เพื่อนวายร้ายวัยเรียน

1835 คำ
ม่านเวยอิงออกไปจากโรงพักด้วยจิตใจที่เบิกบาน ภาพนักข่าวกรูล้อมเข้ามาสอบสัมภาษณ์ทำให้เธอยิ่งคิดยิ่งทำให้รู้สึกคึกคัก เธอจะต้องโด่งดังกว่านี้ แววตาเจิดจ้าของม่านเวยอิงไม่ปกปิดความรู้สึกสักนิด ดารานักแสดงกระหายแสงสีเป็นเรื่องปกติ ทว่าไป๋หลันไม่เคยเห็นม่านเวยอิงเป็นเช่นนี้มาก่อน แต่นั้นก็ไม่แน่ เมื่อก่อนอาจจะเป็นแค่ไม่มีโอกาสเท่านั้น เธอจึงพูดขึ้น “ต่อจากนี้มีหลายอย่างต้องเรียนรู้ เรื่องราวหลายอย่างจะไม่ง่ายแล้วนะ” แม้ม่านเวยอิงจะไม่ใช่สตรีปราดเปรื่องมองทุกอย่างทะลุปรุโปรงรอบด้านแต่เธอก็ไม่ใช่คนโง่ บ้าสิ...ก่อนที่นางจะเป็นนางมารนางเกือบจะสิ้นชีพไปหลายครั้ง ตอนนี้อยากจะขึ้นมาเป็นราชินีจอเงินนางก็ต้องมีสิ่งที่ต้องแลก จะง่ายได้อย่างไรกัน แต่การเป็นเด็กน่ารักใสๆ แบบนี้นับว่าเป็นเรื่องดีเวลาทำสิ่งเล็กน้อยก็ได้รับการยกย่อง ม่านเวยอิงจึงยิ้มอย่างไร้เดียงสาตอบรับอย่างน่าเอ็นดู “ค่ะ...ฉันจะพยายามค่ะ” ไป๋หลันรู้สึกเอ็นดูม่านเวยอิงที่สุด จึงพูดขึ้น “พี่เชื่อว่าเธอทำได้” ม่านเวยอิงรีบวิ่งเข้าห้องเรียนไม่อยากจะเอ่ยคำพูดอ่อนน้อมอันใดอีก หลังจากเรียนเสร็จเธอก็ตั้งใจที่จะไปเสาะหาพลังลมปราณต่อ ทว่าสิ่งที่ไป๋หลันพูดทำให้เธอเหมือนโดนไม้ฟาดกลางหัว เอ่ยถามน้ำเสียงต่อต้าน “ทำไมฉันต้องไปเรียน” “แล้วทำไมถามคำถามแบบนี้ แปลกคน เทอมสุดท้ายแล้วพรุ่งนี้จะเปิดเทอม พี่จะพาเราไปจัดซื้ออุปกรณ์ ชุดนักเรียนยังใส่ได้อยู่ใช่ไหม” ไป๋หลันเอ่ยถามไปแบบไม่ใส่ใจ มีใครที่ซื้อชุดนักเรียนใหม่ในเทอมสุดท้ายกัน เด็กสาวเอ่ยถามน้ำเสียงกลุ้มใจ “พี่ แล้วฉันต้องเรียนต่อหรือเปล่า” “เมื่อเทอมที่แล้วไม่ใช่ว่าอยากจะเรียนต่อการแสดงหรืออย่างไร ทำไมถึงเปลี่ยนใจแล้วล่ะ” ม่ายเวยอิงทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง จำได้แล้ว เธอเคยอยากจะเรียนการแสดงจริง ๆ แต่หลายอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เธอจึงพูดขึ้น “ฉันขอคิดอีกทีค่ะ” “ฮืม ตามใจล่ะกัน เรียนต่อไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อยากเรียนก็ใช่ว่าจะเรียนได้มันไม่ง่ายนะ เธอเข้าใจใช่ไหม” “ค่ะ พี่ไม่ต้องพาฉันไปหรอก ไม่มีอะไรต้องซื้อ ฉันอยากนอนพักเอาแรงไปโรงเรียนพรุ่งนี้” “ตอนนี้ยังไม่มีงาน แต่วันหยุดหลังจากนี้แทบจะไม่มีแล้ว พักผ่อนเก็บแรงมากเสียหน่อยก็ดี” ไป๋หลันขับรถไปส่งม่านเวยอิงที่คอนโดเช่นเคย ตอนนี้มีเวลาว่างหญิงสาวก็เข้าบริษัทจัดเตรียมข้อมูลเข้าพบผู้จัดการเรื่องการปรับแผนดูแลม่านเวยอิงในฐานะนักแสดงเกรด B เด็กสาวกลับเข้าห้อง พลางเปิดตู้เสื้อผ้ามองดูชุดนักเรียนแล้วทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับการไปเรียนโรงเรียน เธอนั่งหน้ามุ่ยท้อแท้ใจ ค่อนข้างน่าเบื่อใช้ได้ โรงเรียนเจ๋อจง เช้าตรู่ม่านเวยอิงนอนไม่หลับ เธอค่อนข้างจะตื่นเต้นและกังวลกับการเป็นนักเรียนอยู่บ้าง แม้จะมีความทรงจำอยู่ทว่าก็ไม่เหมือนได้มาเห็นกับตาตนเอง ไป๋หลันเช่าคอนโดให้เธอไม่ไกลจากโรงเรียนมากนักสามารถเดินด้วยเท้าก็ไปถึง เธอมาถึงโรงเรียนก่อน 07.00 น. นับได้ว่าเป็นเวลาที่เช้าพอสมควร “สวัสดียามเช้าครับ” ยามที่หน้าประตูโรงเรียนกล่าวทักทายม่านเวยอิงด้วยน้ำเสียงสดใส “อ่ะเอ่อ... สวัสดีค่ะ” เด็กสาวตอบรับด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเคอะเขิน รวมชีวิตทั้งสองชาตินี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่มีคนทักทายเธอยามเช้า ท่าทางของเธอที่แสดงออกทำให้ยิ่งดูน่ารักบอบบาง “ผมได้อ่านข่าวคุณหนูแล้วนะครับ คุณหนูกล้าหาญและเก่งมากๆ” “อ่ะค่ะ ... ขอบคุณค่ะ” ม่านเวยอิงเริ่มกระหยิ่มในใจ ถ่ายภาพให้สัมภาษณ์ไม่กี่นาทีก็มีคนรู้คนเห็น นี่สินะที่เรียกว่า คนมีชื่อเสียง เด็กสาวเชิญคอขึ้นเล็กน้อย ฝีเท้าที่เดินเข้าไปในโรงเรียนหนักแน่นและมั่นคงกว่าเดิมและตั้งใจเดินดูรอบ ๆ โรงเรียนสักรอบใน ขณะนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนมีรังสีบางอย่างมายังเบื้องหลัง ฟิว...ขวดพลาสติกใบหนึ่งปลิวลงด้านข้าง “โอ้โหเก่งจริงเสียด้วย หลบได้ทั้งที่อยู่หันหลังอยู่” “อ่า...นี่คงไม่ใช่จอมยุทธ์หญิงที่มาจากยุทธภพสินะ” เสียงพูดคุยหัวเราะกระแหนะกระแหนดังอยู่เบื้องหลัง มุมปากของม่านเวยอิงยกขึ้นบาง ๆ นึกว่าชีวิตในโรงเรียนจะหน้าเบื่อเสียแล้ว เธอหันไปมองเด็กสาวเหล่านั้นด้วยดวงตาใสซื่อ “ดูหน้าแล้ว ก็ยังไปยัยจอมซื้อบื้อคนเดิมนี่น่า” ลู่ปิงเดินเข้าไปใกล้ม่านเวยอิง พลางใช้นิ้วสะบัดผมเบา ๆ “อะไรกัน เธอเชื่อข่าวพลเมืองดีสร้างภาพนั้นด้วยหรอกเฉียวเจียว” “นั่นสินะ การปั้นดาราสมัยนี้อาจจะมีความคิดแปลกใหม่ๆ อย่างที่เราคาดไม่ถึงทีเดียว แต่นับว่าใจกล้าไม่เบานะ ฮ่า ฮ่า” อี้หนิงพูดพลางผลักม่านเวยอิง หวังจะข่มขู่ทว่าร่างเรียวบางเล็กนั้นกลับไม่ขยับใบหน้าจึงตึงขึ้น พูดน้ำเสียงข่ม “นี่เธอคิดว่าตัวเองเก่ง? จริงจังเกินไปแล้วหรือเปล่า” “ปิดเทอมไปหลายวันอะไร ๆ ก็อาจจะลืมไปบ้าง ก็ต้องมาทบทวนกันหน่อย” ลู่ปิงเดินไปยับยั้งเพื่อนไว้ ตอนนี้ยังไม่ปลอดคนทำอะไรไม่ได้มาก “ให้เวลาเธอบ้าง ให้เวลาเพื่อนทำใจบ้าง” “ก็ได้ พวกเราไป” เมื่อสามสาวจอมวายร้ายของโรงเรียนเดินออกไป ม่านเวยอิงหรี่ตามองตาม โลกใบนี้ช่างน่าอนาจนักเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมฝีมือไม่ต่างจากเธอตอนห้าขวบถูกเรียกว่าเป็นวายร้าย เศร้าใจจริง ๆ สีหน้าสลดของอีกฝ่ายทำให้จิงเฟยฟางที่กำลังเดินเข้ามารู้สึกเห็นใจ “ม่ายเวยอิงเธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม” เด็กสาวหันหน้ามามอง ค้นพบในความทรงจำนี่คงเป็นเพื่อนหนึ่งเดียวของยัยม่านเวยอิงคนเก่า มีนิสัยอ่อนแอและขี้แย อันนี้ก็ยิ่งอนาจ เพื่อนนางมารอย่างฉัน เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ไม่เป็นไร” จิงเฟยฟางไม่ใส่ใจท่าทางไร้อารมณ์ของม่ายเวยอิง เดินนำหน้าแล้วพูดขึ้น “พวกเราไปห้องเรียนกันเถอะ วันนี้เธอจะต้องระวังตัวหน่อยนะ ถ้าจะไปห้องน้ำก็ควรไปพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ หลายคนหน่อย น่าจะช่วยได้” เห็นม่านเวยอิงครุ่นคิด จิงเฟยฟางก็พูดต่อ “ถ้ายังไง ก็บอกฉันได้ฉันจะไปเป็นเพื่อนเธอเอง” ตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอด อาสาเป็นผู้พิทักษ์ เหอะ ปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์ม่านเวยอิงจึงรับคำมา “อืม” เดินมาสักพักก็ถึงห้องเรียน เด็กสาวเดินไปนั่งที่ในความทรงจำ นักเรียนต่างทยอยเดินเข้ามาในชั้นเรียนรวมทั้งกลุ่มสามวายร้าย ทว่าม่านเวยอิงยังคงมองเหม่ออกไปข้างนอกเสียงซุบซิบดังขึ้น “ไม่ใช่ว่าดังแล้วหยิ่งนะ” “ไม่ใช่หรอก ยังไม่ดังเสียหน่อย” “คนมันก็เป็นแบบนี้ล่ะ” “ใช่...เมื่อก่อน ไม่ใช่กลัวเพื่อนไม่คบหรือไง” “ช่างเถอะ ฉันก็ไม่อยากคบหรอกนะ” เสียงกริ่งสัญญาณดังขึ้น พร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูงของอาจารย์ดังแว่วมา ทุกคนก็ต่างพากันเงียบ วันแรกของการเรียนเหล่าอาจารย์ต่างยังไม่เพิ่มเนื้อหา ตลอดทั้งวันชีวิตการเป็นนักเรียนของม่านเวยอิงผ่านพ้นไปอย่างเรียบง่ายธรรมดา แม้หลายครั้งจะพยายามเดินรั้งท้ายและอยู่คนเดียวก็ไม่มีใครมาระราน ม่านเวยอิงจึงถอดใจยกกระเป๋าสะพายขึ้นเดินกลับคอนโด “นี่! จะกลับแล้วหรอ” เสียงเอ่ยเรียกทำให้ฝีเท้าของม่านเวยอิงหยุดชะงัก มุมปากของเธอยกขึ้นเล็กน้อย ทว่าเมื่อหันกลับมาก็ต้องทำให้ผิดหวัง ใบหน้าของม่านเวยอิงไม่บ่งบอกอารมณ์ แต่จิงเฟยฟางก็พอเดาได้ว่าดูท่าจะไม่ดีแต่ก็ยังพูดออกไป “พวกเราเป็นเวรทำความสะอาดยังกลับไม่ได้” จิงเฟยฟางอธิบาย ม่านเวยอิงพยักหน้าเดินกลับเข้าห้องเรียน เพื่อนให้ห้องที่กำลังกวาดพื้นอยู่มองมาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เธอไม่ใส่ใจวางกระเป๋าแล้วนั่งลงพูดขึ้น “ฉันจะเป็นคนไปเทถังขยะ” เพื่อนชายอยากจะเอ่ยแย้ง ทว่าเมื่อมองเห็นสีหน้าของม่านเวยอิงก็ต่างเงียบลง อย่างไรถังขยะก็ไม่หนักมากมาย ถึงเวลา ม่ายเวยอิงก็ยกถังขยะไปเทด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์เช่นเคย มือของเธอกำหูหิ้วถังขยะแน่น ชีวิตนางมารของเธอแม้กระทั่งเทน้ำชาเธอยังมีคนปรนนิบัติ ในใจก็ครุ่นคิดหาวิธีที่จะหลุดพ้นไปจากสิ่งต่างเหล่านี้ ทั้งชีวิตวัยเรียนและฐานะการเป็นอยู่อันซอมซ่อ ฉันจะไม่ไหวแล้วนะ ในขณะเดินกลับเธอก็ได้พบกับกลุ่มสามสาววัยร้ายขวางทางเดิน ม่านเวยอิงหรี่ตามองอย่างมาดร้าย เอ่ยเสียงต่ำ “หลีกไป” ท่าทีของหญิงสาวที่ผิดแปลกไป ยิ่งแววตาคู่นั้นทำให้พวกเขาจิตใจสั่นไหว ผงะถอยก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว ลู่ปิงเอ่ยพูดข่มขู่ขึ้นแล้วเอามือผลักไหล่อีกฝ่าย “อย่าทำเป็นอวดเก่ง” ทว่าม่านเวยอิงกลับไม่ขยับสักนิด เห็นลู่ปิงหน้าเสียอี้หนิงจึงพูดขึ้น “อย่างไรเธอก็มีแค่คนเดียว เก่งแค่ไหนกันเชียว” อี้หนิงก็เอามือช่วยผลักไหล่ม่านเวยอิงอีกข้าง เฉียวเจียวยืนตกตะลึงที่ม่านเวยอิงยังมีสีหน้าเรียบเฉย เธอยืนนิ่งไม่ขยับไม่มั่นใจว่าจะต้องไปช่วยเพื่อนผลักอีกหรือไม่ ม่านเวยอิงถอนหายใจอย่างรำคาญ เธอเอามือผลักคนทั้งสองออกอย่างง่ายดาย อี้หนิงและลู่ปิง คล้ายถูกแรงเหวี่ยงพวกเธอกระแทกลงพื้นและส่งเสียงร้องพร้อมกัน โอ้ย!! ในขณะที่เฉียวเจียวก็รีบไปพยุงเพื่อนแล้วถาม “เฮ้ย!! เป็นไปได้ยังไง” อี้หนิงและลู่ปิงส่ายหน้าพร้อมกันอีกครั้ง ม่านเวยอิงตอบแทน “พลังมีแค่นี้ เก็บไว้ทำความสะอาดเถอะ ฉันค้านจะออกแรง” น้ำเสียงทั้งดูถูกและเย้ยหยัน เด็กสาวทั้งสามหน้าเหวออึ้ง มองตามแผ่นหลังของม่านเวยอิงที่เดินผ่านอย่างไม่ใส่ใจ เด็กสาวทั้งสามต่างจ้องตากันแล้วแอบเดินตามหลังม่านเวยอิงโดยที่คิดว่าอีกฝ่ายไม่รู้ตัว
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม