว เฮ้อ!! หากเป็นเมื่อก่อนคนไร้ความสามารถเช่นนี้ให้เป็นคนบ่าวรับใช้ในสำนักยังถือว่ามีวาสนาแล้ว
แววตาไม่ยินดียินร้ายเนื่อยเฉือยขัดความดวงตาใสกระจางจ้องมองมามันดูแปลกประหลาดยิ่งนัก ทำให้ไป๋หลันหยุดชะงัก นางก็วิเคราะห์อีกฝ่าย อยู่เช่นเดียวกัน เด็กคนนี้ก็คล้ายจะเปลี่ยนไป หลังจากฟื้นขึ้นมาก็เหม่อลอยอยู่ตลอดเวลา
ไป๋หลันยกผลไม้ไปวางบนโต๊ะ ลอบถอนใจ เจ็บหนักขนาดนี้ไม่มีญาติพี่น้องสักคนที่จะโทรหาปรึกษา หากจะสะเทือนใจก็ไม่แปลก เมื่อคิดเช่นนั้นน้ำเสียงที่พูดขึ้นก็อ่อนโยนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เรื่องงานไม่ต้องห่วง หากยังรู้สึกไม่สบายจะยกเลิกก็ได้”
เพราะไม่รู้ความคิดของไป๋หลัน ความใจกว้างของอีกฝ่ายก็ทำให้ม่านเวยอิงแปลกใจ ผู้จัดการคนนี้ไม่ใช่ผู้กระหายเงินหรืออย่างไร
“ในเมื่อหายดีแล้ว ขะ...เอ่อ..ฉันก็ควรไปกลับไปทำงาน”
หากไม่ต้องพยายามทำตัวให้เป็นคนป่วย ม่านเวยอิงก็แทบอยากจะกระโดดออกไปทำงานตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา แม้สีหน้านางจะดูซึมเกียจคร้าน ทว่าท่าทางเช่นนี้เป็นสีหน้าที่กระตืนรือร้นที่สุดแล้วสำหรับนาง อาชีพของเด็กคนนี้ตรงกับนิสัยของเธอเหลือเกิน โลกใบใหม่ดวงนี้ช่างดีเหลือเกินมีอาชีพดาราด้วย นางต้องการแสงต้องการความสนใจ
แววตาและสีหน้าประหลาดกระหยิ่มยิ้มไม่ยิ้มของม่านเวยอิง ทำให้ไป๋หลันแทบไม่มั่นใจเท่าไรนัก
“ม่าน ม่าน ...ไม่จำเป็นต้องฝืน รายได้ที่ผ่านมาแม้ไม่ร่ำรวยก็พอให้ผ่านไปได้บ้าง”
“ไม่...ฉันจะไปทำงาน” แม้น้ำเสียงพูดของม่านเวยอิงจะแผ่วเบาทว่ากลับกดดันไป๋หลันอย่างไม่รู้ตัว
“ได้ๆ เช่นนั้นก็ตามนี้”
ไม่ทันได้เอ่ยต่อ เพราะคุณหมอเข้ามาจัดการตรวจร่างกายอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยให้ม่านเวยอิงออกจากโรงพยาบาล
ด้วยสภาพจราจรที่ติดขัด รถมาสตาคันเล็กของไป๋หลันเคลื่อนไปยังถนนอย่างเชื่องช้า ทำให้ม่านเวยอิงได้มีเวลาเรียนรู้จักเมือง A มากขึ้น ทอดสายตามองไป ล้วนเต็มไปด้วยตึกสูงชัน ผู้คนหลากหลายรูปแบบ แม้ในความทรงจำจะมีสิ่งเหล่านี้อยู่ ทว่าได้มาเห็นกับตาก็ทำให้ม่านเวยอิงตื่นเต้นกับสิ่งตรงหน้า
นางจ้องมองไปยังจอทีวีขนาดใหญ่ตรงสี่แยก ในนั้นมีภาพโฆษณานางแบบสาวจางซู กำลังถือน้ำหอมแบรนด์ PG หรูหรายิ่งนัก และไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นภาพของนางแบบคนนี้เต็มไปหมด ม่ายเวยอิงรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
สักวันจะต้องเป็นฉัน
ภาพของฉันจะต้องติดไว้ทั่วมุมเมืองและอีกหลายเมือง
ไป๋หลันเห็นม่านเวยอิงยิ้ม จึงพูดขึ้น
“คิวงานพรุ่งนี้ พี่ส่งเข้าไปในไลน์เรียบร้อยแล้วนะ...แล้วจะมารับตอน 08.00 น.”
ม่านเวยอิงตอบรับอย่างรวดเร็ว จะได้ทำงานแล้ว นางจะต้องได้อยู่ท่ามกลางแสงและโดดเด่นที่สุด ก่อนหน้าอยู่โรงพยาบาลนางไม่กล้าทำอะไรบู่มบ่าม เมื่อถึงที่พักจึงรีบปิดประตู สำรวจกำลังภายในของตนเอง
สีหน้าหม่นลง
“มีพลังเพียงเบาบางเท่านั้น แทบจะไม่รู้สึก”
ม่ายเวยอิงนั่งคอตก หากไม่มีพลังแล้วนางก็คงไม่ต่างจากคนธรรมดา ทว่านางก็คิดขึ้นได้
“มีพลัง...แต่นั้นก็หมายความว่า ข้าอาจจะสามารถฟื้นฟูพลังได้”
ม่านเวยอิงมีกำลังใจขึ้นมามาก
นางตื่นเต้นอยากจะเรียนรู้ แม้ห้องพักจะเล็ก แต่ก็เป็นสิ่งแปลกใหม่ทำให้นางไม่รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างไร หลังจัดการห้องเก็บของเรียบร้อย ก็ออกจากห้องไปสำรวจสถานที่รอบข้างห้องคอนโด
หญิงสาวเดินเล่นไปเรื่อย ๆ ผู้คนเดินขวักไขว่เป็นจำนวนมาก ม่านเวยอิงมีรูปร่างหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู กอปกับบุคลิกสดใสร่าเริงทำให้นางเหมือนแสงสว่างเจิดจ้า โดดเด่นหลายคนหยุดและมองพูดคุยกระซิบ
“คนเมื่อกี้เป็นดารารึเปล่านะ”
“เป็นนางแบบ ตัวประกอบไม่ดังเท่าไร”
“จริงรึ ฉันว่าเธอสวยมากเลย”
เสียงเหล่านั้นทำให้ม่านเวยอิงยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม การที่มีคนสนใจแบบนี้เธอชอบเหลือเกิน
มีบางคนที่จำได้ว่าเธอเป็นดาราก็ขอเข้ามาถ่ายรูปด้วย
“คุณแม่...พี่คนนั้นสวยจังเลยค่ะ”
คุณแม่หันมองตามเสียงของลูกสาว เห็นหญิงสาวน่ารักคนหนึ่งมีคนล้อมรอบขอถ่ายรูป คาดเดาได้ว่าคงจะเป็นดาราจึงเอ่ยถามลูกสาว
“หนูอยากจะถ่ายรูปกับพี่เขาไหมคะ”
เด็กสาวพยักหน้าคุณแม่จึงจูงมือเดินเข้าไปขอถ่ายรูปด้วย
เมื่อก่อนมีเพียงชาวยุทธ์ที่ชื่นชมนางในฐานะผู้มีกำลังภายในสูง แต่สำหรับเด็กๆ แล้วนางเป็นนางมารที่น่ากลัว กลางคืนฝันร้ายผวาเพราะนาง
ม่านเวยอิง จึงมองเด็กน้อยด้วยตาเป็นประกายดาว
ดีจังเลย แม้กระทั่งเด็กก็ชอบข้า
เห็นท่าทางยินดีของม่ายเวยอิง คุณแม่ก็รู้สึกชอบดาราไม่ดังตรงหน้าทันที
ในจังหวะอยู่ๆ ก็มีรถเสียหลักหักเลี้ยวมายังจุดที่ม่านเวยอิงกำลังยืนถ่ายรูป ด้วยความรู้สึกดีกับเด็กสาวตัวน้อย ทำให้เธอยกเด็กขึ้นพร้อมโยนออกจากทางรถอย่างรวดเร็วก่อนที่ตัวเองจะกระโดดออกตาม เสียงหวีดร้องดังสนั่น คนขับรถเปิดประตูกำลังจะวิ่งหนี ม่านเวยอิงจึงรีบเข้าไปขวาง ทว่าด้วยกำลังของเธอทำให้ไม่สามารถหยุดชายวัยฉกรรจ์ได้
เธอจึงหยุดแล้วเริ่มมองไปรอบ ๆ มีคนบาดเจ็บไม่น้อย และเห็นเด็กสาวตัวน้อยเมื่อสักครู่กำลังจ้องมองมา
“ขอบคุณพี่สาวค่ะ”
ในขณะนั้น ม่ายเวยอิงก็รู้สึกถึงพลังบางอย่างที่เพิ่มขึ้น แม้จะเบาบางน้อยมากแต่เธอก็รู้สึกได้
ทำไมอยู่พลังลมปราณเพิ่มขึ้น ทั้งที่ไม่ได้ฝึก
คุณแม่กล่าวขอบคุณอีกประโยค เมื่อบุตรสาวไม่ได้รับบาดเจ็บ เธอจึงขอตัว เหตุการณ์เมื่อสักครู่ทำให้เธอเองก็ตกใจไม่น้อยจึงไม่อยากจะอยู่ที่ตรงนั้นต่อ
สักพักรถพยาบาลก็มาถึง ตำรวจเข้ามาสอบถามคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ม่ายเวยอิงที่กำลังยืนอยู่เพื่อทำความเข้าใจสาเหตุที่พลังเพิ่มขึ้น เห็นเช่นนั้นก็คิดว่าเธออาจกำลังตกใจ
“คุณบาดเจ็บรึเปล่า” เสียงตำรวจนายหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“เอ่อ...เปล่าค่ะ..ฉันแค่ตกใจ” เธอรีบตอบ
“ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า คุณเองก็เกือบจะได้บาดเจ็บแล้วยังรีบไปขัดขวางไม่ให้คนร้ายหนีไป” นายตำรวจพูดบางสำรวจคนตรงหน้าด้วยความชื่นชม ตัวเล็กนิดเดียวแต่มีใจกล้าหาญยิ่งนัก
ในขณะที่นายตำรวจส่งสายตาผสมความศรัทธามา ม่ายเมยอิงก็รับรู้ถึงพลังลมปราณที่ไหลเวียนเพิ่มขึ้น นางรู้สึกตกใจกับสิ่งที่คาดเดา จึงกล่าวกับตำรวจและให้ข้อมูลที่จำเป็น ก่อนที่จะขอตัวกลับ
หลังจากปิดประตูห้อง ม่ายเวยอิงก็พึมพำในใจ
ไม่จริง กระมั้ง
ทำความดี คนศรัทธาพลังลมปราณจะเพิ่มขึ้นงั้นรึ
ให้ฆ่าคน ทำความชั่ว ม่ายเวยอิงไม่เกรงกลัว
ทว่า ให้ทำความดี ให้เป็นคนดี เธอหวั่นใจยิ่งนัก