สนับสนุนโครงการ

1878 คำ
ยามรุ่งอรุ่ณ ท้องฟ้าเริ่มสว่างรำไร ม่านเวยอิงเบิกตากว้างขึ้น พลังลมปราณที่ไหลเวียนมากกว่าปกติ ทำให้ตื่นตระหนก เมื่อคืนเธอไม่ได้ทำความดีอันใดเหตุใดทำไมถึงมีพลังลมปราณใหม่ผุดขึ้น เด็กสาวครุ่นคิดหรือสิ่งที่เธอทำเป็นความดีอีกขั้น แม้ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง ทว่าม่านเวยอิงก็คาดว่าเธอกำลังเลือกเส้นทางที่ถูกต้องและใช้ชีวิตดังเดิม วันเวลาไหลผ่าน จนกระทั่งถึงวันที่ไปรับโล่รางวัลเกียรติคุณพลเมืองดี นักข่าวหลายสำนักมารอทำข่าว และสิ่งที่เกินคาดของไป๋หลันคือกลุ่มแฟนคลับที่มายืนรอต้อนรับกันอย่างมากและพร้อมเพียง เสียงตะโกนร้องเรียก “ม่านเวยอิง” ทำให้หัวใจของม่านเวยอิงพองโต ไป๋หลันหันไปบอกเธอโบกมือทักทาย ทว่าม่านเวยอิงทำสิ่งที่เหนือ เธอตะโกนตอบเหล่าแฟนคลับ “สวัสดีค่ะ ทุกๆคน” เสียงของเธอก้องกังวานดังเป็นพิเศษ ยิ่งทำให้เสียงเรียกชื่อม่านเวยอิงกึกก้องมากกว่าเดิม ม่านเวยอิงยิ้มจนกระทั่งเกือบมองไม่เห็นดวงตา เธอรู้สึกว่าโลกใบใหม่นี้ดียิ่งกว่าเดิม ไม่ต้องทำท่าสูงส่งเย็นชาก็สามารถครองใจคนได้แล้ว หรงจือหยางเปิดม่านชำเลืองมองไปข้างล่างแล้วหันมากระดาษในมือยกปากยิ้มละมุนเจือความเอ็นดู เมื่อพิธีรับมอบเสร็จ ขณะที่ม่านเวยอิงกำลังจะเดินออกจากสำนักงาน เสียงนุ่มทุ้มต่ำไปด้วยเสน่ห์เอ่ยเรียก ทำให้ฝีเท้าหยุดชะงัก “คุณหนูม่านเวยอิง ผมขอเวลาสักครู่ครับ” ไป๋หลันชำเลืองมองเห็นคนในสำนักงานตำรวจต่างทักทายบุคคลตรงหน้าพร้อมกับทำความเคารพ หญิงสาวจึงระวังกริยาทักทายอย่างมีมารยาท “ไม่ทราบว่าคุณคือ?” “ขออภัยครับ หรงจือหยาง ผมทำงานที่นี่อยากจะขออนุญาต ขอเวลาพูดคุยด้วยสักเล็กน้อย รบกวนเวลาไม่นานครับ” บุรุษตรงหน้าเต็มไปด้วยความองอาจผ่าเผยรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา กริยาสุภาพมีมารยาททำให้ไป๋หลันพยักหน้าอย่างยินดี ต่างจากม่านเวยอิงแม้จะพยายามรักษาสีหน้าทว่าในดวงตายังเกิดประกายกรุ่นโกรธเกรงว่าชายหนุ่มจะมาทำให้วันดีๆของเธอมีจุดด่างพร้อย เมื่อเข้าไปยังห้องทำงาน หรงจือหยางเชิญทั้งสองนั่งลงแล้วพูดขึ้น “ทางสำนักงานตำรวจ จะจัดอบรมเบื้องต้นเกี่ยวกับการกู้ภัยให้กับประชาชนครับ ทางเราเห็นว่าตอนนี้คุณม่านเวยอิงนับได้ว่าเป็นบุคคลสาธารณะที่จะช่วยประชาสัมพันธ์โครงการนี้ได้เป็นอย่างดี จึงอยากจะขอเชิญคุณม่านเวยอิงเข้าร่วมกิจกรรมนี้ครับ เงื่อนไขและรายละเอียดของการจัดกิจกรรมมีดังนี้ครับ” จากนั้นก็ยืนเอกสารชุดหนึ่งออกไป ไป๋หลันยกขึ้นมาอ่านแล้วพูดขึ้น “กิจกรรมค่อนข้างหนักอยู่นะคะ” “ครับ จำเป็นต้องเข้าอบรมอย่างน้อย 5 วัน ครับ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพและนำไปใช้ได้จริง” ไป๋หลันขมวดคิ้วรู้สึกไม่มั่นใจ เมื่อชำเลืองมองมายังม่านเวยอิงก็เห็นอีกฝ่ายเปิดดูตารางซ้อมไร้สีหน้ากังวลจึงถามขึ้น “เสี่ยวอิงคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ม่านเวยอิงยิ้มตอบ “ฉันไม่ขัดข้องค่ะ พี่ไป๋หลันตัดสินใจได้เลย” แววตาของหรงจือหยางเป็นประกายวับวาว “ครับ...หากคุณม่านเวยอิงเข้าร่วมทางเรามีค่าตอบแทนให้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้เยาวชนเข้าร่วมด้วยครับ” วันนี้ม่านเวยอิงอารมณ์ดีเป็นพิเศษและได้ใช้เงินสามแสนหยวนจากชายหนุ่มเมื่อวาน ความขุ่นโกรธต่อหรงจือหยางก็ลดลงไปมาก หลังจากได้ยินว่าจะใช้เธอเป็นพรีเซนเตอร์พร้อมกับค่าตอบแทน ดวงตาดอกท้อก็ประกายวาวขึ้น ไป๋หลันเห็นม่านเวยอิงดูกระตือรือร้นอีกทั้งเด็กสาวก็โด่งดังจากการเป็นพลเมืองดี จึงพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นในส่วนของรายละเอียดของสัญญาและเวลาการจัดอบรมจะตกลงกันได้วันไหนคะ” หรงจือหยางยิ้มแล้วเรียกพนักงานคนหนึ่งเข้ามา หลังจากตกลงเงื่อนไขเบื้องต้นเรียบร้อย ไป๋หลันก็ขอตัวเพราะม่านเวยอิงจำเป็นต้องเตรียมตัวไปงานเปิดกล้อง “กระดูกมาร” ต่อในตอนบ่าย เมื่อเดินออกมาก็เจอกับลู่ปิง อี้หนิงและเฉียวเจียวส่งสายตามองอย่างเป็นกังวล พวกเธอจำหรงจือหยางได้ กลัวว่าจะมีเรื่องไม่ดีสีหน้าจึงเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย ม่านเวยอิงจึงปลอบ “ไม่มีอะไร ไปพวกเราไปทานข้าวกัน” ส่วนในห้องทำงานหรงจือหยาง ฉีเจ๋อเดินเข้ามายืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานของชายหนุ่ม ชำเลืองมองต่ำท่าทีคล้ายกดดันอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้น “โครงการอบรมเบื้องต้นเกี่ยวกับการกู้ภัย ไม่ทราบว่าได้รับอนุมัติงบแล้วหรือขอรับ” “นายไปอ่านดูรายละเอียดโครงการใหม่แล้วค่อยมาคุยก็ยังไม่สาย” ฉีเจ๋องุนงง จะเป็นไปได้อย่างไรโครงการนี้พึ่งเสนอไปเมื่อวานก่อนจะอนุมัติงบประมาณได้อย่างไร ชายหนุ่มรีบเอาเอกสารออกมาเปิดดู ตั้งใจจะตำหนิอีกฝ่ายหากใช้อำนาจเพื่อให้ผลอนุมัติเร็วขึ้น ทว่าสิ่งที่อยู่ในเอกสารทำให้ฉีเจ๋อตกตะลึงยิ่งกว่า “หรงจือหยาง นับว่ากระผมได้เรียนรู้ที่ผ่านมาถือว่าผมดูแคลนคุณผมพลาด นับว่าอวดรวยได้แยบยลมาก” น้ำเสียงของฉีเจ๋อเจือความประชดประชัน “ก็ยังไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่” “เอ่อ ไม่ผิด” ทั้งที่ตอนแรกเป็นเขาเองที่สนับสนุนให้หรงจือหยางจีบม่านเวยอิงทว่าตอนนั้นกลับปฏิเสธมาตอนนี้กลับมายืนยันสิ่งที่ตนเองทำว่าไม่ผิดกฏหมาย ฉีเจ๋อเดินออกไปอย่างหัวเสียไม่เข้าใจตนเอง พอเดินมาถึงห้องตนเอง ฉีเจ๋อก็พลันเข้าใจว่าตนเองหงุดหงิดสิ่งใด หนึ่งล้านหยวน ใช่ เพราะหรงจือหยางสนับสนุนโครงการนั่นด้วยเงินหนึ่งล้านหยวน สุดท้ายฉีเจ๋อก็ตะโกนในใจ ใช่แล้ว อิจฉาโว้ย ในร้านอาหาร อี้หนิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “คุณม่านคะ ชมรมกีฬาอยากจะเชิญคุณม่านไปร่วมลงแข่งในนามของชมรมด้วยค่ะ” “ได้สิ ๆ ตกลงไปเลย” ม่านเวยอิงตอบทันที ไม่หยุดไตร่ตรองสักนิด ก็แค่วิ่งให้เร็วไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย ทว่าเฉียวเจียวกลับมีสีหน้ารู้สึกไม่สบายใจ “แต่ว่า...คุณม่านคะ.. การแข่งขันในเวลาจำกัดคุณม่านจะสามารถลงแข่งทุกการแข่งขันไม่ได้นะคะ” ลู่ปิงหยักหน้าหงึกๆ เห็นด้วย “นั่นสิ หากแข่งพร้อมกันแล้วเราจะตัดสินใจอย่างไรคะ” “ทะเลาะกันแน่เลย” ไป๋หลันนั่งฟังเด็กสาวปรึกษากัน สายตาก็กวาดมองเพื่อนทั้งสามของม่านเวยอิงพลางใคร่ครวญบางอย่าง ถามขึ้น “พวกเธอตัดสินใจเลือกสาขาเรียนต่อหรือยัง” ทั้งสามต่างพยักหน้า ลู่ปิงตอบ “พวกเราตั้งใจจะเรียนด้านแฟชั่นดีไซน์ค่ะ รอดูคะแนนสอบเสียก่อนจึงจะเลือกมหาวิทยาลัยกันอีกที” อี้หนิงพูดต่อ “เรียนจบแล้วเราอยากจะดูแลคุณม่านต่อค่ะ” ไป๋หลันยิ้มบางละมุน “ดีจริง ตอนนี้ฉันกำลังจะหาคนดูแลเสี่ยวอิงเพิ่มพวกเธอสนใจรับงานนี้ไหม” เด็กสาวทั้งสามต่างมองหากัน เฉียวเจียวพูด “พวกเรากลัวจะทำได้ไม่ดีอ่ะค่ะ” “อะไรกัน ฉันก็เห็นพวกเธอทำดีออก สิ่งที่พวกเธอกำลังตอนนี้นั่นล่ะคือการดูแลศิลปิน” ม่านเวยอิงพยักหน้าพอใจ “รับสิ พวกเธอจะได้มีรายได้ด้วยนะ” ลู่ปิง อี้หนิงและเฉียวเจียว ตั้งแต่เกิดมาชีวิตต้องคอยมองสีหน้าผู้อื่นอยู่เสมอและยิ่งถูกนำมาอยู่ที่เมือง A หลายครั้งพวกเธอก็ต้องคอยเอาใจคนพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา กระนั้นก็ใช่ว่าชีวิตจะราบรื่น การเอาใจม่านเวยอิงเป็นไม่นับว่าลำบากอันใด มีที่อยู่ มีเสื้อผ้า อาหารอิ่มท้อง อีกอย่างยังมีหน้ามีตาด้วย แค่คิดก็ซาบซึ้งไปทั้งหัวใจ ลู่ปิงน้ำตาเริ่มคลอ พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ม่านเวยอิงทำไมเธอแสนดีขนาดนี้ ฮื้อ” ม่านเวยอิงหาได้ซึ้งด้วย เธอถลึงตาพูดเสียงต่ำ “หยุดนะ ฉันไม่ชอบคนร้องไห้” อึบ!! ลู่ปิงกลืนคำสะอื้นลงคอทันที ไป๋หลันหัวเราะขบขัน “เอาล่ะ ๆ เป็นอันตกลงนะ ตอนนี้พวกเธอจะทำงานได้เพียงวันหยุด ฉันคงจ้างเป็นเงินรายชั่วโมงแทน” “ขอบคุณค่ะ” แต่ว่า เรื่องเรียนต่อยังเหลืออีกหนึ่งคนที่ยังไม่ตอบ จึงถามขึ้น “เสี่ยวอิงยังตัดสินใจไม่ได้หรือ” ม่านเวยอิงค่อนข้างเกรงใจไป๋หลัน จึงตอบเสียงแผ่วเบาแต่ดวงตาเป็นประกาย “ฉันคิดว่าจะเรียนต่อโรงเรียนกีฬาค่ะ ฉันจะไปเป็นนักกีฬาทีมชาติ หากจะเป็นทุนนักกีฬา ฉันก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนต่อด้านไหน” ไป๋หลันยิ้มอย่างอ่อนโยน “พี่ดูแลเธอมาตั้งนานย่อมรู้ว่าเธอ...เอ่อ..ไม่สันทัดเรื่องการแสดง เราสามารถทำทุกอย่างไปพร้อมกันได้แต่ว่า มันอาจจะเหนื่อยนะ แล้ว...ช่างเถอะ...ทานข้าวเสร็จแล้วเราก็ไปงานเปิดกล้องกันก่อนแล้วค่อยเข้าบริษัท” แม้ไป๋หลันอยากจะถามม่านเวยอิงสักคำ เรื่องการเป็นนักกีฬาทีมชาติไปเอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ว่าวัยนี้ล้วนต้องมีความฝัน และตอนนี้นับว่าดีแล้วค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า ส่วนม่านเวยอิงเห็นไป๋หลันไม่ขัดข้องก็ดีใจ “ไม่เหนื่อยค่ะ แค่นี้เองฉันไม่เหนื่อย” “ตามใจ” หลังทานมื้อเที่ยงเสร็จไป๋หลันก็พาทั้งหมดไปยังงานเปิดกล้องละครเรื่องกระดูกมารต่อเมื่อไปถึง ทีมงานของกองถ่ายและคนของฝูหัวก็รีบมารับ “สวัสดีค่ะ เชิญคุณม่านเวยอิงทางนี้เลยนะคะ ทางทีมงานได้จัดเตรียมห้องแต่งตัวไว้ให้แล้ว” เมื่อเดินไปถึงห้องแต่งตัว ไป๋หลันก็หันมาแนะนำคน “นี่คือ ถังรุ่ย เป็นผู้ช่วยผู้จัดการพี่ ส่วนนี่คือ ลู่ปิง อี้หนิง เฉียวเจียว จะคอยเป็นผู้ช่วยดูแลม่านเวยอิงด้วยกัน” เด็กทั้งสามโค้งตัวแนะนำตัวยิ้มแป้น “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” “เช่นกันค่ะ ดีจังเลยค่ะ” ไป๋หลันไม่ได้อธิบายเรื่องการจ้างคนเพิ่มเพราะเธอตั้งใจจะหักจากส่วนแบ่งของตนเองอยู่แล้ว และที่สำคัญในช่วงเวลาระหว่างเรียนก็นับว่าได้เด็กกลุ่มนี้ช่วยดูแลม่านเวยอิงด้วย จากนั้นช่างแต่งหน้าทำผมของกองถ่ายก็ได้เข้ามาดูแลม่านเวยอิงต่อ ถังรุ่ยก็ถือโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกัน เธอค่อยข้างพอใจกับนิสัยของคนทั้งสามไม่ว่าจะบอกให้หยิบจับสิ่งใดล้วนคล่องแคล่วแถมไม่อิดออด นับว่าเธอโชคดีที่ตัดสินใจรับงานผู้ช่วยผู้จัดการม่านเวยอิงแม้จะมีหลายคนบอกว่ามันเสี่ยงนะ ดังทั้งที่ยังไม่มีผลงานดังจากกระแสอีกไม่นานก็ดับไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม