ทันทีที่เห็นพิมาลาเดินลากกระเป๋าเดินออกจากบ้านลูกชายด้วยท่าทีเหม่อลอย คุณมนฤดีก็รีบเดินเข้าไปหาด้วยตาแดงๆ พอจับมือนุ่มได้ก็เอาแต่ลูบไปมาไม่หยุด “นี่ก็ค่ำแล้ว ค้างที่บ้านป้าก่อนดีไหมลูก แล้วพรุ่งนี้ค่อยคิดว่าจะทำยังไง”
ภายในใจลึกๆ พิมาลาก็อยากอยู่กับคุณป้ามนฤดี ทว่าพอนึกถึงสีหน้ากับแววตาของเขาที่มองผ่านราวกับไร้ตัวตนเช่นนั้น ทำให้เธอไม่สามารถอยู่ใกล้ๆ เขาได้อีกต่อไป “ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า เพียงไปอยู่ที่อื่นดีกว่า”
“หาบ้านได้แล้วหรือลูก”
“เพียง...”
หญิงสาวสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “เพียงขอไปอยู่บ้านพักที่หัวหินสักสองสามวันนะคะ เอาไว้หาบ้านได้เมื่อไรจะย้ายออกค่ะ”
ดวงตาของคุณมนฤดีถึงกับวาววับ “ไม่ต้องย้าย หนูอยู่ที่นั่นได้เลย ป้ายกให้”
“คุณป้า”
“ป้าจะโอนบ้านเป็นชื่อหนู” คุณมนฤดีย้ำด้วยแววตาอารี “ถือว่าเป็นคำขอโทษจากป้านะลูก อีกอย่างอยู่ติดทะเล บรรยากาศดีๆ ที่นั่นจะได้ช่วยเยียวยาบาดแผลในใจหนูให้ดีขึ้น ถ้าหนูไปอยู่ที่อื่นป้าบอกตามตรงนะ ป้าไม่สบายใจเลย”
“แต่ที่นั่นเป็น...”
เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของพิมาลาแล้ว คุณมนฤดีก็ได้แต่ยิ้มพูด “ที่นั่นเป็นบ้านที่ป้าซื้อเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้าเชษฐ์ ป้าจะยกให้ใครก็เป็นสิทธิของป้า หนูไปอยู่ที่นั่นให้มีความสุขนะลูก อีกอย่างมีวาดอยู่ที่นั่นคอยดูแลหนู ป้าจะได้สบายใจ”
“คุณป้า ขอบคุณนะคะ ขอบคุณ...แล้วก็ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“โธ่...เด็กดีของป้า”
คุณมนฤดีกอดจูบ ลูบหลังของพิมาลาไม่หยุด จนกระทั่งเธอขึ้นรถไปแล้วก็ยังเอาแต่ยืนมองด้วยตาแดงๆ ทำเอาสามีต้องมาคอยปลอบโยนจนกระทั่งสีหน้าของภรรยาคู่ชีวิตดีขึ้นถึงได้พูดออกมาเบาๆ “บ้างหลังนั้นคุณบอกจะยกให้เจ้าเชษฐ์ไม่ใช่หรือ”
คนเป็นเมียเชิดหน้าขึ้น “ใช่ค่ะ แล้วทำไมล่ะ ฉันจะเอาสิ่งที่เคยบอกจะให้ลูกชายคุณคืนมาให้หมด ถ้าลูกชายตัวดีของคุณอยากได้บ้านพักหลังนั้นก็มาโวยวายขอคืนสิ ฉันจะได้ตีกบาลสักทีสองที”
“ทำไมคุณถึงโกรธขนาดนั้น”
“จะไม่ให้ฉันโกรธได้ยังไง ในเมื่อลูกชายคุณได้หนูเพียงเป็นเมีย เพียงข้ามวันมันก็กล้าทำเรื่องหย่า ฉันไม่ตัดมันออกจากกองมรดกก็ดีเท่าไรแล้ว” กัดฟันว่าพลางยกมือขึ้นหัว “สาธุ ขอให้หนูเพียงท้องทีเถอะ ฉันจะสมน้ำหน้าลูกชายไปสักสามเดือน เจ็ดเดือน”
คำพูดของเมียทำเอาเชิดได้แต่เบิกตาอ้าปากค้าง พอคิดๆ ดูแล้วก็รู้ว่าลูกชายทำเกินไปจริงๆ ไหนๆ จะหย่ากันแล้วทำไมต้องทำเรื่องนั้นอีก ถ้าเกิดหนูเพียงท้องขึ้นมาจริงๆ มันก็ควรสมน้ำหน้าจริงๆ นั่นแหละ
แต่คนที่ถูกพ่อกับแม่หมายหัวไม่ได้สนใจเลยสักนิด เพราะตอนนี้กำลังจะเริ่มโปรเจกต์ใหม่ นั่นคือขยายโรงแรมเพื่อรองรับลูกค้าให้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่อยากพักริมทะเลมากกว่าริมแม่น้ำ เขามีความตั้งใจจะขยับขยายโรงแรมอีกสาขาไปยังหัวหิน และบ้านพักหลังเก่าติดทะเลนั้นมันเป็นเป้าหมายสำคัญ คิดว่าปรับปรุง สร้างเพิ่มเติม หรือว่ารื้อทั้งหมดแล้วสร้างใหม่ก็กำลังเป็นประเด็นถกเถียงในห้องประชุม
ผิดกับเจ้าของบ้านคนใหม่ที่เดินลากกระเป๋ากลับเข้ามาโดยมีป้าวาดคอยดูแลรับใช้เป็นอย่างดี แต่พอป้าวาดจะลากกระเป๋าขึ้นไปยังห้องนอนใหญ่ พิมาลาถึงกับโบกมือห้าม
“เพียงขออยู่ห้องเล็กด้านล่างดีกว่าค่ะ พอเปิดประตูระเบียงออกไปก็จะได้เดินเล่นที่ชายหาดเลย”
“แต่มันอันตรายนะคะ” ป้าวาดทักท้วง “ถึงบ้านเราจะมีชายหาดส่วนตัว แต่เราก็ไม่มียามคอยรักษาความปลอดภัยเหมือนบ้านพักคนอื่นๆ ตอนกลางค่ำกลางคืนคุณเพียงต้องอยู่คนเดียวด้วย ป้าไม่ไว้ใจจริงๆ ค่ะ” ป้าวาดสาธยายยืดยาวอย่างเป็นห่วงเป็นใย เพราะพอฟ้ามืดนางก็ต้องกลับไปนอนที่บ้าน ไม่ได้อยู่ค้างที่นี่ด้วย
“แค่ล็อกกลอนให้หมด แล้วก็ไม่ออกไปเดินจนดึกเกินไป เท่านี้ก็น่าจะพอนะคะ อีกอย่างคงไม่มีใครคิดร้ายกับผู้หญิงอย่างเพียงหรอกค่ะ”
“แต่...” พอเห็นรอยยิ้มของพิมาลาที่กำลังหว่านล้อมให้เชื่อ ป้าวาดก็ไม่รู้จะพูดอะไรอีก จึงได้แต่กำชับให้ พิมาลาดูแลรักษาตัวเองดีๆ เท่านั้น
ป้าวาดอยู่ช่วยเก็บของ แล้วเตรียมอาหารไว้ให้เผื่อว่าดึกๆ พิมาลาจะหิว จัดการทุกอย่างเรียบร้อยถึงได้ขอตัวกลับ
พอบ้านพักตากอากาศเหลือเพียงความเงียบสงัดรายล้อม เจ้าของร่างบางที่เพิ่งได้รับอิสรภาพในรอบสองปี ได้แต่เปิดประตูกระจกในห้องนอนเดินออกไปยังชายหาด กลิ่นทะเล กลิ่นอากาศ แสงดาวบนท้องฟ้า ช่วยให้ความเจ็บปวดที่ฝังลึกในจิตใจจางหายไปไม่น้อย ในที่สุดริมฝีปากบางนุ่มก็คลี่ยิ้มจางๆ ออกมา ขณะที่สีหน้ากับแววตาดูมีชีวิตชีวาขึ้น
พิมาลากำลังบอกตัวเองว่าเธอกำลังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ จะได้ใช้ชีวิตอย่างต้องการ ตอนนี้ต้องคิดแล้วว่าชีวิตต่อจากนี้จะทำอะไรดี ทำยังไงถึงจะช่วยเยียวยาสิ่งที่ขาดหายไปได้
จึงใช้โอกาสนี้ทำจิตใจกับร่างกายให้ผ่อนคลาย สิ่งแวดล้อมตรงหน้าดูเหมือนจะเป็นยาช่วยรักษาอาการของเธอไม่น้อย ทว่าพอเดินกลับบ้านดวงตากลมโตกลับปะทะกับห้องนอนบนชั้นสอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเหมือนสีดำที่กระจัดกระจายอยู่ในหัวใจเธอ จากจุดเล็กๆ เริ่มขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายการเดินเล่นที่เพิ่งจะเยียวยาหัวใจเมื่อครู่ถึงกับหายไป ไม่มีอะไรจะทำให้เธอยิ้มได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ในอกคล้ายกับมีหนามแหลมๆ นับหมื่นกำลังทิ่มตำพร้อมๆ กัน มันสร้างความเจ็บปวดเสียจนไม่สามารถยืนหยัดได้อีก ร่างกายบอบบางจึงทรุดลงกับพื้น ขณะที่กำปั้นเล็กเอาแต่ทุบหน้าอกไม่หยุด
“ฮือๆ” ยิ่งนึกถึงสัญญาหย่าขาดที่เพิ่งลงชื่อลงไป เสียงร้องไห้สั่นเครือก็ยิ่งยากจะหักห้ามเอาไว้ เพราะถ้าเธออดกลั้นมากเท่าไร หัวใจก็คล้ายจะระเบิดออกมาเป็นชิ้นๆ จึงได้แต่แผดเสียงร้องออกมา
“ฮือๆ จะทำยังไงดี เพียงจะทำยังไงดีคะคุณพ่อ...คุณแม่” น้ำตาไหลอาบแก้มมนลงมาไม่ขาดสาย ปากสั่นๆ นั้นถูกเจ้าตัวขบเม้มจนเจ็บไปหมด “เพียงเสียใจเหลือเกิน เพียง...” รักเขา นั่นคือสิ่งที่เธอทำได้แค่เก็บไว้ในใจ เธอจะไม่มีวันให้ความลับนี้หลุดไปเด็ดขาด เพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ ถ้าหากเขารู้ว่าเธอคิดเกินเลยกับเขา ความโกรธ ความเกลียด ความน่าสมเพชที่เขามีต่อเธอนั้นมันคงจะพอกพูนเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว ดังนั้นสิ่งที่ทำได้มีเพียงเก็บทุกๆ ความรู้สึกที่มีต่อเขาเอาไว้ในซอกลึกของหัวใจ อย่าได้เปิดเผยออกมาให้ใครรู้ใครเห็นเป็นเด็ดขาด
การได้นึกถึงเขาอีกครั้ง ทำให้พิมาลามีโอกาสย้อนคิด เธอเห็นเชษฐ์ตั้งแต่ตัวเองอายุสิบขวบ วันนี้เธอตามติดพ่อกับแม่ไปเยี่ยมเยือนคุณลุงเชิดกับคุณป้ามน การได้เห็นลูกชายของท่านทำให้เธอได้แต่จดจำภาพของเขาเอาไว้ไม่เคยลืมเลือนแม้แต่วันเดียว
เขา...ทำให้เธอรู้จักกับความรักครั้งแรก รักเพียงข้างเดียว และรักที่ไม่สมหวัง แต่ต่อไปนี้เธอจะหันกลับมารักตัวเอง เมื่อร้องไห้จนร่างกายผ่อนคลายแล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆ ยืนหยัดขึ้นอีกครั้ง ดวงตากลมโตยังคงมองไปยังชั้นสองของบ้าน แต่ปากกลับเอ่ยออกมาได้เพียงประโยคเดียวนั่นคือ ลาก่อนค่ะ...คุณเชษฐ์