พิมาลาอยู่บ้านพักตากอากาศมานับสัปดาห์แล้ว แต่ระหว่างนั้นเธอแทบไม่ก้าวออกจากบ้านเลย เอาแต่ขังตัวเองแล้วนั่งนิ่งๆ คล้ายกับรูปปั้นก็ไม่ปาน ท่าทางของหญิงสาวทำเอาป้าวาดกังวลไม่น้อย ดีหน่อยที่หญิงสาวยังยอมกินข้าวกินปลาบ้าง แม้จะกินแบบแมวดมก็เถอะ
“อยากไปตลาดสดกับป้าไหมคะ”
จู่ๆ ป้าวาดก็เอ่ยชวนคนนั่งซึมมาทั้งวัน หวังว่าเจ้านายสาวจะยอมออกไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง จะได้ช่วยให้เรื่องเศร้าๆ ผ่อนคลายลง
คนถูกชวนสบตากับป้าวาดอย่างลังเล
อีกฝ่ายจึงกุมมือบางนุ่มไว้ “ไปเถอะนะคะ ไปดูชีวิตของชาวบ้านที่นี่ ป้ารับรองว่าคุณเพียงต้องชอบแน่ๆ”
ประกายตาวิบวับของป้าวาดทำให้ต่อมอยากรู้อยากเห็นที่เป็นอัมพาตมานานของพิมาลาทำงาน ในที่สุดก็ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคว้าเอารองเท้าแตะเดินไปกับป้าวาด
เส้นทางที่เจ้าถิ่นพาเดินนั้น เป็นเส้นทางออกจากหาดส่วนตัวมาไม่ไกลนัก ตรงหน้าก็เริ่มมีถนน มีร้านรวง แล้วก็ซอยเล็กๆ ที่ทอดยาวไปไกลสุดสายตา
ยิ่งเดินมาไกลเท่าไร เสียงจ้อกแจ้กจอแจก็ยิ่งดังมากขึ้น ชาวต่างชาติ คนไทย เดินกันจนวุ่นวายไปหมด แต่ดูเหมือนชาวบ้านชาวเลแถวนี้จะมีมากกว่าที่อื่นๆ เป็นเท่าตัว เธอจึงมองบ้านเรือนของพวกเขาอย่างสนอกสนใจ และซอยคับแคบข้างๆ นั้นก็มีของกินของใช้วางขายตลอดสองข้างทาง ปลาสดๆ ยังคงกระโดดอยู่ในกะละมัง กุ้ง หอย ปู ทุกอย่างคล้ายกับเพิ่งจับมาจากทะเล
“แถวนี้มีชาวเรือเขาเอามาขายเองค่ะ สดแล้วก็ราคาถูกด้วยนะคะ”
“ป้าวาดซื้อของจากที่นี่หรือคะ” พิมาลาถามอย่างตื่นเต้น ขณะจับปูตัวโตขึ้นมา
“อาหารทะเลที่นี่สดที่สุดแล้ว ป้าก็ต้องเลือกของที่ดีที่สุดให้คุณเพียงกินสิคะ”
“ดีจังค่ะ ถ้าป้าวาดจะมาอีก เรียกเพียงด้วยนะคะ”
“คุณเพียงอยากมาหรือคะ”
“ค่ะ” พิมาลาพยักหน้าหงึกหงัก “เพียงชอบเดินตลาดสดมากกว่าเดินห้างฯ” ว่างพลางกระซิบข้างหูของป้าวาดด้วยรอยยิ้ม “เพียงชอบเวลาต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้าค่ะ แอบลุ้นอยู่ลึกๆ ว่าพวกเขาจะขายให้ในราคาที่คิดไว้หรือเปล่า”
ท่าทางอมยิ้มคล้ายลืมทุกข์โศกไปหมดนั้น ทำให้ป้าวาดเบาใจขึ้นไม่น้อย ดังนั้นจึงกระตือรือร้นที่จะพาพิมาลาเดินดูโน่นชมนี่ไม่หยุด กระทั่งบ่ายคล้ายถึงได้พากันหิ้วของสดจนล้นตะกร้ากลับบ้าน
ด้วยความที่เห็นอะไรก็อยากซื้อ ทั้งพิมาลากับป้าวาดจึงช่วยกันหิ้วของเต็มไม้เต็มมือไปหมด คนไม่เคยถือของหนักมาก่อนจึงค่อนข้างจะซุ่มซ่ามเผลอทำโน่นทำนี่หล่นระหว่างทางโดยไม่รู้ตัว
ใครบางคนกำลังเดินตามหลังของทั้งคู่ ในมือมีแตงกว่าลูกงาม มะเขือเทศ แล้วก็ปูอยู่ในมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกระชับกระเป๋าสีดำอยู่
ชายหนุ่มคนนั้นสูงขาว สีหน้ากับแววตาล้วนเป็นมิตรกับทุกๆ คน เวลานี้แววตาของเขากำลังทอดมองไปยังสองคนที่เดินนำหน้า กำลังจะเอ่ยปากเรียกหลายครั้งทว่าทิศทางที่ทั้งคู่เดินไปนั้นดันเป็นเส้นทางเดียวกับบ้านพักส่วนตัว เขาจึงไม่พูดอะไร ได้แต่เก็บของที่คนรูปร่างบอบบางทำหล่นมาเรื่อยๆ กระทั่งเห็นเธอลดเลี้ยวไปยังหาดส่วนตัวของบ้านที่มีอาณาเขตติดกันถึงได้ร้องเรียก
“คุณครับ ขอโทษนะครับ”
พิมาลากับป้าวาดหันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก
“เดินต่อเถอะค่ะ” พิมาลาเร่งเร้าด้วยท่าทางหวาดหวั่น
“คงไม่มีอะไรมั้งคะ” ป้าวาดยังคิดในแง่ดี
“คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้นะคะป้า”
หญิงสาวเม้มปากแน่นกำลังจะก้มหน้าก้มตาเดินหนี แต่อีกฝ่ายกลับอ้อมมาขวางหน้าแล้วยื่นของสดที่เธอทำตกให้
“มันหล่นระหว่างทางครับ”
“เอ่อ...” ทั้งสองคนหันมามองหน้ากัน ก่อนพิมาลาจะจ้องชายหนุ่มแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ “คุณ”
ไม่คิดจริงๆ ว่าจะต้องมาเจอกับคนรู้ความลับของเธอที่นี่ จึงได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน “คุณหมอ สวัสดีค่ะ”
สุริยะยิ้มกว้าง “คุณพิมาลา ยินดีที่ได้พบกันนะครับ”
ไม่ยินดีเลยสักนิด คนถูกทักตะโกนก้องอยู่ในใจ แต่ปากก็ยังพูดคุยกับคุณหมอด้วยท่าทีสุภาพ แต่สุริยะก็ยังจับความรู้สึกอึดอัดของเธอได้อยู่ดี
ป้าวาดรับของคืนจากคุณหมอ ปากก็กล่าวขอบคุณไม่หยุด พอเห็นสายตาสงสัยของเจ้านายแล้ว ก็ได้แต่อธิบายยิ้มๆ “บ้านคุณหมอคือหลังนั้นค่ะ อยู่ติดกับหาดส่วนตัวของเรา แล้วคุณหมอริก็ใจดี มีเวลาว่างทีไรก็นั่งตรวจโรคให้ชาวบ้านแถวนี้ พวกเราก็เลยคุ้นเคยกับคุณหมอเป็นอย่างดี”
พิมาลามองเขาอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง “ถ้าอย่างนั้น เพียงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ เพราะเมื่อครู่นึกว่าคุณหมอเป็นโรคจิต” ท้ายประโยคเธอเอ่ยอย่างอายๆ
ถ้าหากไม่เคยรักษาอาหารของพิมาลามาก่อน สุริยะเองก็อาจจะนึกเคืองอยู่บ้าง ทว่าความรู้สึกของเขาในตอนนี้กลับเป็นอย่างอื่น เขาอยากช่วยเธอให้สามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างเข้มแข็ง ให้คืนวันที่ผ่านมาไม่สามารถทำร้ายเธอได้อีก
“ขอบคุณที่ช่วยพวกเรานะคะ”
“ดูท่าทางจะซื้อกันเยอะนะครับ” คุณหมอปรายตามองของเต็มตะกร้า
ป้าวาดจึงถือโอกาสคุยโม้ “คุณเพียงเธอเป็นคนซื้อค่ะ เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด อันโน้นก็ดี อันนี้ก็ดี ป้าก็ได้แต่ตามใจ”
“ก็ของสดๆ ดีๆ ทั้งนั้นนี่คะ”
รอยยิ้มของพิมาลาในตอนนี้ทำเอาสุริยะถึงกับตาพร่าเลยทีเดียว คุณหมอริต้องกระแอมไอในลำคอเพื่อระงับอาการแปลกๆ เอาไว้
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวเข้าบ้านก่อนนะครับ”
พิมาลายิ้มให้เขากว้างกว่าเดิม “เชิญค่ะคุณหมอ ขอบคุณมากนะคะ”
คุณหมอริกล่าวลาอีกครั้งแล้วเดินตามชายหาดกลับไปยังบ้านพักหลังโตของตัวเอง วาดเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนใจ “เราน่าจะชวนคุณหมอไปกินมื้อค่ำด้วยนะคะ กินคนเดียวคุณหมอคงเหงาแย่ อีกอย่างคุณหมออุตส่าห์เก็บของมาคืนให้”
พิมาลาหันกลับไปมองแผ่นหลังกว้างที่ห่างออกไปอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “เขาอยู่บ้านคนเดียวหรือคะ”
“ค่ะ” ป้าวาดตอบรับด้วยท่าทีเศร้าๆ “ตั้งแต่กลับจากเมืองนอกเมื่อสามปีก่อน หมอริก็อยู่คนเดียว ถึงจะดูเป็นคุณหมอที่ยิ้มแย้ม อารมณ์ดี แต่ชาวบ้านแถวนี้ก็รู้ดีค่ะว่าคุณหมอริน่าสงสารแค่ไหน”
“ทำไมหรือคะ”
“พ่อกับแม่แล้วก็ภรรยาของคุณหมอไปล่องเรือแล้วเกิดอุบัติเหตุค่ะ ตายกันหมดเลย ถ้าคุณหมอไม่ติดเข้าเวรละก็คงไม่มีหมอริที่ชาวบ้านรักอย่างทุกวันนี้หรอกค่ะ”
เรื่องราวชีวิตของคุณหมอที่รักษาอาการป่วยของเธอนั้น ดูเหมือนว่าจะร้ายแรงยิ่งกว่าเรื่องของเธอเสียอีก แววตาของพิมาลาที่ดึงกลับจากแผ่นหลังกว้างนั้นจึงดูหดหู่อยู่บ้าง