ปกติไม่ว่าจะเช้าสายบ่ายเย็น การกินข้าวของคู่แต่งงานจะแยกกันกินอยู่แล้ว วันๆ แทบจะไม่ได้พบหน้ากันเลยสักครั้ง เดือนหนึ่งคุยกันก็ไม่ถึงสิบประโยค เพราะฉะนั้นอย่าถามเรื่องที่ใครอีกคนจะมาหาอีกคนถึงห้องนอนในเวลาหลังพระอาทิตย์ตกดินเลย มันเป็นไม่ไปได้ ไม่มีวันเกิดขึ้น
หลังจากปล่อยให้ตัวเองร้องไห้จนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว กว่าจะประคองร่างไปอาบน้ำได้เวลาก็ล่วงเลยผ่านสามทุ่มไปแล้ว ค่ำนี้พิมาลาจึงทิ้งมื้อเย็นแล้วปีนขึ้นเตียงหวังนอนพักเอาแรง
ทว่ายังไม่ทันหลับสนิท เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ไม่กี่วินาทีประตูก็ถูกเปิดเข้ามา เธอจึงได้แต่ลงจากเตียงแล้วมองฝ่าความมืดจ้องคนบุกรุกด้วยท่าทีระแวดระวัง
อึดใจเดียวแสงไฟก็สว่างไปทั่วห้อง ใครบางคนที่เธอรู้จักคุ้นเคยแต่ก็ไม่เคยคุ้นชูกุญแจให้ดู
“โทษที ห้องมันล็อกฉันก็เลยต้องใช้กุญแจไขเข้ามา”
พิมาลามองเขาอย่างแปลกใจระคนหวาดหวั่น เธอจำได้ว่าตั้งแต่แต่งงานกันเขาไม่เคยเข้ามาในห้องนี้เลยสักครั้ง แม้มันจะถูกจัดเป็นห้องหอแต่ความจริงเขาไม่เคยเข้ามา ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว พอเห็นเขายืนอยู่ในนี้ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าควรทำตัวอย่างไร
ปากอิ่มเม้มแน่นเป็นเส้นตรงก่อนจะมองเจ้าของร่างสูงด้วยดวงตาแดงก่ำ
“คุณเชษฐ์เข้ามาทำไมคะ”
เชษฐ์มองไปรอบๆ แล้วตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ห้องนี้เป็นห้องนอนใหญ่ของบ้านไม่ใช่หรือ แถมยังเป็นห้องหอของเราด้วย แล้วเธอคิดว่าฉันมาที่นี่ทำไม”
พิมาลาพยายามทำตัวเข้มแข็งทั้งๆ ที่แทบจะยืนไม่อยู่แล้ว หญิงสาวกลืนความหวาดกลัวลงคอแล้วกัดฟันถาม
“คุณเชษฐ์ต้องการอะไรคะ”
“แล้วเธอคิดว่าฉันต้องการอะไร”
ถูกเขาย้อนถามแบบนี้ พิมาลาไม่รู้จริงๆ ว่าควรสู้กับเขายังไง สุดท้ายก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาถอย “ถ้าคุณเชษฐ์อยากใช้ห้องนี้ก็ตามสบายนะคะ ฉันขอตัวก่อนค่ะ” ยอมไปนอนห้องรับแขก ห้องคนรับใช้ดีกว่านอนในห้องที่มีเขาอยู่ การที่เขาก้าวเข้ามาในห้องนี้ทำให้เธอรู้ว่า ใจของเธอไม่ชิน ร่างกายของเธอหวาดกลัวจนแทบจะทรุดไปกองกับพื้น
ทว่ายังไม่ทันขยับตัว ข้อมือเล็กที่เขาไม่เคยจับมันมาก่อนกลับถูกคว้าเอาไว้แน่น หนำซ้ำเขายังดึงรั้งจนเซถลาเข้ามาใกล้ร่างกายกำยำจนไร้ช่องว่าง
“คุณเชษฐ์จะทำอะไร ปล่อยนะ!”
เชษฐ์จ้องมองหญิงสาวด้วยสายตาเยาะหยัน อึดใจเดียวเสียงห้าวทุ้มก็ดังขึ้น “วันนี้แม่มาคุยกับเธอเรื่องหย่าใช่ไหม”
“ค่ะ” พิมาลาหลบสายตาตอบ
ชายหนุ่มจึงโน้มใบหน้าลงต่ำจนลมหายใจร้อนๆ รินรดใบหน้ามนจนร้อนวูบวาบ
“แล้วเธอบอกแม่ว่ายังไงล่ะ ขอร้อง อ้อนวอนแม่ยังไงบ้าง ฉันอยากรู้”
แรงบีบที่ข้อมือเล็กนั้นแน่นเสียจนเจ็บไปหมด “คุณเชษฐ์ปล่อยนะ...เพียงเจ็บ!”
“ทำไมล่ะ ความจริงถ้าเธออยากหย่ามากนัก ทำไมไม่ลองอ้อนวอนฉันดูบ้าง คุกเข่า กราบไหว้ บีบน้ำตาขอร้องฉันสิ บางทีฉันอาจ...”
“ถ้าเพียงทำแบบนั้น คุณเชษฐ์จะยอมหย่ากับเพียงหรือคะ”
มุมปากของเขากดลงเผยรอยยิ้มร้ายกาจออกมา “ไม่รู้สิ”
พิมาลาจึงกะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตาอุ่นร้อนไม่ให้ไหลอาบแก้มลงมา กล้ำกลืนฝืนความเจ็บปวดในอกแล้วค่อยๆ งัดนิ้วที่แข็งแรงราวกับปลอกเหล็กของเขาให้หลุดออก เมื่อเป็นอิสระก็ค่อยๆ คุกเข่าลง “ฉันขอร้อง...ได้โปรด”
เชษฐ์แหงนหน้าหัวเราะลั่น
“เธอนี่...คงอยากหย่ากับฉันมากสินะ มากจนถึงขั้นยอมคุกเข่าอ้อนวอน” นิ้วแข็งแรงวางทาบกับคางมนแล้วบังคับให้เธอแหงนเงยขึ้น
“แต่ว่า...พอเห็นเธอคุกเข่าอย่างง่ายดายแบบนี้ ฉันว่า...ฉันไม่หย่าให้หรอก”
“คุณเชษฐ์”
“ไม่รู้หรือว่าสองปีที่แต่งงานกับเธอฉันต้องสูญเสียอะไรไปบ้าง ชื่อเสียง หน้าตา คนรัก ทุกอย่างถูกทำลายจนป่นปี้ไปหมด มันพังเพราะเธอ แล้วจู่ๆ วันนี้เธออยากมีอิสระ อยากไปจากฉัน มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือ”
“แล้วคุณเชษฐ์จะให้เพียงทำยังไง ในเมื่อเราสองคนไม่ได้รักกันแล้วจะทนอยู่ร่วมกันไปทำไม”
“ก่อนแต่งงานเราก็ไม่ได้รักกัน เธอก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเราสองคนต้องมีวันนี้ แล้วทำไม?” เขาตะโกนลั่น จน พิมาลาต้องถอยหลังหนีด้วยความกลัว “แล้วทำไมเธอไม่อ้อนวอน ขอร้องพ่อกับแม่ฉันให้ล้มเลิกตั้งแต่แรกฮ้า! จะมาอ้อนวอนตอนนี้หาสวรรค์วิมานอะไร”
“คุณเชษฐ์”
“คนจะอยู่ร่วมกันได้มันไม่จำเป็นต้องมีความรักเสมอไปหรอกนะ ฉันจะบอกให้ว่าความเกลียดชังก็ทำให้อยู่ด้วยกันได้ เหมือนฉันกับเธอไง...อยู่ด้วยความเกลียดกันไปจนวันตายเลย”
หญิงสาวได้แต่กัดปากสั่นๆ ไว้แน่น เธอไม่กล้าแม้จะสบตากับเขาจึงได้แต่บีบมือสั่นๆ เอาไว้ ขณะที่เขาก้าวเข้ามาใกล้แล้วนั่งยองๆ บังคับให้มองสีหน้ากับแววตาที่มีแต่ความโกรธเกลียดเต็มไปหมด
“ชาตินี้ ชีวิตนี้ ถ้าฉันไม่คิดหย่า เธอก็อย่าฝันว่าจะไปจากบ้านหลังนี้ได้”
“ทำไมต้องทำแบบนี้คะ ในเมื่อคุณอยู่กับฉันแล้วไม่มีความสุข คุณจะให้ฉันอยู่ด้วยทำไมอีก คุณหย่ากับฉันแล้วไปหาคนที่คุณรักสิ”
“หุบปาก!” ปลายนิ้วเรียวชี้หน้า “อย่าเอ่ยถึงคนรักของฉัน เพราะคนอย่างเธอไม่คู่ควร และรู้เอาไว้ด้วยว่าในเมื่อฉันไม่มีความสุข เธอก็จะไม่มีวันได้สัมผัสมันเช่นกัน ฉะนั้นเรื่องหย่าเธอเลิกคิดถึงมันไปได้เลย เพราะมันไม่มีวันเกิดขึ้นง่ายๆ ไม่มีวัน!” เขาทิ้งคำพูดร้ายกาจเอาไว้เพียงเท่านั้นก็เดินออกจากห้องไปราวกับว่าไม่เคยเข้ามาเหยียบที่นี่มาก่อน แต่ความเป็นจริงนั้น เขาทิ้งความเจ็บปวด ทิ้งบาดแผล ทิ้งความรู้สึกเลวร้ายไว้ให้กับเธอมากมาย...มันมากเสียจนได้แต่ทุบอก เพื่อทำลายความอัดอั้นนั้นให้แผ่วจางลง ทว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้เธอดีขึ้นมีเพียงแค่เสียงร้องไห้กับหยาดน้ำตาเท่านั้น
ไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน นั่งร้องสะอึกสะอื้นจนน้ำตาแทบเป็นสายเลือดยังไง ความเจ็บที่เขาทิ้งไว้ก็ไม่จางหายไปสักที