บทที่ ๕ เพื่อนใหม่(๓)

1437 คำ
พิมาลากำลังเรียนรู้การใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายจากป้าวาดด้วยความสนอกสนใจ หลายวันมานี้เธอลืมเลือนเรื่องราวเศร้าหมองไปได้มากทีเดียว กระทั่งทนายประจำตัวของเชษฐ์เดินทางมาพบพร้อมกับส่งซองสีน้ำตาลให้ แววตากับสีหน้าจึงพลันหม่นหมองลง หญิงสาวเม้มปากจ้องมองซองเอกสารตรงหน้าด้วยตาแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้แต่พึมพำออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ “ฉันกับเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ใช่ไหมคะ” “ครับ” เมธัสตอบเสียงเรียบ “ทางด้านกฎหมายคุณเพียงกับนายเชษฐ์เป็นอิสระต่อกัน ไม่มีพันธะใดๆ อีกแล้ว” พิมาลากัดปากสั่นๆ ไว้แน่น พยายามบอกตัวเองว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมขอบตาถึงได้ร้อนขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ได้แต่เบือนหน้าหนีแอบเช็ดน้ำตาทิ้งอย่างไม่อยากให้คุณทนายมองเห็น “ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอไม่สามารถเก็บความรู้สึกเจ็บได้อีกแล้วจึงต้องกลั้นใจเอ่ยปากออกมา เมธัสมอง พิมาลาอย่างเห็นใจอยู่บ้างเขาจึงเป็นฝ่ายกล่าวลา แต่ก่อนออกจากบ้านทนายหนุ่มก็ยังเห็นพิมาลาเปิดซองนั้นแล้วกอดเอกสารด้านในร้องไห้ เขาพยายามมองว่าอาจเป็นการร้องไห้เพราะยินดีหรืออะไรสักอย่าง แต่ความจริงนั้นกลับเป็นความเสียใจอย่างสุดซึ้ง อย่างที่ผู้หญิงคนหนึ่งเกือบทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ เมธัสละสายตาจากภาพนั้นอย่างมีอะไรสงสัยติดอยู่ในใจ ทว่าพิมาลากลับค่อยๆ เดินออกจากห้องรับแขก ในมือกำเอกสารไว้แน่น ขณะที่ช่วงขาเล็กๆ นั้นพาร่างไร้เรี่ยวแรงตรงไปยังห้องนอน แล้วขังตัวเองอยู่ในนั้น ไม่ว่าวันนี้ใครหลายๆ คนกำลังใช้ชีวิตของตัวเองยังไง ไม่ว่าคุณมนฤดีกับคุณเชิดจะกล่าวโทษลูกชายเช่นไร เชษฐ์ก็ยังทำงานอย่างบ้าคลั่ง แถมยังไม่ยอมยกเลิกโปรเจกต์ขยายโรงแรมไปยังหัวหิน แผนการที่วางเอาไว้ยังคงถูกดำเนินต่อ ทว่าคนที่ได้รับใบหย่านั้นยังคงนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิม ในมือมีใบหย่าแผ่นนั้น ดวงตากลมโตทั้งสองข้างมองมันแล้วน้ำตาก็รื้นอาบแก้มลงมาไม่ขาดสาย ป้าวาดมองภาพนั้นแล้วไม่สบายใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้เวลาค่อยๆ เยียวยาความบอบช้ำของเจ้านายสาว ดีหน่อยที่หลังจากนั้นไม่กี่วันพิมาลาก็ยอมเปิดประตูกระจก เดินทอดน่องไปตามผืนทรายสะอาด แม้จะยังเหม่อลอยอยู่บ้างแต่ก็แสดงให้เห็น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ชีวิตก็ยังคงต้องเดินต่อไป พิมาลาสวมเสื้อยืดแขนสั้นสีชมพู กางเกงขาสั้นสีดำกับรองเท้าแตะ เดินย่ำไปตามหาดทราย บางครั้งก็ปล่อยให้คลื่นซัดสาดเปื้อนรองเท้า เปื้อนขาบ้าง แต่เจ้าตัวก็คล้ายไม่แยแสต่ออะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว กระทั่งเธอเดินชนกับอะไรแข็งๆ แต่ก็นุ่มและใหญ่โตถึงได้เบิกตากว้าง ภาพตรงหน้าทำเอาต้องกะพริบตาปริบๆ กว่าจะตั้งสติได้เวลาก็เลยผ่านไปหลายนาทีแล้ว “คุณหมอ เอ่อ...ขอโทษค่ะ” สุริยะมองหญิงสาวแล้วยิ้มอย่างจำได้ “บังเอิญจังเลยนะครับ” “ค่ะ” เธอยิ้มแหยๆ “เขาว่ากันว่า ถ้าคนเราบังเอิญพบกันสามครั้ง มันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป เราพบกันครั้งแรกที่โรงพยาบาล ครั้งที่สองก็วันที่คุณเพียงไปจ่ายตลาด ตอนนี้นับเป็นครั้งที่สามแล้ว” พิมาลาก้มหน้า “ถ้าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วมันคืออะไรคะ” สุริยะกวาดสายตามองใบหน้าซีดเซียวของหญิงสาวที่คล้ายกับการพบกันวันแรกนิ่งนาน สุดท้ายก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าบังเอิญพบกันสามครั้ง เขาเรียกว่าพรหมลิขิตครับ” “คุณหมอ” “ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว ต่อไปนี้เรามาเป็นเพื่อนกันจริงๆ ได้ไหมครับ” คุณหมอยื่นมือไปข้างหน้าพลางแนะนำตัว “ผม ริ สุริยะ สุวรรณ์พิสุทธิ์ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ คุณ...” เขาเลิกคิ้วขึ้นอวดดวงตาน่าหลงใหลให้เห็น พิมาลามองเขาอย่างงงๆ อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็จับมือทักทาย “ฉัน เพียงค่ะ พิมาลา ราตรีสวรรค์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะคะ” “เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะครับ” ชายหนุ่มบีบมือของเธอเบาๆ “ค่ะคุณหมอ” “เรียกหมอทำไมครับ เรียกผมว่าริก็พอ” “คุณริ” พิมาลาลองเรียกดู แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกขัดๆ อยู่บ้าง สุริยะส่ายหน้า “เรียกริเฉยๆ นะครับ เพียง” “ริ” คุณหมอพยักหน้าพอใจ “อืม” คราวนี้สายตาของคุณหมอมีแววหม่นเศร้าพาดผ่าน “จะว่าไปนี่เป็นรอบห้าปีที่มีคนเรียกชื่อของผม ริ ชื่อนี้ไม่ได้ยินมานานแล้วนะครับ นับตั้งแต่ภรรยาของผมตายไป” ท่าทีเศร้าสร้อยของคุณหมอทำเอาพิมาลาพูดไม่ออก จึงได้แต่ก้มหน้าลง “ถ้าการเรียกแบบนี้ ทำให้คุณหมอรู้สึกไม่ดี เพียงว่า...” “ไม่ใช่ไม่ดีครับ” คุณหมอส่ายหัวไม่หยุด “แค่ทำให้คิดถึงใครบางคนเท่านั้น เป็นความคิดถึงที่อิ่มเอมใจจริงๆ ครับ” พูดแล้วก็ขยับตัวไปยืนอยู่ข้างๆ “ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว ริขอเดินเล่นกับเพียงหน่อยนะ” พิมาลาได้แต่มองคนกำลังเดินข้างตัว แถมยังใช้คำพูดเป็นกันเองอย่างไม่คุ้นชินอยู่บ้าง ชื่อที่เขาเรียกดูเหมือนจะเป็นผู้ชายคนแรกที่เรียกแบบนี้ มันทำให้เธอนึกย้อนกลับไปคิดว่า คุณเชษฐ์เคยเรียกชื่อเธอแบบนี้หรือเปล่า โดยไม่ต้องคิดมากคำตอบที่ได้ก็คือ ไม่มีเลยสักครั้ง ต่อให้มีก็คงเป็นการเรียกเพื่อลงโทษมากกว่า ส่วนน้ำเสียงกับแววตาอบอุ่นเวลาที่เรียกเธอเหมือนคุณหมอคงไม่มีวันเกิดขึ้น พิมาลาปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในภวังค์ความคิดไปเรื่อยๆ สุริยะเองก็ไม่พูดอะไรเช่นกัน เขาเดินเงียบๆ อยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนเธอ ในขณะที่ในใจมีเสียงของภรรยาเรียกชื่อ ริ ซ้ำไปซ้ำมา เสียงเรียกนั้นให้ความรู้สึกรัก ให้ความรู้สึกคิดถึง และเสียงของคนข้างๆ ก็ให้ความรู้สึกที่เป็นจริง “คุณหมอ” พอเขาหันมาเลิกคิ้วอย่างคาดโทษ พิมาลาก็รีบเปลี่ยนคำ “ริ” “ว่าไง” สุริยะช่างทำตัวสนิทสนมคล้ายเป็นเพื่อนกันมาสิบปีได้เร็วเกินคาด พิมาลามองเขาแล้วผ่อนคลายความกดดันลง “วันนี้ไม่ต้องไปทำงานเหรอ” “วันนี้เป็นวันหยุด พรุ่งนี้สิบโมงถึงจะไปทำงาน เพียงมีอะไรหรือเปล่า” “เปล่าหรอก” พิมาลาไม่รู้จริงๆ ว่าควรคุยกับเพื่อนใหม่ยังไง อาจเป็นเพราะเธอเป็นคนมีเพื่อนน้อย หรือแทบไม่มีเพื่อนเลยสักคนเดียว คุณหมอจึงอาจเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในชีวิตเธอ สุริยะเองก็พอจะคาดเดาความรู้สึกของพิมาลาได้บ้าง เขาจึงมองนาฬิกาบนข้อมือแล้วยิ้มถาม “ไหนๆ วันนี้ริไม่ต้องทำงาน แล้วก็เป็นกับเพียงวันแรก เราฉลองกันหน่อยดีไหม” “ฉลองหรือคะ” “ปาร์ตี้เล็กๆ ริมหาดของเรา” ความจริงพิมาลาอยากปฏิเสธ เพราะถึงแม้จะตกลงเป็นเพื่อนกับเขา เรียกชื่อเล่นกันอย่างสนิทสนม แต่ก็ยังรู้สึกว่าคุณหมอยังเป็นคนอื่นอยู่ดี ทว่าท่าทีกระตือรือร้นของเขาทำเอาเธอยากจะปฏิเสธจึงได้แต่พยักหน้าตกลง การเตรียมสถานที่สำหรับปาร์ตี้เรียบง่ายมาก มีโต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้สอง กับข้าวที่คุณหมอกับป้าวาดช่วยกันทำอีกสามสี่อย่าง เครื่องดื่มก็มีเพียงเบียร์ไม่กี่กระป๋อง ดูเหมือนคนที่ดีใจที่สุดจะเป็นป้าวาด เพราะเอาแต่ยิ้มไม่หุบ กินข้าว ดื่มด้วยกันอยู่สักพัก คุณหมอก็ลุกจากเก้าอี้ ในมือมีไม้ท่อนไม่เล็กไม่ใหญ่ เขาขยับเท้าเดินบนชายหาดสีขาวแล้วค่อยๆ วาดรูปหัวใจดวงใหญ่ ด้านในหัวใจนั้นคำว่าริกับเพียงอยู่ตรงกลาง พิมาลามองคนตั้งใจเขียนอยู่นานถึงได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอเห็นแล้วก็ได้แต่คลี่ยิ้มแหยๆ ก่อนจะเดินไปเขียนคำว่า เราสองคนคือเพื่อนกัน คุณหมอเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะเขารู้ดี ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเพื่อนใหม่จะไปได้ไกลแค่ไหน ทุกๆ อย่างก็ล้วนต้องใช้เวลา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม