เพื่อนในห้องต่างอึ้งตะลึง เป็นจังหวะที่อาจารย์เดินเข้าชั้นเรียนได้ทำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนนั่น
“นี่เด็ก ๆ กำลังทำอะไรกันหรือจ๊ะ”
ม่านเวยอิงตอบด้วยน้ำเสียงใสกระจ่างฉบับนางเอก
“เพื่อนลู่ปิง อี้หนิง เฉียวเจียว กำลังขอโทษเพื่อนที่เมื่อก่อนทำตัวไม่ดีและขอโอกาสเพื่อนด้วยค่ะ”
อาจารย์เบิกตาพร้อมยิ้มกว้าง
“ว้าว ดีจังเลย ช่างเป็นภาพมิตรภาพที่สวยงาม ...ในเมื่อเพื่อนพร้อมเป็นคนใหม่ทำไมเราจะไม่ให้โอกาสว่าไหมคะเด็กๆ”
เมื่ออาจารย์หาช่องทางลงให้นักเรียนก็ต่างขานรับพร้อมเพียง
“ค่ะ/ครับ อาจารย์”
หลังจากนั้นบรรยากาศในห้องเรียนแม้จะไม่รักสามัคคีกันหวานชื่น ทว่าก็ลดความอึมครึมลงไปมาก
อาจจะต้องย้อนไปเมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมา
//บ้านนักเรียนมู่เฉิงเพื่อนในชั้นม่านเวยอิง
“พี่ชาย พี่อยู่ห้องเดียวกับพี่ม่านเวยอิงใช่หรือเปล่า”
“ใช่”
“โหสุดยอดเลย ได้รู้จักสนิทกับคนเท่ห์แบบนั้น”
มู่เฉิงยืดตัวตรงขึ้น พร้อมเล่าเรื่องในชั้นเรียนให้น้องฟังอย่างโอ้อวด
//งานแต่งงานญาติของจงชิงอิงเพื่อนในชั้นเรียนม่านเวยอิง
“จำได้ว่า เสี่ยวอิงอิงอยู่โรงเรียนเจ๋อจงใช่ไหมคะคุณพี่”
“อ่อ..ใช่ค่ะ แล้วเขายังเป็นเพื่อนในชั้นเรียนม่านเวยอิงด้วยนะคะ”
“จริงหรือคะเนี้ย ดีจังเลยนะคะได้สนิทกับเด็กดีแบบนั้น”
จงชิงอิงหรี่ส่งสายตาบอกความเหนือชั้นกว่าญาติผู้พี่ของเธอ
//งานฉลองวันเกิดหลีจิ้งหยวนเพื่อนในชั้นเรียนม่านเวยอิง
“พี่จิ้งหยวน เสียดายนะครับที่คุณม่านเวยอิงโด่งดังแล้วจึงไม่สามารถมาร่วมงานวันเกิดได้”
“นั่นสิ พวกเราเลยอดได้เจอเลย”
หลีจิ้งหยวนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มพูดขึ้น
“แต่ถ้าพวกเราอยากได้ลายเซ็นฉันสามารถไปขอให้ได้นะ”
“สุดยอดเลย”
และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ ทว่าล้วนไปสิ่งที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับเพื่อนในชั้นทำให้ม่านเวยอิงจะพูดจะกล่าวอะไร เพื่อนก็เห็นดีไปด้วย
จังหวะช่วงเปลี่ยนคาบเรียน ลู่ปิงก็เดินไปหามู่เฉิงเอ่ยถามขึ้น
“มู่เฉิง นายอยู่ชมรมว่ายใช่ไหม”
มู่เฉิงพยักหน้ายอมรับ
“อืม ทำไมหรอ”
“คือ คุณม่านเวยอิงอยากจะสมัครเข้าชมรมนายอ่ะ เที่ยงนี้พาไปหน่อยได้ไหม”
มู่เฉิงยืนขึ้นแล้วหันหน้ามาทางม่านเวยอิง
“ได้สิ ได้แน่นอนผมจะพาไปเอง”
ม่านเวยอิงยิ้มอย่างพอใจแล้วพูด
“ขอบใจนะ”
มู่เฉิงนำกลุ่มม่านเวยอิงไปสมัครเข้าชมรมด้วยความเบิกบาน ทว่าสิ่งที่เธอประกาศทำให้หลายคนรู้สึกดูแคลน
“ก็แค่คัดเลือกใหม่ไม่ใช่หรอ”
ม่านเวยอิงเอ่ยพูดขึ้น
ประธานชมรมส่งสายตาให้มู่เฉิงเป็นคนพูด
“เอ่อ อย่างงี้นะม่านเวยอิง คือ ทางชมรมได้จัดแข่งขันและคัดเลือกไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนฝึกซ้อมหากจัดแข่งขันใหม่เกรงว่าจะฝึกซ้อมไม่ทันอ่ะ”
ม่านเวยอิงหยักไหล่
“ฉันไม่จำเป็นต้องฝึกซ้อม ใครคืออันดับหนึ่งของที่นี่ มาแข่งกันก็รู้ผลแล้วนิ”
ติงฮว่าก้าวเดินออกมาแล้วพูดขึ้น
“ฉันเอง เธอพร้อมจะแข่งตอนไหน”
ติงฮว่าเป็นเด็กสาวที่มีรูปร่างอรชนใบหน้าหมดจดนับได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ความมั่นอกมั่นใจของอีกฝ่ายทำให้ม่านเวยอิงรู้สึกดีด้วย
“พร้อมเสมอ แต่ว่าวันนี้ฉันไม่มีชุดว่ายน้ำนะ”
“ไม่เป็นไรฉันจะเตรียมให้ หลังเลิกเรียนถ้าเธอยืนยันคำเดิมก็มา”
ข่าวการแข่งว่ายน้ำระหว่างม่านเวยอิงกับติงฮว่ากระพือไปทั่วโรงเรียนอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงเวลาแข่งขัน ขอบสระน้ำเต็มไปด้วยนักเรียนจำนวนมากทุกพื้นที่ถูกจับจองแออัดแน่นไปหมด
ม่านเวยอิงรู้สึกแปลกใจ ลู่ปิงจึงเข้ามากระซิบบอก
“ติงฮว่าเป็นดาวโรงเรียน เธอค่อนข้างมีชื่อเสียง”
“คุณม่านสามารถชนะติงฮว่าจะยิ่งโด่งดังกว่าเดิมแน่นอนค่ะ”
อี้หนิงมั่นใจว่าม่านเวยอิงจะสามารถคว้าชัยชนะได้ แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ไม่ทราบว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน
ม่านเวยอิงเม้มปากเล็กน้อย พูดขึ้น
“นับว่าลงแรงครั้งนี้ไม่เสียเปล่า”
แม้จะชื่นชอบที่ม่านเวยอิงเป็นพลเมืองดี ทว่าติงฮว่านับว่าถือครองความชื่นชอบของเหล่าเพื่อนนักเรียนมาหลายปี ม่านเวยอิงจึงถูกนับเป็นรองในใจ สีหน้าครุ่นคิดของม่านเวยอิงทำให้หลายคนเข้าใจว่าเธอเริ่มประหม่า
เสียงกระซิบพูดคุย ทำให้ม่านเวยอิงตัดสินใจเอาชนะติงฮว่าแบบทิ้งห่าง ให้เห็นชัดว่าใครกันคือเป็นหนึ่งในใต้หล้า
เสียงนกหวีดดังขึ้น
ท่ามกลางสายตาของเหล่านักเรียนจำนวนหลายร้อยคน
ม่านเวยอิงชนะติงฮว่าแบบห่างชั้น
ทุกคนต่างอ้าปากลูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกใหญ่พร้อมกันโดยไม่ได้นัด
ม่านเวยอิงในชุดว่ายน้ำของโรงเรียนยืนนิ่ง ปรายตามองติงฮว่าที่ก้มหน้านิ่งอยู่ในสระน้ำ รู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายขึ้นมา
กำลังจะพูดบางอย่าง ติงฮว่าก็พูดขึ้น
“ตัวแทนการแข่งขันแบบเดี่ยวทั้งหมดของฉัน รบกวนเธอเข้าแข่งขันแทนด้วย”
เสียงของเด็กสาวสั่นเครือแม้จะไม่ดังทว่าทุกคนก็ได้ยินชัดเจน
ม่านเวยอิงยิ้มพราว ตอบรับ
“ได้ ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวัง ขอบใจนะ”
เด็กสาวหันกายเตรียมตัวก้าวเท้าจะเดินออกไป
ติงฮว่าก็เงยหน้าขึ้น พร้อมตะโกนเสียงดัง
“ม่านเวยอิงสอนฉัน สอนฉันได้ไหม”
“ได้สิ เรื่องเล็กน้อย”
เรื่องราวจบลงอย่างมิตรภาพที่สวยงาม ทำให้หลายคนทั้งซาบซึ้งและงวยงง
ทั้งสี่คนไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เป็นจุดสนใจใบหน้าม่านเวยอิงระบายด้วยรอยยิ้ม ส่วนลู่ปิง อี้หนิง เฉียวเจียว ต่างรู้สึกภูมิใจเป็นความรู้สึกที่พวกเธอไม่เคยได้รับมาก่อน น้ำเสียงพูดคุยกับม่านเวยอิงจึงเต็มไปด้วยคำประจบสอพอแฝงความรู้สึกนับถืออยู่จาง ๆ
เมื่อกำลังจะออกนอกประตูโรงเรียน ม่านเวยอิงก็หยุดเดินชำเลืองมองไป ยังมีนักข่าวมาดักรอเธอจึงพูดขึ้น
“พี่ไป๋หลันสั่งห้าม...ต่อไปนี้ ห้ามให้สัมภาษณ์เอง วันนี้ฉันจะพาพวกเธอไปซื้อของใช้สักหน่อย”
พูดเสร็จม่านเวยอิงก็รีบเดินไปยังรถตู้สีดำที่จอดรออยู่ มีการ์ดเดินออกมารอรับช่วยกันเหล่านักข่าว
ทั้งสามหันหน้ามองกันแล้วรีบวิ่งตามให้ทัน
ไป๋หลันส่งม่านเวยอิงขึ้นรถเสร็จก็หันมาพูดคุยกับนักข่าว
“ต้องขอโทษพี่ๆ นักข่าวทุกคนด้วยนะคะ ม่านเวยอิงยังเป็นเพียงนักเรียนชั้นมัธยม ช่วงที่มาโรงเรียนจะขออนุญาตไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ ขอโทษที่ทำให้ไม่สะดวกนะคะ”
“ในฐานะผู้จัดการตอนนี้สามารถเปิดเผยผลงานของคุณม่านเวยอิงได้ไหมคะ” //นักข่าว1
“ต้องขออภัยอีกครั้งค่ะ เนื่องจากยังไม่มีการเซ็นต์สัญญาใด ๆ ที่ชัดเจน ทางเราไม่อาจจะให้ข้อมูลใดได้ รบกวนพี่ ๆนักข่าวรอแถลงการณ์อีกครั้งนะคะ”
“แล้วในตอนนี้ทางต้นสังกัดได้มีการปรับฐานะศิลปินของ คุณม่านเวยอิงใหม่รึเปล่าคะ” //นักข่าว2
“ค่ะ ตอนนี้คุณม่านเวยอิงนับว่าเป็นศิลปินที่สำคัญของฝูหัว”
ไป๋หลันตอบคำถามนักข่าวอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเปิดประตูหน้าขึ้นมานั่งคนขับ เมื่อรถเคลื่อนออกเธอก็หันมาคุยกับม่านเวยอิง
“จะไปดูห้องหรือจะไปซื้อของก่อนคะ”
“ไปซื้อของก่อนค่ะ พี่ไป๋หลันนี่คือ เพื่อนของฉันลู่ปิง อี้หนิง เฉียวเจียว ฉันจะให้พวกเขาพักอยูด้วย”
ไป๋หลันชำเลืองมองทั้งสามที่ทักทายด้วยสีหน้ายิ้มประจบ
หากเป็นนักเรียนทั่วไปใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้แต่การเป็นศิลปินมีหลายอย่างที่เป็นความลับ ทว่าม่านเวยอิงกลับต้องการให้เพื่อนมาอาศัยอยู่ด้วย หากเพื่อนคิดไม่ซื่ออาจจะเกิดความเสียหายที่ประเมินไม่ได้
ทว่าม่านเวยอิงแม้จะเป็นเด็กแต่เธอไม่ใช่คนไร้เดียงสา ไป๋หลันไม่ได้เลี้ยงดูเธอให้บอบบาง จึงถามขึ้น
“เธอรู้ใช่ไหม ว่ามันเสี่ยง”
ม่านเวยอิงยิ้ม ตอบน้ำเสียงจริงจัง
“ค่ะ พี่ไม่ต้องห่วงไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน”
ไป๋หลันถอนหายใจแล้วพูด
“เอาเถอะ เธอก็โด่งดังด้วยตนเอง หากฉันจะมากฏเกณฑ์ตอนนี้ก็ดูแล้งน้ำใจ ตามใจล่ะกัน”
เด็กสามคนมองกันอย่างดีใจ พูดพร้อมกัน
“ขอบคุณนะคะ”
“อืม ... พวกเธอก็อย่าทำให้ม่านเวยอิงเสียใจล่ะกัน ไปซื้อของกันก่อน จากนั้นค่อยไปดูห้อง”
ห้างสรรพสินค้า
ม่านเวยอิงหยิบเงินแสนหยวนออกมา เมื่อไป๋หลันชำเลืองมองมาเธอจึงอธิบาย
“เงินรางวัลอ่ะค่ะ”
ไป๋หลันยิ้มนึกถึงกระเป๋าใบละล้านหยวนที่ม่านเวยอิงได้รับในวันนั้น เงินแสนหยวนนี่จึงดูธรรมดาและเข้าใจได้
สำหรับม่านเวยอิงเงินทองหาใช่สิ่งสำคัญ เธอจึงใช้จ่ายให้สหายทั้งสามอย่างใจกว้าง เมื่อใช้จ่ายเงินจนเกือบจะหมด ม่านเวยอิงจึงรู้สึกว่าพอแล้ว
ห้องใหม่อยู่ในตึกเดิมแต่อยู่ชั้นที่สูงกว่า ไป๋หลันนำเดินเข้าไปแล้วพูดขึ้น
“โชคดีมากที่มีห้องว่าง ห้องนี้มีห้องทั้งหมด 3 ห้อง พวกเธอจัดการกันเอง ห้องเดิมฉันจะส่งคืนเจ้าของสิ้นเดือนยังมีเวลาอีกหลายวัน วันนี้ดึกแล้ววันหลังค่อยทยอยย้ายของเข้า”
ลูปิงวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างตื่นเต้นพูดขึ้น
“พี่ไป๋หลันไม่ต้องห่วงค่ะ เรื่องย้ายของให้พวกเราจัดการเอง ขอบคุณพี่มาก ๆ นะคะ”
อี้หนิงกับมือเฉียวเจียวแน่น ตั้งแต่ที่พวกเธอย้ายมาอยู่เมือง A ก็อยู่ห้องแคบ ๆ ด้วยกันสามคนไม่เคยได้อยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
ไป๋หลันเห็นว่าดึกแล้วจึงได้พูดขึ้น
“ตามใจล่ะกัน มีอะไรก็โทรหาพี่ ตอนนี้ดึกแล้วพี่คงต้องกลับก่อน”
พอไป๋หลันกลับไป ลู่ปิงก็หันมาคุยกับม่านเวยอิง
“พวกฉันอยู่ห้องด้วยกันก็ได้ อีกหนึ่งห้องเอาให้คุณม่านใช้จะดีกว่า”
“ใช่ ๆ พวกเราอยู่ได้ มันดีมาก มันดีที่สุดแล้ว”
อี้หนิงรีบพูดเฉียวเจียวก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ตามใจ ถ้าอย่างนั้นก็ซื้อเตียงสองชั้นมาจะดีกว่า”
ม่านเวยอิงไม่ขัด เมื่อกลับมาถึงห้องก็เห็นคนทั้งสามช่วยกันเก็บห้องอย่างขยัน
“พวกเธอจะย้ายวันนี้เลยหรือ”
ทั้งสามหันมาพูดพร้อมกัน
“คุณม่าน คุณม่านพักผ่อนได้เลยนะคะ เรื่องย้ายห้องให้พวกเราจัดการเอง”
แม้จะพยายามเบาเสียง ทว่าม่านเวยอิงก็ได้ยินเสียงเก็บของและพูดคุยปรึกษากันเป็นระยะ เธออยากจะออกไปบอกให้เงียบแต่นึกถึงหน้าระรื่นก็ยิ้มบาง ๆ และเผลอหลับไป